คำถามคือหน่วยงานที่มีภูมิหลังอย่างนี้ มีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะถือครองอำนาจสูงสุด เที่ยวไปวินิจฉัยใครต่อใครว่าควรจะได้ใบเหลืองหรือใบแดง และแม้กระทั่งเริ่มขั้นตอนที่จะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองล่ะหรือ?
ไม่ว่าผลการวินิจฉัยเรื่องใบแดงของรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน คุณยงยุทธ ติยะไพรัช จะทำให้กรรมการการเลือกตั้ง 5 คนกลายเป็นพระหรือมารในสายตาของคนทั่วไปก็ตาม ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ถูกมองข้ามมาเป็นเดือนๆก็คือ กกต. ชุดนี้มีความเป็นมาที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสองคณะแรกที่เราเคยรู้จักกัน
คณะแรกที่มีคนอย่างอาจารย์โคทม อารียา คุณยุวรัตน์ กมลเวชช ฯลฯ และคณะที่สองที่มีคนอย่างพลตำรวจเอกวาสนา เพิ่มลาภ คุณปริญญา นาคฉัตรีย์ คุณวีระชัย แนวบุญเนียร ฯลฯ ต่างก็ผ่านกระบวนการสรรหามาโดยวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งทั้งสิ้น
ประเทศชาติเป็นประชาธิปไตย และรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ในขณะนั้นก็มาจากการเลือกตั้งโดยสมบูรณ์
นั่นหมายความว่าเป็นกรรมการการเลือกตั้งในบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตยโดยแท้
แต่ชุดที่มีคุณอภิชาต สุขัคคานนท์ คุณสมชัย จึงประเสริฐ คุณประพันธ์ นัยโกวิท คุณสุเมธ อุปนิสากร และคุณสดศรี สัตยธรรม นี้มาจากการสรรหาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่เสนอแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร
ในขณะที่ประเทศชาติเป็นเผด็จการ และรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
เหมือนกับที่เขาว่าไข่หงส์ก็ฟักเป็นหงส์ ไข่ของตัวเงินตัวทองก็ไหลออกมาเป็นตัวเงินตัวทองตัวเล็กๆนั่นล่ะครับ
กรรมการการเลือกตั้งคณะที่สามจึงมีส่วนพ้องพานกับสองคณะแรกเพียงอย่างเดียว คือเรียกชื่อตำแหน่งเหมือนกันเท่านั้นเอง
ลักษณะอื่นๆ ตั้งแต่รูปโฉมภายนอกไปจนถึงสัญชาตญาณที่ได้รับมา แตกต่างกันราวสวรรค์กับนรก
เผด็จการที่ไหนจะไปเลือกคนที่ส่งเสริมประชาธิปไตยมารับใช้ตน
เหตุที่นึกขึ้นมาได้ก็เพราะได้ยินคนเขาลุ้นกันมากว่า กกต. จะวินิจฉัยเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างไร จะใช้กฎหมายเลือกตั้งข้อไหนมาประกอบการวินิจฉัย จนลืมที่มาของกรรมการทั้งห้าท่านนี้ไปสิ้น
ครับ ท่านไม่ได้มาจากกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น ท่านถือกำเนิดขึ้นมาได้ก็ด้วยอำนาจที่ได้มาจากการยึดเมืองและฉีกรัฐธรรมนูญของฝ่ายทหาร
เตือนกันตรงนี้ดังๆ เพราะกลัวจะเผลอไปตั้งความหวังประชาธิปไตยลมๆแล้งๆ แล้วจะพากันผิดหวัง
คนที่เขาตั้งข้อสงสัยในความเป็นธรรมและความยุติธรรม ก็ย่อมมีเหตุอันควรแก่ความสงสัยได้
โดยเฉพาะเมื่อเลขาธิการของ กกต. ซึ่งเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับอำนาจของรัฐบาลโดยตรง เกิดไปยอมรับตำแหน่งเลขานุการ ครส. ที่พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้นำรัฐประหาร ซึ่งต่อมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ก็ยิ่งทำให้สังคมงุนงงในตอนแรก และมาประจักษ์ใจในตอนหลัง
บัดนี้แจ่มแจ้งแทงทะลุแล้วว่า คมช. กับ กกต. ก่อสร้างขึ้นด้วยวัตถุดิบเดียวกัน จนเป็นเนื้อเดียวกันนั่นเอง
คำถามคือหน่วยงานที่มีภูมิหลังอย่างนี้ มีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะถือครองอำนาจสูงสุด เที่ยวไปวินิจฉัยใครต่อใครว่าควรจะได้ใบเหลืองหรือใบแดง และแม้กระทั่งเริ่มขั้นตอนที่จะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองล่ะหรือ?
เท่าที่ผ่านมาเราก็หลงลืมไปมาก อดเรียกแต่ละท่านว่าเป็นกรรมการการเลือกตั้งไม่ได้ และอดลุ้นระทึกไปกับการตัดสินใจของท่านไม่ได้
ก็เหมือนนึกว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือ คมช. เป็นหน่วยงานอันชอบธรรมนั่นล่ะครับ
ลืมไปสนิทว่าได้อำนาจด้วยการปล้นเขามาดื้อๆ ทำท่าจะเชื่อและปฏิบัติตามอยู่ทีเดียว
ภาพลวงตานี้จะสูญสลายไปได้ก็ต่อเมื่อเราช่วยกันเตือนสติและความทรงจำว่ากรรมการการเลือกตั้งแต่ละท่านเป็นใครและมีที่มาอย่างไร และก็ต้องขอบคุณคุณสดศรี สัตยธรรม ที่ช่วยให้ภาพชัดขึ้น ตามข่าวที่ว่าลูกสาวของท่านคนที่เป็นผู้พิพากษาถูกขอตัวไปเป็นผู้ช่วยหน้าห้องของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันชัดเจนดิบดีอย่างนี้ คนเขาก็นึกภาพออก
กกต. ในขณะนี้เปรียบเสมือนภาพบ่อน้ำในทะเลทรายอันร้อนระอุ ที่เขาเรียกว่า มิราจ ก็ไม่ปาน.--จบ-
////////////////////////////////////
คอลัมน์: เลือกคบไม่เลือกข้าง...
จากหนังสือพิมพ์โลกวันนี้