ผมขอเริ่มต้นบทความชิ้นนี้ด้วยการเอ่ยคำ "ให้อภัย" และ "ไม่ถือโทษโกรธเคือง" คุณสดศรี สัตยธรรม ที่ใช้ถ้อยคำอันหยาบคายบริภาษ กล่าวหาผมและเวปไซต์ Hi-thaksin อย่างรุนแรง 3 วันติดต่อกัน และไม่คิดที่จะตอบโต้กลับไป อันจะทำให้สาระของเรื่องที่นำเสนออันเป็นประโยชน์สาธารณะ ต้องแปรเปลี่ยนมาเป็นความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างผมกับคุณสดศรี สัตยธรรม
ผมขอยืนยันว่าผมไม่เคยรู้จักกับคุณสดศรี สัตยธรรม มาก่อน ทั้งในอดีต ปัจจุบัน กระทั่งอนาคตก็คงไม่ได้รู้จักกัน และ คุณสดศรี สัตยธรรม ก็ไม่เคยทำให้พ่อแม่ผมเดือดร้อน ตามที่ท่านตั้งคำถาม
ผมเป็นคนมีพ่อแม่ และ เป็นพ่อแม่คน จึงรู้ดีว่าคุณสดศรี รู้สึกเจ็บปวดอย่างไร เมื่อลูกสาวคือ คุณกอนณา สัตยธรรม กำลังเจ็บปวดอยู่ในขณะนี้
แต่ก็อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่า คุณสดศรี สัตยธรรม ต้องใจเย็นๆ และ พิจารณาให้ดีว่าใครกันแน่ ที่ทำให้คุณกอนณา สัตยธรรม ตกที่นั่งลำบากอย่างทุกวันนี้
เป็น ผม ผู้นำเอกสารมาเสนอ หรือเป็น พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้สั่งให้ทำเอกสารฉบับต้นเหตุ
ระหว่างผมกับคุณสดศรี สัตยธรรม เราไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตร หรือ คิดตั้งตนเป็นศัตรูต่อกันมาก่อน จึงไม่มีเหตอันใดที่ผมจะต้องมีอคติต่อคุณสดศรี สัตยธรรม และครอบครัว และหาทางจ้องทำลายให้เสียหายด้วยจิตเจตนาทุจริต แต่อย่างใดไม่
ผมไม่เคยเรียกคุณสดศรี ว่า "เห็ดสด" ตามที่คุณสดศรี กล่าวอ้าง หากแต่ผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ใช้ศัพท์แสลงคำนี้แทนคุณสดศรี และมีการใช้ศัพท์แสลงคำนี้กันมานานและใช้กันในหลายเวปไซต์ ไม่ใช่ใน Hi-thaksin ที่เดียว
ศัพท์แสลงแทนตัวบุคคลสาธารณะ เป็นเรื่องที่ส่อเสียดและล้อเลียนกันมากกว่า ที่จะเป็นการโจมตีหรือดิสเครดิตกัน อันเป็นเรื่องปกติในทางการเมือง เช่นเดียวกับที่มีการเรียก "หน้าเหลี่ยม" แทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรียก "ปลาไหล" แทนนายบรรหาร ศิลปอาชา เรียก "ชวนเชื่องช้า" แทน นายชวน หลีกภัย เรียก "เทพเทือก" แทน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ เรียก "มาร์ค ม.7" แทน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรียก "ฤาษีขี่เต่า" แทน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
ทว่า คุณสดศรี มาจากผู้พิพากษา อาจจะไม่คุ้นเคยกับศัพท์แสลงที่ใช้เรียกบุคคลทางการเมือง จึงเห็นศัพท์แสลง เป็นคำหยาบคาย ผมก็พยายามเข้าใจคุณสดศรี ในเรื่องนี้
นอกจาก "ให้อภัย" และ "ไม่โกรธเคือง" แล้ว ผมยังมีอีกสองประเด็นสำคัญที่ต้องชี้แจงให้คุณสดศรี สัตยธรรม ทราบและพึงทำความเข้าใจ ก็คือ
1. ผมและทีมงานเวปไซต์ Hi-thaksin ไม่เคยมีใครคิดและทำการใดๆ อันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พวกเราทุกคนเคารพเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ยิ่งกว่าชีวิต เช่นเดียวกับคนไทยทุกคน และกระทำทุกวิถีทาง เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์มิให้ได้รับความเสื่อมเสีย เพราะผู้หนึ่งผู้ใดนำไปแอบอ้างแสวงหาประโยชน์ทั้งส่วนตนและพวกพ้อง ทั้งแสวงหารายได้และอำนาจ โดยไม่ชอบธรรม
2. กรณีภาพเหรียญพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่คุณสดศรี สัตยธรรม เข้าใจว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นั้น ขอชี้แจงให้ทราบว่าผมไม่ได้ทำขึ้นเอง หากแต่เป็นเหรียญสัญญลักษณ์ของมูลนิธิรัฐบุรุษพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่มีการจัดทำขึ้นโดยคณะทำงานของพล.อ.เปรม และ พล.อ.เปรม เห็นชอบให้ใช้เหรียญตราสัญญลักษณ์นี้มานานแล้ว จนถึงวันนี้ก็ยังคงใช้กันอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ คุณสดศรี คิดเห็นตรงกันกับผมว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควร และผมก็เคยนำมาชี้ให้เห็นแล้วว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่พล.อ.เปรม ก็ยังเงียบ และมูลนิธิรัฐบุรุษพล.อ.เปรม ก็ยังใช้เรื่อยมาถึงปัจจุบันนี้ มีให้เห็นที่ป้ายบอกทางหน้ามูลนิธิ บนถนนราชสีมา ด้วยซ้ำไป
สำหรับกรณีของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นั้น ผมขอชี้แจงว่ามุมมองของผมกับคุณสดศรี แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงผมเห็นว่าพล.อ.เปรม เป็นบุคคลธรรมดาที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เป็นประธานองคมนตรีแต่ไม่ใช่ตัวแทนหรือสมาชิกของสถาบันเบื้องสูง ซึ่งคุณสดศรี คงหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์
ผมขอยืนยันว่าความคิดและมุมมองของผม ถูกต้อง คือ พล.อ.เปรม ไม่ใช่ตัวแทนและสมาชิกสถาบันพระมหากษัตริย์ หากแต่พล.อ.เปรม และบริวารใกล้ชิด พยายามทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่พล.อ.เปรม "ใช่" และ "เป็น" ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เช่น พล.อ.เปรม เดินทางไปไหน ต้องมีคนคุกเข่า หมอบกราบ พนมมือไหว้ ไปจนถึงมอบดอกไม้ และกราบแทบเท้า เฉกเช่นเดียวกับเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จยังสถานที่ต่างๆ
ตรงกันข้าม ผมกลับมองเห็นว่าพล.อ.เปรม คือบุคคลที่นำความเสื่อมเสียมาสู่สถาบันพระมหา กษัตริย์ ซึ่งมีหลากหลายพฤติกรรมดังที่ผมได้เขียนไว้แล้วในเรื่อง "ก้อนกรวดในรองพระบาท" หากคุณสดศรี ได้อ่านอย่างละเอียดก็จะทราบมุมมองและวิธีคิดของผมได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่ปิดกั้นและตัดสินว่าคุณสดศรี ผิดที่เห็นพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นสถาบันเบื้องสูง และกล่าวหาว่าผมและทีมงาน Hi-thaksin หมิ่นพล.อ.เปรม เท่ากับหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เพราะเรื่องนี้แล้วแต่มุมมอง
แต่ผมเชื่อว่าพล.อ.เปรม ก็ไม่กล้าบอกว่าตนเองเป็นตัวแทนหรือสมาชิกของสถาบันเบื้องสูง ดังที่คุณสดศรี คิด เพราะผมก็ไม่เคยได้ยินพล.อ.เปรม พูดสักครั้งว่าท่านเป็น หากแต่มีบริวารของท่านที่พยายามทำให้ประชาชนเข้าใจว่าท่าน "ใช่" และ "เป็น"
ย้อนกลับมาเรื่องหนังสือยืมตัวคุณกอนณา สัตยธรรม ที่ผมนำมาเปิดประเด็นเพื่อชี้ให้เห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน กันดีกว่า
ผมนำเสนอข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารเรื่องนี้ เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องที่พล.อ.สนธิ ทำหนังสือขอยืมตัวคุณกอน ณา สัตยธรรม มาช่วยปฏิบัติราชการให้แก่ตนเอง เพราะเหตุว่าคุณกอนณา เป็นผู้พิพากษา เป็นตุลาการที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ เป็นตัวแทนของฝ่ายตุลาการ ที่จะมาอยู่ใต้การบังคับบัญชาของฝ่ายบริหาร ไม่ได้
หากพิจารณาให้ดี ผมนำเสนอเรื่องนี้ในแง่ของหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ มหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและไม่ควรเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่พล.อ.สนธิ ทำหนังสือถึงประธานศาลฎีกาในเชิงออกคำสั่งว่าให้ส่งตัวคุณกอนณา สัตยธรรม มาช่วยปฏิบัติราชการตั้งแต่วันนั้น วันนี้ จนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้น เป็นเรื่องที่ทำให้เห็นได้ว่าพล.อ.สนธิ ไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจหลักการบริหารราชการแผ่นดิน และหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะคุ้นเคยแต่การออกคำสั่งในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร ในระบอบเผด็จการ
เรื่องของเรื่องก็มีเพียงเท่านี้
ผมต้องการคำตอบจากพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ว่าเหตุใดจึงต้องขอยืมตัวคุณกอนณา และตั้งคำถามกับคุณสดศรี ว่าหากคุณกอนณา ไปช่วยราชการพล.อ.สนธิ แล้ว คุณสดศรี ยังสมควรเป็นกกต. หรือไม่ เพราะจะถูกครหาได้ว่ามีความสัมพันธ์พิเศษกับพล.อ.สนธิ และมีผลต่อการทำงานในฐานะกกต. ได้
ผมไม่ได้นำเสนอในมุมของความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว และตั้งคำถามไปตามเนื้อหาของเอกสาร ตามที่ปรากฎ แต่คุณสดศรี ต่างหากที่ตอบคำถามนักข่าวไปในทางที่เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องชู้สาว เช่น "พล.อ.สนธิ เป็นคนที่มีปัญหากับสาวๆ คงไม่ให้ลูกไปอยู่ด้วย"
หลังจากสื่อมวลชนช่วยขยายเรื่องที่ผมนำเสนอไปในวงกว้าง ปรากฎว่า พล.อ.สนธิ ไม่ยอมตอบคำถามใดๆ และหนีหน้าหายตัวไปเลย คงมีแต่คุณสดศรี คนเดียว ที่พยายามตอบคำถามเรื่องนี้แก่สื่อมวลชน ซึ่งก็ต้องขอชมว่าคุณสดศรี มีสัญชาติญาณความเป็นแม่ ที่ใช้ชีวิตของตนปกป้องลูก เป็นที่น่าปีติยินดีอย่างมากแก่ผู้เป็นลูก ที่มีแม่เช่นคุณสดศรี
ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด คุณสดศรี ทำได้ทั้งนั้น เพื่อปกป้องลูกสาว แม้แต่ชีวิต เกียรติยศ ศักดิ์ศรีของตัวเอง คุณสดศรี ก็นำเข้าแลกเพื่อปกป้องคุณกอนณา ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมยอมแพ้ต่อหัวใจของแม่อย่างคุณสดศรี แบบสยบยอม เป็นที่มาของ "การให้อภัย" และ "ไม่ถือโทษโกรธเคือง" คุณสดศรี แม้ว่าคุณสดศรี จะโกรธแค้น และ กล่าวหาผม ไปจนถึงพ่อแม่ผมด้วยถ้อยคำรุนแรงเพียงใดก็ตาม
วันนี้ ผมดีใจที่คุณสดศรี เริ่มมองเห็นแล้วใครกันที่ทำให้ คุณกอนณา ได้รับความเสียหาย
การที่คุณสดศรี ถามหาคำตอบจากพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผ่านสื่อมวลชน ให้คนทั่วประเทศได้ยินพร้อมกัน และเรียกร้องให้พล.อ.สนธิ ชี้แจง ตอบคำถามแก่สื่อมวลชน บ้าง ไม่ใช่ให้คุณสดศรี ถูกถาม และต้องตอบอยู่คนเดียวหลายวันติดต่อกัน เป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมแก่คุณสดศรี นั้น ผมเชื่อว่าคุณสดศรี คงจะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของพล.อ.สนธิ แล้วว่าเป็นเช่นไร และ เห็นตัวปัญหาที่ก่อเหตุเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วว่า ไม่ใช่มีแต่ผมคนเดียวในความคิดของคุณสดศรี
เพียงเท่านี้ผมก็พึงพอใจแล้ว และยินดีที่จะช่วยคุณสดศรี ทวงถามคำตอบจากพล.อ.สนธิ ซึ่งเป็นคนที่ผมทวงถามคำตอบมาตั้งแต่วันแรกที่นำเสนอเรื่องนี้แล้ว
แต่ พล.อ.สนธิ ไม่ใช่นายทหารที่กล้าหาญและไม่เคยยอมรับว่าตัวเองกระทำความผิด แม้แต่เรื่องเดียว กระทั่งเรื่องที่ตนเองกระทำกับมือแท้ๆ เช่นกรณีเอกสารลับสกัดกั้นพรรคพลังประชาชนที่เซ็นชื่ออนุมัติแผนปฏิบัติการเอง แต่ก็ยังไม่ยอมรับและไม่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
มีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่พล.อ.สนธิ ไม่ได้กระทำ แต่กลับเสนอหน้าประกาศว่าเป็นการกระทำของตนเอง ก็คือ การรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ใครๆ ก็รู้ว่า คนที่ก่อการรัฐประหาร ตัวจริงและตัวหลัก คือ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ภายใต้การบัญชาการของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
พล.อ.สนธิ ไม่ได้มีส่วนร่วมแต่ต้น กระทั่ง พล.อ.สพรั่ง ยึดอำนาจไว้ได้แล้ว พล.อ.สนธิ ในฐานะผบ.ทบ. จึงสวมหัวโขนรับบทหัวหน้าคณะรัฐประหาร นับแต่นั้นมา
เพราะเหตุที่ พล.อ.สนธิ ไม่ใช่นายทหารที่กล้าหาญ ไม่กล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตนกระทำ ผมจึงไม่เชื่อว่าพล.อ.สนธิ จะกล้าหาญพอที่จะออกมาชี้แจงเรื่องนี้ตามที่คุณสดศรี ต้องการและทวงถาม
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พล.อ.สนธิ ใช้วิธีพรางตัวหลังชายกระโปรงผู้หญิง ในยามมีปัญหา เมื่อครั้งถูกกระหน่ำตีด้วยเรื่องจดทะเบียนสมรสซ้อน และ ถูกจับได้ว่ามีภรรยา 3 คน แต่ยื่นบัญชีทรัพย์สินภรรยา เพียง 2 คน พล.อ.สนธิ ก็หลบอยู่หลังภรรยาทั้ง 3 คน ไม่ยอมชี้แจงใดๆ ทั้งสิ้น
ครั้งนี้ จึงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผม ที่พล.อ.สนธิ จะอาศัยหลบอยู่หลังกระโปรงคุณสดศรี ปล่อยให้คุณสดศรี กับคุณกอนณา เผชิญหน้ากับคำถามต่างๆ ตามลำพังสองคนแม่ลูก โดยที่ไม่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ผมเชื่อว่าหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านไป พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก็คงได้ฉายาใหม่
จาก บิ๊กบัง หรือ บังธิ เป็น บัง ณ ชายกระโปรง หรือ บังชายกระโปรง นั่นเอง