บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ก้าวไม่พ้นตัวเอง

ที่มา บางกอกทูเดย์

ปัญหาวังวนของการเมืองประชาธิปไตยที่ไม่มีวันจบและนับวันปัญหาจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเพราะ...เรายังก้าวข้ามไม่พ้นวังวนเดิมที่ไม่ได้มองตัวตนของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยจรงิเพียงแต่เอาการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นตัวประกันเท่านั้นเองแต่ความจริงใจที่จะต่อสู้ตามแนวทางการปกครองระบอบประชาธิปไตย ยังไม่ได้เกิดจากความจริงใจของฝ่ายที่ต่อสู้กันการต่อสู้ทางการเมืองจึงยังวนเวียนอยู่ที่เดิมเหมือนตอนเริ่มแรกฝ่ายทักษิณเองนั้นอ้างประชาธิปไตยเป็นฉากบังหน้า หาและฉวยโอกาสเอาระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยมาเป็นตัวประกัน การต่อสู้ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเอาประชาชนเป็นฐานส่วนฝ่ายตรงข้ามกับทักษิณ ก็ยังไม่มีความจริงใจกับระบอบประชาธิปไตยจริงยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ พรรคประชาธิปัตย์ความพยายามในการเปลี่ยนขั้วการเมืองมาเป็นรัฐบาล โดยอาศัยตัวช่วยมากมายมหาศาล แต่ไม่มีความจริงใจกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย

แท้จริงเลยเพราะเคยทำหลายอย่างที่คนรักและเสื่อมในการปกครองระบอบประชาธิปไตยเขาไม่ทำกัน อย่างเช่นเล่นการเมืองนอกสภา ในขณะที่ตัวเองสามารถจะเล่นในสภาให้สมภาคภูมิได้ สมัยที่เป็นฝ่ายค้านส่วนคนอื่นๆ หรือฝ่ายอื่นๆ ก็คิดเพียงแค่จะทำลายทักษิณพยายามทุกวิถีทางที่จะขจัดทักษิณออกจากวงจรการเมืองให้ได้ จะด้วยเหตุและวิธีการใดก็ตามนี่คือเรื่องจริง ความจริงที่เกิดขึ้นในการเมืองประชาธิปไตยประเทศไทยที่ทั้ง 2 ฝ่ายที่ต่อสู้กันทางการเมืองยังไม่มีความจริงใจกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงต่างฝ่ายต่างเล่นการเมืองกันบนเวทีประชาธิปไตยเท่านั้นแล้วประเทศไทยจะหาทางออกหรือแก้ปัญหาความสามัคคีและสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร?เพราะต่างฝ่ายต่างคิดเพื่อผลได้ของตัวเองเป็นหลักไม่ใช่ผลได้ที่จะเกิดกับระบอบการเมืองประชาธิปไตยไม่ใช่ผลได้ที่จะเกิดกับคนส่วนรวมของประเทศปัญหาของประเทศไทยวันนี้จึงมาลงตรงที่ว่า...เรายังก้าวไม่พ้น ทักษิณ ชินวัตรเพราะต่างฝ่ายต่างก็อ้างทักษิณเป็นปัญหาใหญ่แต่ว่าไม่มีใครพิจารณาตัวเองอย่างถ่องแท้เลยว่าจริงๆ แล้ว…พวกท่านยังก้าวไม่พ้นกิเลส ตัณหาและผลประโยชน์ของตัวเองเลยแล้วจะไปแก้ปัญหาใหญ่ของประเทศร่วมกันได้อย่างไรเล่า?ฝากเป็นการบ้านไปช่วยกันคิดทีเถอะครับ ■

คำตอบจากอีสาน

ที่มา บางกอกทูเดย์

จากอีสานสุดเหนือมาจนถึงอีสานสุดใต้..กับการเลือกตั้งซ่อม..2 นัดที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ของพรรคเพื่อไทย..เป็นของขวัญชิ้นเอกที่ชนชั้นรากหญ้า..หยิบยื่นให้กับเจ้าของวันเกิด 26 กรกฎาคม..ที่เป็นปีอายุครบ 60 ของเขา..ไม่ว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์กับมิตรรักภูมิใจไทย..จะโปรยปรายนโยบายประชานิยม..ปูพรมลงไปแค่ไหนอย่างไร..กระทั่ง รัฐมนตรีมหาดไทยเจ้าของธุรกิจราคาหมื่นล้าน จะลงทุนไปปักกล้าดำนา..คาดผ้าขะม้าเก็บเกี่ยวคะแนนเสียงผู้มีบารมีนอกรัฐบาล..จะกำหนดกุศโลบายหลากชั้น และขับเคลื่อนองคาพยพทั้งสิ้นทั้งปวง..ประเคนใส่..หว่านเสน่ห์ลงไปทุกหย่อมหญ้า..จนสีเขียวธรรมชาติกลายเป็นน้ำตาลท่วมยอดแต้มที่ทำได้ก็ยังห่างไกลกับคำว่าชนะเจ้ายุทธการ..นักวางแผนของภูมิใจไทย..ประเมินคนอีสานต่ำเกินไป..และไม่เข้าใจถึงจิตใจแห่งภูมิภาค ไม่ถี่ถ้วนในเรื่องประวัติศาสตร์และเชื่อมั่นในวัตถุมากกว่าจิตใจ..คนอีสานนั้น..ปฏิเสธพรรคประชาธิปัตย์มา

ช้านาน..แม้แต่ตอนที่ยังไม่มี ทักษิณ ชินวัตรบนถนนการเมือง..และเมื่อ ทักษิณ ชินวัตร..ล ง นั่ง ใ น ต ำ แ ห น่ง น า ย ก รัฐ ม น ต รี. . ปั้นข้าวเหนียวจิ้มปลาร้าใต้ขึงผ้าใบหน้าทำเนียบ..จนได้ใจสมัชชาคนจน..คนอีสานจึงปั้น “ไทยรักไทย” ขึ้นมายิ่งใหญ่..จากคูหาเลือกตั้ง..ถึง 3 ครั้ง 3 ครา..ถ้า เนวิน ชิดชอบ..ผู้สถาปนาภูมิใจไทย..ไม่กอดคอกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคภูมิใจไทยจะแบ่งปันคะแนนจากคนอีสานได้บ้าง..ด้วยคุณภาพเฉพาะตัวของผู้สมัคร..แต่เพราะไปยืนยันเหมือนกับว่า..พรรคภูมิใจไทย คือประชาธิปัตย์ภาคอีสาน..แรงต้านจึงรุนแรงเป็นพิเศษ..คนอีสานออกมาใช้สิทธิ์เพราะกลัว “เพื่อไทย” จะแพ้..แผ่นพับ..ที่เทียบให้ประชาชน..เลือกระหว่าง..เนวินหรือทักษิณ เป็นการตอกลิ่มเข้าไปกลางใจคนอีสาน..เป็นการนำเสนอใน2 สิ่งที่รู้คำตอบล่วงหน้า..ผลการเลือกตั้งครั้งนี้..จะสร้างความลำบากให้กับภูมิใจไทย..และสร้างความกังวลใจให้กับประชาธิปัตย์..เพราะมันชี้ชัดว่า..ประชาชนยังนิยมใน..นายกรัฐมนตรีที่ถูกปฏิวัติผลการเลือกตั้งครั้งนี้..ทำให้ ทักษิณชินวัตร มีที่ยืนเพิ่มขึ้นในโลก ■

ฎีกามหาวินาศ... เดินหน้าก็พัง... ถอยหลังก็วินาศ...

ที่มา thaifreenews


เขียนโดย ปูนนก
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2009 เวลา 22:45 น.

altผมคงจะต้องยอมรับและให้เครดิตอย่างสูง สำหรับใครก็ตามที่คิด concept เรื่องการถวายฎีกา “เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษและเรียกร้องความเป็นธรรมให้ท่านนายกทักษิณ” โดยที่มีท่านวีระ เป็นผู้นำมาพูดสด ๆ บนเวทีสนามหลวงในวันที่ 27 ที่ผ่านมา....เพราะขณะนี้เรื่องการยื่นถวายฎีกา เพื่อท่านนายกทักษิณในครั้งนี้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วในแทบทุกพื้นที่หน้าเวปไซด์, แม้แต่ในหมู่คนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตย หรือคนเสื้อสีอื่น ๆ ก็ตาม.... เสียแล้ว....

อ่านเพิ่มเติมและแสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

ซึ่งไม่ว่าการถวายฎีกาที่ท่านวีระได้เปิดประเด็นเอาไว้นี้จะสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ก็ตาม แต่ประเด็นนี้ได้กลายเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ฝังเข้าไปในความคิดคำนึงของคนไทยส่วนมากในประเทศนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มีเหล่าผู้ทรงความรู้มากมายที่ได้อธิบายกันถึงเรื่องการถวายฎีกา ทั้่งในรูปแบบของค่านิยมตามประเพณีการปกครอง และตามตัวบทกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ความคิดในเรื่องการถวายฎีกาที่ท่านวีระจุดประเด็นเอาไว้นั้นยิ่งถูกขยายความมากขึ้น และกว้างขวางมากขึ้นไปอีก เลยยิ่งทำให้เกิดกระแสทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการยื่นถวายฎีกาในครั้งนี้ มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายในประเด็นนี้....

ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครปฏิเสธ... ว่าเหล่าพี่น้องคนเสื้อแดงผู้ัรักประชาธิปไตยทั้งหลาย ต่างมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การเรียกร้องให้ประเทศนี้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบและอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนทั้งมวล การเรียกร้องในครั้งนี้เป็นการต่อสู้กัีบระบอบเผด็จการอมาตย์ที่ครอบครองอำนาจและยึดครองประเทศนี้มาอย่างยาวนาน อุดมการณ์นี้ได้ “ฝังรากลึก” อยู่ในความคิด, จิตวิญญาณ และเจตนารมย์ ของคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยอย่างเหนียวแน่น และจะไม่มีสิ่งใดจะมาเปลี่ยนแปลงหรือคลอนแคลนได้อีกแล้ว ไม่ว่าฟ้าจะถล่ม, ดินจะทลาย, น้ำจะท่วมประเทศไทย, ทหารจะถือปืนออกมายิงประชาชนมือเปล่าอีกสักกี่ครั้ง, จะจับคนเข้าคุกอีกมากเท่าใด จิตวิญญาณแห่งการเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยก็จะไม่เปลี่ยนไป... และนี่คือ “เป้าหมาย หรือ Goal สูงสุด”

เมื่อทุก ๆ คนต่างก็ยึดมั่นในเป้าหมายเดียวกัน แต่หนทางเดินท่ามกลางสนามการต่อสู้เพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นจะต้องมีหลากหลายยุทธวิธีเพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมาย แน่นอนว่าท่ามกลางการต่อสู้ย่อย ๆ ในหลาย ๆ สนามรบนั้น ความหลากหลายในยุทธวิธีจะก่อให้เกิดความสับสนและการแบ่งแยกของแนวตั้งรับของข้าศึกออกมาเป็นส่วน ๆ ทำให้เกิดความอ่อนแอลง... ยุทธวิธีการถวายฎีกาเรื่องท่านนายกทักษิณนี้ก็เช่นกัน...

เคยมีผู้พยายามถวายฎีกาเกี่ยวกับการขอพระราชทานนิรโทษกรรมให้กับผู้ได้ผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการรัฐประหาร 19 กันยายน มาแล้ว แต่ดูเหมือนว่ากระแสไม่สามารถจุดให้ติดปากหรืออยู่ในความคิดของประชาชนส่วนใหญ่ได้ จะเป็นด้วยสิ่งใดก็ตามซึ่งตรงข้ามกับกรณีฎีกาของท่านวีระที่จุดประเด็นเรียกร้องให้มีการอภัยโทษท่านนายกทักษิณ โดยจะแสดงพลัีึงคนเสื้อแดงด้วยการเข้าชื่อถวายฎีกา 1 ล้านรายชื่อ... ข้อที่น่านำมาพิจารณาก็คือ ท่านวีระนำเรื่องที่ท่านนายกทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรมมาจุดประเด็นและเสนอให้มีการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ “หลัีงจากผ่านการเลือกตั้งที่สกลนคร และที่ศรีสะเกษ” โดยที่พรรคเพื่อไทยชนะถล่มทลายด้วยการโฟนอินของท่านนายกทักษิณ แสดงให้เห็นถึงกระแสความนิยมในตัวของท่านนายกทักษิณได้พลิกฟื้นขึ้นมาอย่างไม่มีสิ่งใดปฏิเสธได้ต่อหน้าของประชาชนทั้งมวล

และด้วยสถานการณ์นี้ท่านวีระได้จับเอากระแสนี้โยนลงมาให้ประชาชนชาวเสื้อแดงทั้งหลายร่วมกันแสดงพลังประชาธิปไตย เข้าเปิดการโจมตีในอีกสนามรบหนึ่งนั่นก็คือสนามรบการถวายฎีกา ผมเชื่อว่าท่า่นวีระทราบดีว่าประเด็นที่จุดเรื่องที่ท่านนายกทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรมและถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษในครั้งนี้ จะเป็นกระแสที่จุดติดในใจของคนไทยจำนวนมาก... เหมือนคราว สนธิ ลิ้มทองกุล จุดกระแส “ถวายคืนพระราชอำนาจ” แล้วบิดเบือนด้วยข้อกล่าวหาทุก ๆ สิ่ง กรณีการถวายฎีกาขออภัยโทษให้ท่านนายกทักษิณก็เช่นกัีน เพราะตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ท่านนายกทักษิณ มิได้กระทำสิ่งใดผิดดังที่ได้ถูกกล่าวหา มีแต่ได้รับความอยุติธรรม และถูกกลั่นแกล้งโดยอำนาจเผด็จการ ดังนั้นเมื่อในขณะที่กระแสท่านนายกทักษิณกำลังร้อนแรง สืบเนื่องจากการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา การจุดประเด็นเรื่องถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษในครั้งนี้จึงเท่าักับเป็นการเปิดแนวรบใหม่ ที่ฝ่ายประชาธิปไตยได้เข้า่โจมตีฝ่ายเผด็จการอมาตย์อย่างรุนแรงชนิดเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลัีงก็ไม่ได้เลยทีเดียว...

ถ้าฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษในครั้งนี้สำเร็จและได้มีการทูลเกล้าขึ้นจริง นั่นก็หมายความว่า “ประชาชนชาวไทยกว่า 1 ล้านคนเห็นพ้องกันว่า ท่านนายกทักษิณเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่สมควรได้รับโทษใด ๆ และขอพระราชวินิจฉัยที่จะให้ท่านนายกทักษิณได้เดินทางกลับเข้าประเทศไทย” ซึ่งขณะที่ในปี 2549 ก่อนที่จะมีการทำรัฐประหาร ได้มีกลุ่มคน 7 คนจาก 7 กลุ่มอำนาจของเผด็จการอมาตย์ ได้ไปประชุมกันที่บ้านของ นายปีย์ มาลากุล และเห็นพ้องต้องกันว่า “ท่านนายกทักษิณมีความผิดและไม่สมควรจะอยู่ในประเทศไทยอีกต่อไป” จากนั้นก็เกิดการรัฐประหารขึ้นโดยได้รับพระราชทานพระปรมาภิไธยให้การรัฐประหารล้มล้างอำนาจประชาธิปไตยกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ดังนั้นการยื่นถวายฎีกาในครั้งนี้จึงเป็นกลยุทธที่แหลมคมอย่างยิ่ง ในการนำเอา 2 พลัีงอำนาจที่แท้จริงและกำลังเิผชิญหน้ากัน เข้ามายืนกันคนละฝ่ายโดยมี เรื่องการถวายฎีกา เข้ามาอยู่ตรงกลาง เพราะในกรณีฎีกานี้เป็นพระราชอำนาจ, และพระราชวินิจฉัยอย่างสมบูรณ์ของพระองค์ท่านแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีผู้ใดไปก้าวก่ายได้ ซึ่งไม่ว่าการถวายฎีกาในครั้งนี้ผลจะออกมาอย่างไร ก็จะเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจุดสุดท้าย หรือจุดสิ้นสุดของการต่อสู้ในครั้งนี้เผด็จการอมาตย์จะมีสภาพอย่างไร เพราะจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ได้รับการรับรองว่ากระทำถูกต้องและอีกฝ่ายกระทำไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเผด็จการอมาตย์จากกลุ่ม 7 คนที่ล้มล้างอำนาจประชาธิปไตย หรือฝ่ายประชาชน 1 ล้านรายชื่อที่เรียกร้องประชาธิปไตย

ด้วยเหตุนี้โดยส่วนตัวของผมจึงพิจารณาว่า การจุดประเด็นเรื่อง “การยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ท่านนายกทักษิณ” นั้น ไม่ว่าจะเป็นการถวายฎีกาืทางกฎหมาย, หรือเป็นฎีกาทางการเมือง ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใดเพราะ ไม่ว่าจะเป็นทางกฎหมาย หรือทางการเมืองหรือไม่ ก็ไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจหรือเป้าหมายการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของพี่น้องประชาชนต่อไปได้ กรณีการยื่นถวายฎีกานี้เป็นเพียงเครื่องมือการต่อสู้เครื่องมือหนึ่งในสนามรบเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรวันหนึ่งเมื่อประเทศไทยได้มีการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงแล้ว วันนั้นท่านนายกทักษิณก็กลับมาประเทศไทยและได้รับพระราชอภัยโทษได้อยู่แล้วอย่างแน่นอน....

ดังนั้นผมจึงอยากให้พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุก ๆ ท่านอย่าหลงประเด็นในเรื่องการถวายฎีกานี้อีกเลยครับ เพราะถึงแม้ไม่ว่าการถวายฎีกานี้จะมีผลอย่างไรในบั้นปลาย เช่นไม่ได้รับพระบรมราชานุญาติ หรือได้รับพระราชทานอภัยโทษ ผลในเวลานั้นก็ไม่แตกต่างกันสำหรับการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยเพราะเป็นเรื่องของเพียงคน ๆ หนึ่งที่ชื่อ (นายก)ทักษิณ เท่านั้น ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป้าหมายการต่อสู้ของพี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยได้ แต่ที่สำคัญกว่าก็คือเวลานี้เรื่องการถวายฎีกาในครั้งนี้ได้กลายเป็น “ฎีกามหาวินาศ” สำหรับใครบางคนไปแล้วครับ


ปูนนก

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2009 เวลา 23:07 น.

รายงาน : ปรากฏการณ์ “หนังสือพิมพ์คนเสื้อแดง” บานสะพรั่ง



หากใครได้ไปเยือนสนามหลวงในวันชุมนุมใหญ่ 27 มิถุนายน 2552 สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นและเป็นปรากฏการณ์ใหม่อันคึกคักแทนการขายมือตบ เสื้อผ้า อาหาร อย่างที่เคยมีมาคือ การขายหนังสือ ทั้งหนังสือพ็อกเก็ตบุกส์ของบรรดาแกนนำต่างๆ รวมถึง หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ราย 3 วัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ รายเดือน รายสะดวก วางยาวหลายซุ้ม โดยมีผู้ชุมนุมร่วมอุดหนุนอย่างเนืองแน่น

ว่าไปแล้วมันก็ไม่ต่างจากการผลิตสื่อของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขณะที่เว็บไซต์เอเอสทีวีผู้จัดการเป็นเว็บท่าในการขับเคลื่อนขบวนและการส่งข่าวสาร เว็บต่างๆ ของคนเสื้อแดงก็กระจัดกระจายอยู่ในโลกไซเบอร์แบบหลากหลายเฉด กลุ่มพันธมิตรฯ มีเอเอสทีวี กลุ่มเสื้อแดงก็มี ดี สเตชั่น เหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนกันคือโดนปิดบ่อยกว่า (ฮา)

อาจเรียกได้ว่าเป็นการเข้าสู่ยุคที่กลุ่มการเมืองต่างๆ เริ่มมีช่องทางการสื่อสารของตัวเอง เลิกง้อสื่อหลัก และโยนคำสวยๆ อย่าง “มืออาชีพ-เป็นกลาง-รอบด้าน” ทิ้งไป อาศัยแต่เพียงวิจารณญาณและการสรรเสพของผู้บริโภคเป็นหลัก

มาถึงวันนี้คนเสื้อแดงดูเหมือนจะรุกคืบเข้าสู่สื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งเขาว่ากันว่าอยู่ยากหนักหนา ...ไม่ใช่ฉบับเดียว แต่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทั้งรูปแบบ แนวทาง บ้างเน้นการวิเคราะห์การเมืองระดับยุทธศาสตร์ บ้างเน้นการโจมตีรัฐบาล บ้างเน้นแนวรบวัฒนธรรม ฯลฯ ในส่วนของผู้จัดทำก็กระจัดกระจายหลายกลุ่ม ทั้งแกนนำที่มีชื่อ แกนนำตามหัวเมือง หรือกลุ่มย่อยต่างๆ ที่เป็นแนวร่วมคนเสื้อแดง

เราตระเวนซื้อทุกซุ้ม ซื้อทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ก่อนที่สายฝนจะกระหน่ำลงมาอย่างหนักในคืนนั้น และพยายามทำความรู้จักหนังสือฝีมือคนเสื้อแดงฉบับต่างๆ ผ่านบทบรรณาธิการ และการโทรศัพท์ไปสอบถามเท่าที่ทำได้

ฉบับหลักๆ ที่ออกถี่ และวางแผงทั่วไปกับเขาบ้าง ก็เห็นจะมี Thai Red News กับ มหาประชาชน ฉบับความจริงวันนี้ ส่วนฉบับอื่นๆ นั้นไม่วางแผงทั่วไปแต่เน้นระบบสมาชิก และการกระจายผ่านแกนนำในจังหวัดต่างๆ

Thai Red News
"ประชาธิปไตย เสรีภาพ เสมอภาค"
ราคา 20 บาท (วางแผงทั่วไป) ออกมาแล้ว 3 ฉบับ
สำนักงาน: วิวาทะ ฉบับ ไทยเรดนิวส์
โทร.02 9349388
สำหรับ Thai Red News นั้นเปิดตัวมาตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีนายวิบูลย์ แช่มชื่น อดีต ส.ว.กาฬสินธุ์ เป็นผู้อำนวยการบริหาร และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำ นปช.เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์และผู้โฆษณา โดยมีการจัดงานระดมทุนในรูปแบบจำหน่ายบัตรที่นั่งฟังดินเนอร์ทอล์กเรื่อง "อนาคตประชาธิปไตย-ใต้ฟ้าสีเทา" เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัว The Red E-news ทางเว็บไซต์ www.thairednews.com

วิบูลย์ให้สัมภาษณ์ในวันเปิดตัวหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ว่า เป็นไปเพื่อต้องการเป็นสื่อสารมวลชนทางเลือกและเป็นสื่อกลางของประชาชนคนหัวใจสีแดง โดยมุ่งเสนอข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริงด้านข่าวสารการเมืองการปกครอง ทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ส่วนรูปแบบหนังสือพิมพ์จะเป็นหนังสือพิมพ์ขนาดแทบลอยด์โดยออกเป็นรายสัปดาห์ ฉบับแรกพิมพ์ 30,000-50,000 ฉบับ

ส่วนสมยศ แกนนำ นปช. ที่ร่วมจัดทำด้วยกล่าวถึงเหตุผลที่ทำ Thai Red News ว่า เพราะสื่อกระแสหลักที่มีอยู่ เสนอข่าวได้ไม่ตรงความจริง สื่อกระแสหลักเข้าข้างรัฐบาล และลำเอียงต่อคนเสื้อแดง จึงต้องหนังสือพิมพ์ของคนเสื้อแดง เพื่อเสนอความจริงที่รอบด้าน ความจริงที่แตกต่าง และคนที่ทำข่าวก็จะเป็นนักเคลื่อนไหว

“ทุกคนเป็นสื่อสารมวลชนได้ และผมคิดว่าเราทำได้ดีกว่าด้วย เพราะเราเป็นข่าวอยู่แล้ว ปกติเราเคลื่อนไหว เราก็เป็นข่าว วันนี้เราก็มาทำสื่อด้วย และเรามีจิตวิญญาณประชาธิปไตยมากกว่า และสื่อนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวทางประชาธิปไตย มันแตกต่างที่เราไม่ใช่แค่สื่อ แต่เป็นสื่อเพื่อการเปลี่ยนแปลง

บทความและข้อเขียนทั้งหมดเป็นผลงานของคนเสื้อแดงก็จริง แต่ว่า เราก็ประกาศไว้แล้วว่า เรายินดีรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายเป็นเวทีที่เปิดกว้าง ก็เปิดให้คนเสื้อแหลืองด้วย” สมยศกล่าว

ปัจจุบัน Thai Red News ออกมา 3 ฉบับแล้ว ด้วยยอดพิมพ์ราว 20,000 เล่ม วางแผงทั่วไปและมีสมาชิกรับประจำประมาณ 1,000 คน ซึ่งสมยศมองว่า ไม่มากนัก และด้วยการเน้นความเป็น mass ที่ต้องผลิตเยอะและวางแผนทั่วไป ทำให้ต้องประหยัดต้นทุนอย่างมากเพื่อให้อยู่ได้ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันเชิงคุณภาพได้มากนัก ส่วนใหญ่ทีมงานที่ทำก็เป็นอาสาสมัครเสียมาก

“ความจริงวันนี้น่าจะมาแรงกว่า เพราะเขาพร้อมทั้งงบประมาณและบุคลากร อีกฉบับที่น่าสนใจที่เขาวางแผนกันว่าจะทำวางแผงตามท้องตลาดเลยคือ ของคุณสุธรรม แสงประทุม ชื่อ เสียงทักษิณ เป็นนิตยสารรายปักษ์ เขาน่าจะเปิดตัวราวปลายเดือนกรกฎา” สมยศว่า

เขากล่าวเสริมด้วยว่า ผู้อ่านจะเป็นคนตัดสินเองว่าฉบับไหนที่พวกเขาชอบ ฉบับนั้นก็จะอยู่ได้ และการมีหัวหนังสือที่หลากหลาย ก็สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่กลุ่มคนทำแต่ละคนมีบุคลิกภาพ มีแนวทางการทำงานที่แตกต่าง ดังนั้น ก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่แต่ละฉบับจะไม่เหมือนกันเลย

มหาประชาชน ฉบับความจริงวันนี้
“สื่อเพื่อต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ”
ราย 3 วัน ฉบับละ 20 บาท (วางแผงทั่วไป)
เล่มแรก วันที่ 29มิ.ย.52 – 1 ก.ค.52
นิตยสาร “มหาประชาชน” เคยปรากฏตัวให้เห็นนานแล้วในทุกครั้งที่มีการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง มาวันนี้ มีการปรับเปลี่ยนโฉม เป็น มหาประชาชน ฉบับ ความจริงวันนี้ โดยปรับให้เป็นราย 3 วัน มีการวางแผงทั่วไป และนำทัพโดย วีระ มุสิกะพงศ์ พร้อมด้วยแกนนำเด่นๆ ที่มาเป็นคอลัมนิสต์ ทั้ง จตุพร พรหมพันธุ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, เหวง โตจิราการ, ก่อแก้ว พิกุลทอง ฯลฯ

สำหรับเนื้อหาในเล่มนั้นแม้ว่าส่วนใหญ่จะเน้นการเมือง แต่ก็ยังมีเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องราวเบ็ดเตล็ดต่างๆ แทรกอยู่ เล่มแรกเปิดตัวอย่างแหลมคมในการชุมนุมใหญ่ 27 มิ.ย. ด้วยหัวข้อ “สดุดีวีรกรรมคณะราษฎร ผู้นำการอภิวัฒน์ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา”

“หนังสือพิมพ์มหาประชาชนรายสัปดาห์เคยรับใช้นักประชาธิปไตยมาช่วงหนึ่ง ในเวลาที่ คมช.ปกครองประเทศ .... บังเอิญระยะนั้นสื่อกระแสหลักพากันกรูเกรียวไปสนับสนุนการยึดอำนาจและออกอกาการรังเกียจเดียจฉันท์สื่อเล็กๆ ที่ไม่เฮโลตามพวกเขาไป โดยพยายามให้คำจำกัดความสื่อที่ต่อสู้เพื่อเรียกหาประชาธิปไตยว่าเป็น สื่อเทียม

.... ปัจจุบันนี้เผด็จการซ่อนรูปได้คายพิษออกมาจนเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า .... ทีมงานความจริงวันนี้ จึงรวมตัวกันเพื่อคืนชีพให้กับ หนังสือพิมพ์มหาประชาชนอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้จะมีรูปโฉมขนาดแทบลอยด์ออกวางตลาดเป็นราย 3 วัน มีชื่อว่า มหาประชาชน ฉบับ ความจริงวันนี้ เพื่อทำหน้าที่เสนอข่าววิเคราะห์และเป็นสื่อกลางประสานสัมพันธ์ระหว่างคนเสื้อแดงผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งหลาย ... เราพร้อมแล้วที่จะทำหน้าที่ตั้งแต่บัดนี้ โปรดพิสูจน์ผลงานของเรา” บทบรรณาธิการฉบับแรกเชื้อเชิญไว้
นิตยสารธงแดง
“สันติวิธีสู้รบ กระบอกเสียงของประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
รายปักษ์ ฉบับละ 25 บาท
ออกมาแล้ว 2 เล่ม เริ่ม 1 มิถุนายน 2552
(เล่มแรกหมดแล้ว คนขายบอกว่าเหลือให้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก)
สำงานงาน 2539 อาคารอิมพีเรียลเวิร์ล ลาดพร้าว ชั้น 5
ซอย 81-83 ถนนลาดพร้าว แขวง/เขต วังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310
สำหรับ “ธงแดง” เป็นนิตยสารรายปักษ์ที่มีรูปเล่มเหมือนหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ ริเริ่มโดยกลุ่มของ วิสา คัญทัพ, วิภูแถลง พัฒนาภูมิไทย, ไม้หนึ่ง ก.กุนที ฯลฯ ออกเป็นรายปักษ์ เล่มละ 30 บาท และเน้นการกระจายผ่านระบบสมาชิกอย่างเดียวเท่านั้น ปัจจุบันมีสมาชิกราว 600-700 คน ยอดพิมพ์ประมาณ 2,000-3,000 เล่ม และในงานชุมนมใหญ่ครั้งล่าสุดก็ขายได้นับพันเล่ม

วิสา หนึ่งในผู้ก่อตั้งพูดถึงแนวคิดเบื้องต้นว่า บรรยากาศของสื่อในยุคนี้คล้ายกับช่วงก่อน 14 ตุลา เนื่องจากระบบธุรกิจได้ครอบงำวงการสื่อ พวกเขาต้องลงทุนมหาศาลจึงต้องคำนึงถึงความอยู่รอดเป็นหลัก วิธีคิดของพวกเขาคือต้องอยู่รอดไปกับรัฐบาล ส่วนเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อความเป็นธรรม เป็นเรื่องรองลงไป

“พวกเขาให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอำมาตย์ เขามีแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยที่แตกต่างกับคนเสื้อแดง เขายอมรับการรัฐประหาร คมช.ได้ ยอมรับการรัฐประหารซ่อนรูปในการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์ได้ อันที่จริงแล้วการเมืองใหม่ของพวกเขาก็ไม่มีอะไรใหม่แต่ย้อนไปในยุคเก่า ให้อำนาจมาจากการแต่งตั้งมากกว่าเลือกตั้ง ด้วยภาวการณ์แบบนี้จำเป็นต้องมีหนังสือฝ่ายประชาชน มันเป็นความจำเป็นโดยธรรมชาติ”

วิสาว่า พวกเขาเริ่มจากเล็กๆ ใช้ทุนไม่มาก อาศัยว่าทำได้โดยอิสระ และเริ่มได้เลย ไม่ต้องคิดมาก สำหรับธงแดงนั้นไม่มีการจัดเลี้ยงระดมทุน อาศัยประหยัดต้นทุนทุกอย่างให้มากที่สุด เขียนเองเป็นหลักและเชิญคอลัมนิสต์อาสาเข้ามาช่วยด้วย โดยมีทีมงานที่ทำงานจริงมีเพียง 4-5 คน เน้นการรับสมัครสมาชิก ซึ่งช่องทางเดียวที่มีอยู่ตอนนี้คือการโฆษณาผ่านทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม people channel ซึ่งเขามีโอกาสจัดรายการรายการหนึ่งในนั้น ขณะนี้มีสมาชิกประมาณ 600-700 คน เรียกว่า “พออยู่ได้”

สำหรับแนวเนื้อหานั้น เน้นประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงทางวิชาการ หรือยุทธศาสตร์เป็นหลัก ฉบับแรกพูดถึงการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ขณะที่ฉบับที่สองเล่นเรื่องที่เป็นประเด็นวิวาทะกันมากกว่าขบวนการเสื้อแดงนี้ใครนำ?

“ทักษิณ..นำ ประชาธิปไตย...นำ หรือ...ใครนำ?”

นอกจากเนื้อหา บทวิเคราะห์ทางการเมืองแล้ว เล่มนี้ยังแทรกด้วยบทกวี และมีพื้นที่ของเรื่องสั้นการเมืองด้วย

“มันออกมาแนวนี้ เพราะเราเติบโตมาจากสายวรรณกรรม เราเห็นคุณค่าของแนวรบทางวัฒนธรรม”วิสากล่าว


ดีแมกาซีน
ฉบับแรก “รากหญ้าไม่โง่”
โดยเครือข่ายราษฎร นักเขียนศิลปินประชาธิปไตย
ออกรายสะดวก ยังไม่รับสมาชิก

ถัดจากลูกครึ่ง “นิตยสาร-หนังสือพิมพ์” อย่างธงแดงแล้ว ก็ยังมีนิตยาสารแท้อย่าง D-Magazine ด้วย ริเริ่มดำเนินการโดยกลุ่มเครือข่ายราษฎร (ธรรมดา ไม่อาวุโส –แซวเล่น :P) นักเขียน ศิลปินประชาธิปไตย มี วัฒน์ วรรลยางกูร ผู้มีความใฝ่ฝันอันเก่าแก่ที่จะทำหนังสือเพื่อมนุษย์ตัวเล็กมาเป็นบก.เล่มนี้ “รากหญ้าไม่โง่” ได้ทองธัช เทพารักษ์ มาออกแบบปก และทีมงานอาสาสมัครที่ช่วยคิด ช่วยเขียน ที่สำคัญ เป็นนิตยสารรายสะดวก ไม่มีวางแผงทั่วไป และยังไม่ถึงเวลาบอกรับสมาชิก! เขาว่าไว้อย่างนั้น สนใจอยากได้มาครอบครอง ต้องติดต่อทางเว็บไซต์ http://dmagazine.tk%20หรือ/อีเมล์ dmag2009@gmail.com

“ดีแมกาซีน เป็นหนังสือของกลุ่มกวีศิลปินรากหญ้า ในนามเครือข่ายราษฎรนักเขียนศิลปินประชาธิปไตย ที่มีหัวใจสีเดียวกัน หนังสือเล่มนี้เป็นสื่อเชื่อมโยงระหว่างคนรากหญ้ากับกวี ศิลปิน กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองประชาธิปไตย

D คืออะไร คือ democracy คือประชาธิปไตยที่จริงแท้ ไม่บิดเบี้ยวบดบัง หรือ D deang คือสีแดง หรือ ดี คิดดี ทำดี เขียนดี หรือ ดี ภาษาลาวเรียก บี ของขมอร่อยช่วยย่อยสบายท้อง และหากแก่กล้าก็เป็น ดีหมี ดีมังกร อยู่ยงคงกะพัน” บรรณาธิการเขาว่าไว้ในตอนท้ายของเล่ม

เนื้อหาในเล่มก็หลากหลายทั้งแต่บทวิเคราะห์คนรากหญ้า บทสัมภาษณ์นักเพลง แท็กซี่รากหญ้า เรื่องราวของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เรื่องสั้นการเมือง บทกวีการเมือง การ์ตูนการเมือง บันทึกสงกรานต์เลือด จากเหวง โตจิราการ ฯลฯ

ไม้หนึ่ง ก.กุนที กวีสีแดงแสบซ่า หนึ่งในทีมงาน วิเคราะห์ถึงหนังสือเล่มนี้และเล่มอื่นๆ ไว้ว่า

“สำหรับยอดขายต่างๆ นั้น คนในวงการหนังสือเขาก็จะรู้สึกว่ามันร้อนแรงมาก แต่สำหรับผมที่เคลื่อนไหวกับคนเสื้อแดงมา หน่วยพันจากคนหลายหมื่น นับว่ายังน้อย”

อย่างไรก็ตาม ไม้หนึ่งมองว่า ขณะนี้ดูเหมือนจะมีหัวหนังสือคลอบคลุมทั้ง 4 ห้วงเวลาแล้ว ในส่วนของรายวัน จะเริ่มต้นด้วยอัตราขาดทุนสูง อาจมากเป็นสิบล้าน ที่ผ่านมายังไม่มีใครกล้าทุก จนกระทั่ง วีระลองออก ความจริงวันนี้มาชิมลางดู ส่วนรายสัปดาห์ก็มี Thai Red News รายปักษ์ก็มีธงแดง

“จุดหักเหของคนเสื้อแดงในด้านสื่อคือ ขอเพียงยืนข้างเขา เขาซื้อหมด ไม่ว่าจะหนังสืออะไร เพราะเขารู้สึกไม่มีพื้นที่ แต่ถ้ามองมุมของมาตรฐานหนังสือ บางเล่มก็ยังเน้นการพีอาร์ให้นักการเมืองเยอะเกินไป แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าพวกรายวันรายสัปดาห์ที่วางแผงทั่วไปจะมีลักษณะเชิงรุกทางการเมืองมากกว่า”

“จริงๆ อย่างเล่มความจริงวันนี้ ก็มีลักษณะที่ผลิตซ้ำ 2475 เล่มสองเขาจะเล่นเรื่อง นายสินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือสมัยคณะราษฎรปฏิวัติประเทศ ถ้าเล่นธีมนี้เรื่อยๆ จะดีมาก เพราะประวัติศาสตร์คณะราษฎรในฐานะปัจเจกบุคคลถูกทำลายหมด และแบบเรียนประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยอธิบายยกย่องพวกเขา”

“ขณะที่หนังสืออย่างธงแดง จะมีบุคลิกค่อนข้างใหม่ เป็นหนังสือพิมพ์ที่ทำโดยกวี หน้าปกก็มีบทกวีขึ้น เป็นการทำสิ่งที่ไม่เคยทำกันมาก่อน”

“สถานการณ์ตอนนี้เป็นสถานการณ์สู้รบ มีดไม่จำเป็นต้องมีด้ามงา ขอเพียงมีคมเท่านั้นก็ใช้ได้ ดีแมกาซีน ยังอยู่ในจุดที่สวยงามสุด แต่มันเสียเวลา แทนที่จะออกได้เร็วกว่านี้ แต่เราก็เสียเวลาทำให้มีดมันสมบูรณ์สวยงาม”

หนังสือพิมพ์คนเสื้อแดง

รายเดือน เน้นระบบสมาชิกในพื้นที่กรุงเทพฯ หัวเมืองใหม่

ผลิตมาแล้ว 3 ฉบับ มีสมาชิกราว 1,000 คน

แนวทางเป็นพื้นที่แสดงความรู้สึกและข้อมูลคนเสื้อแดง ไม่ได้มุ่งโจมตีรัฐบาล

นำโดยเอกสิทธิ์ หมวกทอง โทร 02 9320583

นอกจากทำหนังสือพิมพ์แล้วยังมีซุ้ม "โพลล์" คนเสื้อแดง

ซึ่งคนทำระบุว่ารวมกลุ่มทำกันเองแบบเป็นวิชาการ

เพื่อสำรวจความคิด ความชอบ และการเข้าถึงสื่อของคนเสื้อแดง

คนการบินไทยระดมทุนพิมพ์วารสารแจกฟรี "แฉ"

คัดสรรเนื้อหาในโลกไซเบอร์สเปซมาตีพิมพ์

รับบริจาคตามจิตศรัทธา

ถึงจุดนี้แล้ว เสื้อแดงควรประนีประนอม หรือสู้ต่อไป?

ที่มา Thai E-News


โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
29 มิถุนายน 2552

เราต้องระวังคนที่พูดว่า “ทำยังไงก็ได้เพื่อเป้าหมาย” เพราะยุทธศาสตร์ของการเพิ่มอำนาจประชาชน เพื่อสังคมที่เท่าเทียม และประชาธิปไตยแท้ ย่อมขัดแย้งกับยุทธวิธีประเภทที่ขอความเมตตาจากผู้มีอำนาจเบื้องบน


เมื่อไม่นานมานี้มีคนเสื้อแดงเขียนอีเมล์มาถามผมว่าคิดอย่างไรกับประเด็นดังต่อไปนี้....

“เริ่มกังวลค่ะว่าโดยสถานการณ์ว่าจะมีการประนีประนอมกันได้ระหว่างทักษิณกับอำมาตย์ เพราะคนมีอำนาจก็น่าจะเห็นประเด็นนี้เหมือนกันว่า หากเคลียร์กันได้ สถานการณ์น่าจะอ่อนลงมากเหมือนกัน คนอย่างทักษิณหากเคลียร์ใจกันแล้ว และกลับมา เค้าจะเป็น สฤษดิ์คนที่สองได้เลยหรือไม่คะ และเราจะต้องเหนื่อยกันสองเด้งเลยทีเดียว
ก็เลยเริ่มคิดกันว่าเราจะเตรียมแผนรองรับกันไงดีอะค่ะ??

อีกประเด็นก็คือรู้สึกว่าบางส่วนของเสื้อแดงคาดหวังว่าทักษิณจะมาเป็นผู้นำซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยในความคิดส่วนตัว”


ผมเชื่อว่าคำถามนี้อยู่ในใจคนเสื้อแดงจำนวนมาก และเราควรร่วมกันคิดร่วมกันตอบ...... สำหรับผม ผมคิดว่า..เราต้องสู้ต่อไปเพื่อประชาธิปไตยแท้ ไม่ใช่มาประนีประนอมหรือถวาย ฎีกา... เพราะอะไร?

เราต้องเข้าใจว่าอำนาจอำมาตย์เป็นอำนาจนอกกรอบรัฐธรรมนูญ มีทั้งทหาร ศาล ข้าราชการ สื่อ ผู้มีอิทธิพลในองค์กรที่เกี่ยวกับพระราชวัง และยังมีมวลชนคนชั้นกลางล้าหลังอนุรักษ์นิยมอีกด้วย ดังนั้น

1. การต่อสู้จะต้องเป็นการรุกสู้เกินขอบเขตของการเรียกร้องรัฐธรรมนูญปี ๔๐ หรือการพยายามหาชัยชนะในการเลือกตั้ง เรารู้ดีว่าชัยชนะในการเลือกตั้งมันสำคัญ แต่มันไม่เพียงพอที่จะยกอำนาจให้ประชาชน และปฏิรูปให้มีประชาธิปไตยแท้ กรณีการยึดสนามบิน และการเลือกปฏิบัติของทหารและศาล โดยไม่ฟังรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นสิ่งที่เราจำได้ และชี้ให้เห็นข้อจำกัดทางอำนาจของรัฐสภาเมื่อเผชิญหน้ากับอำมาตย์

2. สิ่งที่คนเสื้อแดงจำนวนมากต้องการ ไม่ใช่แค่การกลับมาของประชาธิปไตยรัฐสภาในรูปแบบก่อน ๑๙ กันยา หรือการอภัยโทษกับนักการเมือง ไทยรักไทย สิ่งที่คนเสื้อแดงจำนวนมากต้องการ คือประชาธิปไตยแท้ ที่ทหาร วัง องคมนตรี ศาล ฯลฯ แทรกแซงไม่ได้ และอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องการคือ สังคมที่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ สาเหตุที่พลเมืองจำนวนมากรักทักษิณ ก็เพราะเขาเริ่มสร้างระบบสวัสดิการ และเริ่มลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวยกับคนจนผ่านนโยบายประชานิยม

การต่อสู้ของเราจะเป็นการต่อสู้ที่ใช้เวลา และที่สำคัญคือต้อง ใช้ความกล้าหาญทางความคิด ที่จะพัฒนาเป้าหมายให้ก้าวหน้า

ในสภาพเช่นนี้... แกนนำพรรคเพื่อไทย หรือ ไทยรักไทย เก่า อาจไม่พร้อมที่จะไปไกลกว่ารัฐธรรมนูญปี๔๐ การหากินกับผลงานเก่า หรือการอภัยโทษนักการเมือง เขาอาจไม่พร้อมที่จะสู้เต็มที่กับอำมาตย์ และไม่พร้อมที่จะปฏิรูปสังคมอย่างถอนรากถอนโคนจนเราได้ประชาธิปไตยแท้ ดังนั้นเราเริ่มเห็นการเสนอเรื่องถวายฎีกา การหาทางประนีประนอม

และการไม่เสนออะไรใหม่ๆ เช่นรัฐสวัสดิการ มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ทำให้คนตกงานในปัจจุบัน หรือข้อเสนอเรื่องการแก้ไขปัญหาในภาคใต้ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ถูกสะท้อนในคำพูดของทักษิณและแกนนำเสื้อแดงบางคน

ในเรื่องว่าทักษิณจะกลับมาหรือไม่ ผมตอบไม่ได้ แต่ถ้ามีการประนีประนอมกับอำมาตย์ ฝ่ายอำมาตย์คงไม่อยากให้กลับมาเป็นนายกฯ และถ้าเป็นนายกฯ ก็คงต้องการลดอำนาจและอิทธิพล

ทักษิณจะเป็น “สฤษดิ์ที่สอง” หรือไม่? ก็ตอบยาก สฤษดิ์ไม่เคยผ่านการเลือกตั้งเหมือนทักษิณ และโดยรวมประวัติศาสตร์ไม่เคยซ้ำรอยร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับคำถามนี้คือ ถ้ามีการประนีประนอมระหว่างทักษิณกับอำมาตย์ ปัญหาคดีหมิ่นเดชานุภาพคงยังไม่ถูกแก้ ปัญหาที่เราไม่มีประชาธิปไตยแท้ก็คงไม่ถูกแก้ และการเดินหน้าไปสู่รัฐสวัสดิการแห่งความเท่าเทียมคงเป็นไปได้ยาก เรานั่งเฉยรอให้ทักษิณกลับมาไม่ได้ และนี่คือสาเหตุที่เราต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับการประนีประนอมล่วงหน้า โดยการจัดตั้งในหมู่คนเสื้อแดงเอง

เพื่อให้เราสามารถอิสระจากแกนนำซีกที่จะประนีประนอม และเพื่อให้เราควบคุมผู้นำของเราอีกด้วย เราจะต้องไม่ถูกลากลงเหวโดยพวกนี้ หรือปล่อยให้เขาปราบหรืออย่างน้อยสลาย การทำงานของพวกเราเสื้อแดงที่ต้องการประชาธิปไตยแท้ ผมหวังว่าแกนนำเสื้อแดงจะไม่ประนีประนอมหักหลังประชาชน แต่เราต้องใช้ปัญญาจากโลกจริงเพื่อพร้อมจะมองโลกในแง่ร้ายด้วย

อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำใจ เข้าใจล่วงหน้า คือ การสิ้นชีวิตของคนคนหนึ่ง จะไม่เปิดทางไปสู่ประชาธิปไตยแท้อย่างง่ายๆหรืออัตโนมัติ เพราะอำมาตย์ประกอบไปด้วยหมู่คณะหลายคน ที่มีผลประโยชน์มากมาย ซึ่งเขาจะพยายามปกป้องโดยการยืดเวลา การเปลี่ยนแปลงหรืองานศพ หรือการแปลงมนุษย์ที่สิ้นชีวิตไปเป็นเทวดาในสวรรค์ ซึ่งแปลว่าเราต้องสู้ตอนนี้ ไม่ใช่รอให้อำนาจตกจากฟ้าสู่มือเรา “ตามธรรมชาติ” ประเด็นนี้ผมจะขยายความในบทความเดือนธันวาคม

“ยุทธศาสตร์” เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดพร้อมกับเป้าหมายปลายทางว่าเราต้องการสังคมแบบไหน และ “ยุทธวิธี” เป็นแนวทางต่อสู้เฉพาะหน้า เพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว

เราต้องระวังคนที่พูดว่า “ทำยังไงก็ได้เพื่อเป้าหมาย” เพราะยุทธศาสตร์ของการเพิ่มอำนาจประชาชนเพื่อสังคมที่เท่าเทียม และประชาธิปไตยแท้ ย่อมขัดแย้งกับยุทธวิธีประเภทที่ขอความเมตตาจากผู้มีอำนาจเบื้องบน

เราได้รับคำเตือนแล้ว เพราะตัวอย่างของการอ้างยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย คือข้อเสนอโดยแกนนำพันธมิตรฯ ว่า “ต้องทำแนวร่วมกับศักดินาในการต่อสู้กับนายทุน เพื่อประชาธิปไตย” เพราะสิ่งที่ได้มาจริงๆ ครั้งนั้นคืออำมาตย์

แกนนำเสื้อแดงย้ำ1เดือนถวายฎีกา ชุมนุมใหญ่ก่อนยื่น สร้างกระแสตปท.อภัยโทษ ปชป.คาดแม้วกบดานฮ่องกง

ที่มา มติชนออนไลน์

"จตุพร"เดินหน้าล่าชื่อตั้งเป้า 1 เดือนเสร็จ แย้มอาจนัดชุมนุมใหญ่ก่อนส่งตัวแทนยื่นสำนักพระราชวัง พท.อ้างถวายฎีกาช่วย "แม้ว"ไม่เกี่ยวพรรคปัดกดดันเบื้องสูง ปธ.วุฒิฯเตือนรบกวนเบื้องพระยุคลบาท รมว.ยุติธรรมชี้อย่างนี้ไม่เคยมีมาก่อน "มาร์ค" ขอให้แก้ปัญหาในกรอบ ปชป.เชื่อแผนหนีคดีใหญ่ สงสัยเผ่นมากบดานฮ่องกง


พท.ชี้หาที่พึ่งปัดกดดันเบื้องสูง


นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ปฎิเสธเมื่อวันที่ 29 มิถุนายนว่า พท.ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่ ส.ส.พท.อย่างนายจตุพร เจริญเชื้อ ส.ส.ขอนแก่น กำลังรอการจัดทำแบบฟอร์มยื่นถวายฏีกา ช่วยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อนำไปให้ชาวบ้านในพื้นที่ร่วมลงชื่อ ตามมติของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยกล่าวว่า เรื่องนี้ เป็นการดำเนินการส่วนตัวส.ส. คณะกรรมการบริหารพรรคพท.ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น ส่วนเรื่องสมควรหรือไม่สมควรนั้นเป็นเรื่องของความรู้สึก


พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร แกนนำพท.อีกคน กล่าวว่า ขอยืนยันว่า พท.ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะพรรคยังไม่มีแนวคิดหรือมีการหารือในเรื่องนี้ " อย่างไรก็ตามมองว่าการดำเนินการเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นการกดดันสถาบันเบื้องสูง แต่เป็นการหาที่พึ่งพิงในฐานะประชาชนทั่วไป"พ.อ.อภิวันท์กล่าว


"แดง"อาจชุมนุมใหญ่ก่อน"ยื่น"


นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พท. แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า แกนนำคนเสื้อแดงจะมีการประชุมกันภายในสัปดาห์นี้ เพื่อสรุปแบบฟอร์มการยื่นถวายฎีกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังจากนั้นจะกระจายแบบฟอร์มไปทุกจังหวัดทั่วประเทศเพื่อให้ประชาชนได้ร่วมลงชื่อยื่นถวายฎีกา ผ่านภาคประชาชนและเครือข่ายของคนเสื้อแดงที่มีอยู่ทุกพื้นที่ โดยประชาชนทั่วไปสามารถประสานขอแบบฟอร์มไปกรอกได้ทันที รวมถึงช่องทางของ ส.ส.พท. ที่สามารถประสานขอแบบฟอร์มได้ ซึ่งหลังจากนี้ไม่เกิน 1 เดือน แกนนำคนเสื้อแดงจะรวมรวมแบบฟอร์มทั้งหมดมาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อนำไปยื่นให้กับสำนักเลขาธิการ สำนักพระราชวัง เพื่อส่งต่อให้สำนักราชเลขาธิการต่อไป


นายจตุพร กล่าวว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ ได้รับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 191 ดังนั้นคนไทยทุกคนจึงมีสิทธิ์ที่จะขอพระราชทานอภัยโทษได้ทั้งสิ้น ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการจาบจ้วงแน่นอน เพราะแตกต่างกับการขอพระราชทานนายกรัฐมนตรี มาตรา 7 ซึ่งจะทำให้พระมหากษัตริย์ทำผิดรัฐธรรมนูญ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ควรมาทำตัวเป็นอิเหนา ที่ว่าแต่เขาแล้วสุดท้ายมาเป็นเอง ซึ่งในการยื่นถวายฎีกานั้นเบื้องต้นแกนนำคนเสื้อแดงคิดว่าเมื่อรวบรวมแบบฟอร์มจากประชาชนมาทั้งหมดภายใน 1 เดือนแล้ว อาจนัดชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดง ก่อนที่จะจัดตัวแทนจำนวนหนึ่งไปถือรายชื่อประชาชนพร้อมแบบฟอร์มการยื่นถวายฎีกาฯ กับสำนักพระราชวัง


แดงแตกคอหวั่นเท่ากับรับ"ผิด"จริง


นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำ นปช. แถลงว่า ก่อนหน้านี้ในที่ประชุมนปช.ไม่เคยคุยเรื่องถวายฏีกามาก่อน ความเป็นจริง เป็นไปไม่ได้ ตนเองเคยได้รับพระราชทานอภัยโทษ นายวีระ มุสิพงศ์ ที่ก่อการเรื่องนี้ก็เคยได้รับพระราชทานอภัยโทษ ระเบียบการขอนั้นเป็นเรื่องระหว่างสำนักพระราชวังกับกรมราชทัณฑ์ คือ 1.ต้องเป็นนักโทษเด็ดขาด แต่ที่ทำได้คือการนิรโทษกรรม เป็นเรื่องของสภา อย่างนิรโทษกรรมเรื่องกบฏเมษาฮาวายทำได้เพราะสภาดำเนินการ นายวีระเคยต้องคดีหมิ่นถูกจำคุกแล้วได้อภัยโทษ นายวีระจึงมีข้อจำกัดอยู่ในกระบวนการต่อสู้ นายวีระเคยต่อสู้ในระบบรัฐสภา วันนี้สถานการณ์ในประเทศไทยเลยระบบรัฐสภาไปแล้ว

"ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นด้วยกับแนวทางของนายวีระ และไม่ใช่เป็นการขออภัยโทษแบบธรรมดา แต่ไปล่ารายชื่อมา การล่ารายชื่อจะถูกมองว่าไปเอารายชื่อมวลชนมาบีบบังคับเสียหายกันอีก ผมเคยต้องโทษประหารชีวิต ไม่ต้องล่ารายชื่อแค่ลูกชายยื่นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำเป็นกระแสอย่างนี้ถ้าทำอย่างนั้นเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทำความผิดจริง ผมพยายามติดต่อกับนายวีระถ้าดำเนินการต่อผมจะคัดค้าน และจะติดต่อกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย ถ้ารับอย่างนั้นเท่ากับผิดจริง ถ้าผิดทำไมจึงไม่รับโทษ" นายสุรชัย กล่าว


ปธ.วุฒิฯเตือนรบกวนเบื้องสูง


นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า การขอพระราชทานอภัยโทษตามปกติแล้วคนต้องโทษต้องขอพระราชทานอภัยโทษเอง ไม่เคยมีคนอื่นมาขอพระราชทานให้ ทั้งนี้ไม่แน่ใจว่าหากประชาชนจะร่วมลงลายมือชื่อจะสามารถทำได้หรือไม่ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมี คนที่ต้องโทษเมื่อคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็ต้องดำเนินการขอพระราชทานอภัยโทษด้วยตนเอง ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับมาดำเนินการเอง

ผู้สื่อข่าวถาม การกระทำดังกล่าวจะทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทหรือไม่ นายประสพสุขกล่าวว่า "อาจจะไปรบกวนเบื้องพระยุคลบาทได้ เพราะนำสถาบันมายุ่งกับสถาบันการเมือง"


รมว.ยธ.ชี้ล่าชื่อยื่นไม่เคยมีมาก่อน


นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การขออภัยโทษเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ตามปกติบุคคลที่จะยื่นขออภัยโทษต้องเป็นตัวของนักโทษเองหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยการเป็นญาติพี่น้อง ซึ่งต้องเป็นไปตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์


“ผู้ที่จะขออภัยโทษจะต้องเป็นบุคคลที่รับโทษอยู่ในเรือนจำและต้องมีความรู้สึกว่าต้องการอภัยโทษ โดยเจ้าตัวจะต้องทำเรื่องไปยังผู้บัญชาการเรือนจำหรือให้ญาติพี่น้อง พ่อ แม่ ทำเรื่องตามกระบวนการให้ จากนั้นทางอธิบดีก็จะพิจารณาว่าเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่ โดยการปฏิบัติจะเป็นแนวเดียวกัน หากไม่ดำเนินการไปทางเดียวกันจะถูกมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ ส่วนจะได้รับอภัยโทษหรือไม่เป็นพระราชอำนาจ”นายพีระพันธุ์ กล่าว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกล่าวว่า สำหรับความพยายามรวบรวมรายชื่อ 1 ล้านชื่อเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษนั้นไม่เคยพบและระเบียบของกรมราชทันฑ์ก็ไม่มี แต่การขอพระราชทานอภัยโทษเป็นเรื่องปกติที่ทำกันอยู่ทุกวัน เพราะมีนักโทษเป็นแสนๆ คน ส่วนกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่นั้นเรื่องนี้คงต้องไปดูรายละเอียดจากกรมราชทัณฑ์ เพราะกระทรวงยุติธรรมเป็นเพียงแค่ปลายทาง โดยกระทรวงยุติธรรมมีหน้าที่พิจารณาว่าถูกต้องตามหลักเกณฑ์ก่อนส่งเรื่องให้สำนักนายกรัฐมนตรีส่งให้สำนักพระราชวังเท่านั้น

“กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ตามปกติการขอพระราชทานอภัยโทษ นักโทษจะต้องรับโทษอยู่ในประเทศ หากคนไทยไปติดคุกอยู่ต่างประเทศจะมาขออภัยโทษคงไม่ได้ เพราะเป็นอำนาจทางกฎหมายของประเทศนั้น ๆ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้รับโทษอยู่ในต่างประเทศ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ต้องไปดูระเบียบของกรมราชทัณฑ์”นายพีระพันธุ์ กล่าว


"มาร์ค"ขอให้แก้ปัญหาในกรอบ


ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามรัฐบาลมีแนวทางจะทำให้บ้านเมืองสงบได้อย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า แนวทางของรัฐบาลชัดเจนคือเดิมนปช. เรียกร้องให้แก้ไขกติกา รัฐบาลก็นำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภา โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์และปฏิรูปการเมืองเพื่อศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกฝ่ายก็อยู่ในคณะกรรมการชุดนั้น กำลังจะมีการรายงานผลการดำเนินเข้ามา ทุกอย่างได้ดำเนินการและกำลังจะเดินหน้าต่อไป ส่วนการทำความเข้าใจกับประชาชนในภาคเหนือและอีสานนั้นก็ได้ทำไปพอสมควรแล้ว และความเข้าใจของคนจำนวนมากก็ดี

ส่วนนายกฯ จึงไม่เดินทางลงพื้นที่ เป็นเพราะกลัวหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ตอบสวนทันควันว่า “ไม่ได้กลัวครับ แต่ผมไม่ต้องการเป็นเงื่อนไขความขัดแย้ง และผมอยากจะบอกด้วยว่าถ้ายังมีความพยายามใช้ความรุนแรง ทำให้เกิดภาพความขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆ มันก็เลือกตั้งไม่ได้ แต่ถ้าเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถไปได้ทุกพื้นที่ มันก็เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้การเลือกตั้งทำได้เร็วขึ้น”

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองความเคลื่อนไหวของนปช. ในการล่ารายชื่อประชาชน 1 ล้านชื่อ เพื่อยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้พ.ต.ท. ทักษิณอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ชัดเจน เห็นเป็นการพูดของคนบนเวที เมื่อถามย้ำว่า รัฐบาลเคยประกาศว่าจะรักษาและปกป้องสถาบัน นายกฯ กล่าวว่า “ขอย้ำอีกครั้งว่าปัญหาทั้งหมดเป็นปัญหาเรื่องกฎหมายกับการเมือง ขอให้แก้อยู่ในกระบวนการนี้”


เย้ย"แม้ว"ห่วงตัวเองมากกว่า


นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบเศรษฐกิจ กล่าวถึงเรื่องที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาล ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจขณะนี้ได้ว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้นทำได้หลายวิธี การที่พ.ต.ท.ทักษิณเสนอก็เป็นแนวทางหนึ่ง อย่าเพียงแต่นำเสนอขอให้เข้ามาช่วยเลย วิธีการที่ง่ายที่สุดในขณะนี้คือหยุดสร้างความแตกแยกในประเทศ หากไม่มีความขัดแย้ง ประเทศสงบ พ.ต.ท.ทักษิณจะมีส่วนช่วยให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ถือว่าเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดและทำได้ทันที

“คุณทักษิณก็เป็นห่วงตัวเองมากกว่า การโฟนอินไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับการสร้างความแตกแยกในสังคม เพราะขณะนี้ต้องการทิศทางที่ทุกคนร่วมใจกันเดินไปในแนวทางที่มองประเทศเป็นหลักจริงๆ พ.ต.ท.ทักษิณ กังวลเรื่องของตัวเองมาก กลัวว่าจะต้องไปตายในทะเลทราย ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพราะสามารถกลับเมืองไทยได้ตลอดเวลา เพียงแต่กลัวว่าเมื่อกลับมาแล้วจะถูกจับ เพราะมีคดีติดตัวอยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการกลับมาโดยที่ไม่ถูกดำเนินคดีซึ่งเป็นไปไม่ได้” นายกอร์ปศักดิ์ กล่าว


สงสัย"แม้ว"กบดาน"ฮ่องกง"


รายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์แจ้งว่า ได้รับทราบถึงแผนการเดินทางออกจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี ของพ.ต.ท.ทักษิณตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา จากทางการยูเออีที่แจ้งเรื่องผ่านทางนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นรัฐบาลจึงทำการตรวจสอบ แต่ไม่พบว่าพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปยังทวีปแอฟริกา หรืออเมริกากลางตามปกติ จึงเชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณน่าจะเดินทางมายังประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือฮ่องกง ขณะเดียวกัน แกนนำประชาธิปัตย์ยังตรวจสอบพบว่า ภายในสัปดาห์นี้ พล.ต.ศรชัย มนตริวัต ส.ส.กาญจนบุรี พท. เตรียมเดินทางไปฮ่องกง ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะไปพบปะหารือกับพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อนำข้อเสนอบางอย่างจาก เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางออกของประเทศจากพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ไปเสนอกับพ.ต.ท.ทักษิณ

ปชป.เชื่อแผนปลดล็อคพ้นคดีใหญ่


นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า เรื่องนี้มีการวางแผนไว้ตั้งแต่ช่วงสงกรานต์แล้ว ที่พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์เจแปนไทมส์ และสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ว่า มีแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นที่จะแก้วิกฤตการเมืองได้ ซึ่งเป็นการวางแผนดึงสถาบันเบื้องสูงลงมาเล่นการเมือง โดยใช้จำนวนคนที่ลงชื่อถวายฎีกามากดดัน คล้ายกับการอ้างคะแนนเสียง 19 ล้านเสียงในอดีต และเท่าที่ตรวจสอบขณะนี้ พบว่ามีการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อระดับหมู่บ้าน และตำบล ซึ่งน่ากลัวมาก

ทั้งนี้พรรคมองว่าเป้าหมายของการขออภัยโทษครั้งนี้ไม่น่าจะหยุดแค่คดีซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษกเท่านั้น เพราะพ.ต.ท.ทักษิณยังมีคดีทั้งที่อยู่ในชั้นศาลและก่อนถึงศาลอีกเป็นจำนวนมาก ทุกคดีมีโทษหนักกว่าคดีที่ดินทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคดีเอ็กซิมแบงก์ คดีแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต คดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย คดีจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ จุดยืนของพรรคคือก่อนที่จะดำเนินการขั้นใดๆต่อไป พ.ต.ท.ทักษิณต้องเข้าสู่กระบวนการทางยุติธรรมก่อน

"พรรคยังพบว่ามีกระบวนการสร้างข่าวเพื่อสร้างความสนับสนุนในการดำเนินการขออภัยโทษจากต่างประเทศ โดยพบว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณได้จ้างล็อบบี้ยิสต์บริษัท Cassidy and associates โดยไม่ใช้ชื่อตัวเอง ซึ่งไม่ทราบว่าข่าวดังกล่าวมีความจริงมากน้อยแค่ไหน"โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

เก่ง 3 เรื่อง?

ที่มา ข่าวสด

เหล็กใน




กำลังเอิ๊กอ๊ากอยู่ดีๆ กับนิยาย "แผนตากสิน 2"

ที่นายเทพไท เสนพงศ์ กับหมอบุรณัชย์ สมุทรักษ์ สองโฆษกจากประชาธิปัตย์ ช่วยกันละเลงเสียจนกลายเป็นเรื่องพิสดารพันลึก

ก็ต้องมาปรับอารมณ์กับเรื่องที่กระทรวงสาธารณสุขออกมาแถลง ว่ามีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

เสียชีวิตแล้ว 2 คน

ก่อนหน้านี้มีการเตือนกันไว้แล้วว่าหวัดสายพันธุ์ใหม่ กับไฟใต้

คือ 2 ปัญหาที่จะพิสูจน์ฝีมือการทำงาน ที่เป็นเรื่องของการบริหารบ้านเมือง บำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนของรัฐบาลชุดนี้

นอกเหนือจากการทำงานด้านการเมืองซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์มีทักษะด้านนี้ดีอยู่แล้ว

ตอนที่หวัด 2009 เข้ามาแพร่ระบาดในไทยใหม่ๆ กระทั่งมีจำนวนคนป่วยเพิ่มขึ้นจากหลักสิบ เป็นหลักร้อยและหลักพันอย่างรวดเร็ว

รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขได้พยายามเบรกกระแสตื่นตระหนก ด้วยการแจกแจงข้อมูลให้ความรู้กับประชาชนว่าหวัด 2009 ไม่ได้อันตรายอย่างที่วิตกกัน

หวัด 2009 คือหวัดอีกชนิดหนึ่งซึ่งปกติคนเราเป็นกันประจำอยู่แล้ว รักษาหายได้ ส่วนอัตราการตายก็ต่ำกว่าหวัดใหญ่ธรรมดาเสียด้วยซ้ำ

นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยืนยันข้อมูลนี้เช่นกัน

และไม่รู้จะถือเป็นนโยบายหรือไม่ ที่นายกฯ สั่งกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าต้องดูแลไม่ให้มีผู้เสียชีวิตจากหวัด 2009 นี้โดยเด็ดขาด

ถ้าเป็นนโยบาย การที่มีผู้เสียชีวิตก็คือการสะท้อนการทำงานของรัฐบาลได้ชัดเจน

ชัดเจนพอกับปัญหาไฟใต้ และปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาที่ไปๆ มาๆ ทหารสองฝ่ายก็จะรบกันอีกแล้ว

ไม่กี่วันก่อน นายกฯ อภิสิทธิ์กล่าวถึงโพลสำรวจผลงานรัฐบาลรอบ 6 เดือน ที่พบว่ารัฐบาลสอบตกด้วยคะแนนเฉลี่ย 4.06 เต็ม 10

ว่าเป็นผลจากที่ระยะหลังมีข่าวความขัดแย้งและการทุจริตภายในรัฐบาลออกมามาก ประชาชนรับไม่ได้ คะแนนก็เลยลดลงฮวบฮาบอย่างที่เห็น

ซึ่งอาจจะจริง แต่คงไม่ทั้งหมด

เพราะกรณีหวัด 2009 คือตัวอย่างความล้มเหลวในการทำงานของรัฐบาล

ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และไฟใต้ ยังคงต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกสักระยะ ว่าจะเป็นอย่างคนที่อยู่เมืองนอกบอกว่ารัฐบาลชุดนี้เก่งอยู่ 3 เรื่องเท่านั้น

คือกู้เงิน ขึ้นภาษี บี้ทักษิณ

จริงหรือไม่ อีกไม่นานคงรู้กัน

กษิตคุยรมต.ยูเออี ล่าทักษิณ พท.จ่อไปฉลองชัย

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_16264

"กษิต" เตรียมยกประเด็น "ทักษิณ" ขึ้นคุยในเวทีจีซีซี กับรัฐมนตรีต่างประเทศยูเออี หลัง ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะขนคนไปเยี่ยมที่ดูไบ เพื่อฉลองชัยชนะเลือกตั้ง ...

วานนี้ (29 มิ.ย.) นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าในการขอให้สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ยูเออี) ส่งตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน หลังจาก ล่าสุด ส.ส.พรรคเพื่อไทย เตรียมขนคนไปเยี่ยม พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อฉลองชัยชนะในการเลือกตั้ง ที่ดูไบ ว่า การส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องระหว่างไทยกับยูเออี เพราะดูไบ เป็นส่วนหนึ่งของยูเอเอี ซึ่งได้ติดต่อกันอยู่ตลอด เราได้ให้ข้อมูลแก่เขาไป รวมถึงสถานะทางกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น อำนาจหน้าที่อยู่ที่ฝ่ายยูเออี อย่างไรก็ตาม ระหว่างการประชุมอาเซียนกับกลุ่มประเทศรัฐอ่าวอาหรับ (จีซีซี) ที่ประเทศบาห์เรน ตนมีกำหนดจะหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีต่างประเทศยูเออี ต้องหยิบยกเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นมาพูดคุย ซึ่งจะเป็นการหารือกันเป็นครั้งแรกในระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ หลังจากก่อนหน้านี้ได้มอบให้ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศไปหารือกับยูเออีมาแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ ทราบอยู่ตลอดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่ดูไบ แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ นายกษิต กล่าวว่า ไม่มีใครยืนยัน แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะพูด แต่ตนไม่ค่อยจะเชื่อคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะรู้จักกันมานาน อย่างไรก็ตาม การติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมายังประเทศไทยเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องของไทยต้องร่วมมือกันทั้งหมด

นอกจากนี้ นายกษิต กล่าวถึงเรื่องการแบ่งเขตแดนทางทะเล และการพัฒนาพื้นที่ร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา หลังจากที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ไปหารือกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า กรณีนี้ต้องแบ่งเป็น 2 เรื่องคือเรื่องการแบ่งเขตแดนทางทะเล กับเรื่องการเร่งเอาผลประโยชน์จากทะเลในบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องเจรจากันต่อไปว่าจะใช้สูตรในการแบ่งอย่างไร อย่างไรก็ตาม ตามความตกลงที่ได้มีการลงนามกันไปเมื่อปี 2544 กำหนดให้ทำทั้งสองเรื่องไปพร้อมกัน แต่ขณะนี้ในส่วนของไทยยังไม่ได้หารือกันเป็นการภายใน ทั้งนี้ขอให้สบายใจได้ว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาลที่ยึดความถูกต้อง ธรรมาภิบาล และความโปร่งใสมาตลอด พิสูจน์ได้จาก 60 ปีที่ผ่านมา การทำอะไรใต้โต๊ะนั้นเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างต้องรายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ทราบเป็นระยะ เหตุที่ที่ผ่านมายังไม่ได้เจรจาเรื่องพื้นที่ทางทะเล เพราะประชุมกันอยู่แต่เรื่องพื้นที่ทางบก แต่ขณะนี้เห็นว่าเป็นประโยชน์ของทั้งสองประเทศจะเร่งดำเนินการ

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคเพื่อไทยวิจารณ์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ดำเนินนโยบายเรื่องปัญหาปราสาทพระวิหารไม่ต่างจากที่รัฐบาลก่อนเคยทำ นายกษิต กล่าวว่า คงต้องแยกเป็นสองส่วน ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีสมาชิกในรัฐสภาและอยู่ในคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ซึ่งมีข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศไปชี้แจงข้อมูลให้ทราบ น่าจะเอาข้อมูลเหล่านั้นมาเป็นตัวตั้ง ส่วนการวิพากษ์วิจารณ์ของ นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เป็นการพูด เพื่อฟอกตัวเองให้สะอาดหรือไม่ ตนไม่คิดว่านายสุเทพพูดอย่างที่เขาเข้าใจ แต่แค่บอกว่า เรื่องที่ตกค้างในอดีต จะไม่ปล่อยให้เป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือด้านอื่นๆ ที่มีระหว่างกัน และเชื่อว่าขณะนี้เรื่องปราสาทพระวิหารจะไม่ทำให้เป็นปัญหาระหว่างกันได้

เมื่อถามว่าสมัยเคยเป็นฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ เคยบอกว่าจะเรียกคืนปราสาทพระวิหาร นายกษิต กล่าวว่า ไม่ใช่ คิดว่าเป็นการเล่นคำ ซึ่งขัดกับข้อเท็จจริง เพราะเราเคารพต่อคำตัดสินของศาลโลก ในฐานะสมาชิกของสหประชาชาติ เพียงแต่มีข้อสงวนในกรณีที่มีหลักฐานใหม่ แม้แต่การประชุมที่เมืองเซบีญา เป็นการยืนยันสิ่งที่นายนพดล และ นายปองพล อดิเรกสาร ได้เคยไปคัดค้านไว้ว่าเราไม่เห็นด้วยกับการที่คณะกรรมการมรดกโลกปล่อยให้มีการขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียว

หายนะประเทศไทย ยอมรับคนโกงเพื่ออยู่ดีกินดี

ที่มา ไทยรัฐ

ผมรู้สึกช็อกเมื่อ สำนักวิจัยเอแบคโพล แถลงผลสำรวจความคิดเห็นของ ประชาชนใน 17 จังหวัด 1,228 ครัวเรือน เมื่อวันอาทิตย์ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 84.5 มองว่า การทุจริตคอรัปชันเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการทำธุรกิจ และ ร้อยละ 51.2 ตอบว่า ยอมรับได้ที่รัฐบาลทุจริตคอรัปชัน ถ้าทุจริตแล้วทำให้ประเทศรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี

ผมไม่รู้ว่าเอแบคโพลสำรวจจังหวัดไหนบ้าง เพราะข่าวออนไลน์ไม่ได้บอกชื่อจังหวัดที่ไปสำรวจ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของข้อมูล

แต่จำนวน 17 จังหวัดก็ถือว่ามากพอแล้ว ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจแสดงให้เห็นว่า คนไทยยังมีความเข้าใจผิดต่อความเลวร้ายของการทุจริตคอรัปชันอย่างมาก ถือเป็นเรื่องเศร้าอันยิ่งใหญ่ของประเทศ ไทยเลยทีเดียว เมื่อ "ความชั่ว" สามารถเอาชนะ "ความดี" และ "ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี" ไปจนถึง "จิตสำนึกคุณธรรม จริยธรรม" ในสังคมไทยได้มากมายขนาดนี้

เมื่อทุกคนคิดว่าการทุจริตคอรัปชันเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ ใครๆก็ทุจริตกันทั้งนั้น ขอให้ฉันสบายอยู่ดีกินดีก็แล้วกัน แล้วประเทศไทยในอนาคตจะเหลืออะไร

ผลสำรวจของเอแบคโพลไม่ได้แตกต่างไปจากผลสำรวจของ "เพิร์ค" เมื่อสองเดือนก่อน ที่สำรวจความคิดเห็นของนักธุรกิจระดับผู้บริหารใน 16 ประเทศ ผลปรากฏว่า ประเทศไทย ได้ตำแหน่ง รองแชมป์การทุจริตสูงสุด ต่อจาก อินโดนีเซีย ซึ่งครองแชมป์ประเทศที่มีการทุจริตคอรัปชันมากที่สุด

เรื่องนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สังคมไทยไม่ควรจะละเลยมองข้ามไป

เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ รัฐบาล และ หน่วยงานรัฐ ไปจนถึง ภาคเอกชน จะต้องระดมสรรพกำลังออกมาช่วยกันรณรงค์เพื่อ ปรับทัศนคติ ของประชาชนที่ กำลังหลงทาง ให้กลับเข้ามาหา ความถูกต้อง ก่อนที่จะสายไปยิ่งกว่านี้

สิ่งที่คนไทยยังไม่รู้ก็คือ ไม่รู้ว่าขบวนการคอรัปชันที่เกิดขึ้น จะส่งผลกระทบต่อประเทศชาติร้ายแรงขนาดไหน ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขาและลูกหลานในอนาคตร้ายแรงแค่ไหน คิดง่ายๆแบบคนไทยว่า โกงกินไม่เป็นไร ขอให้มีผลงาน ทำให้ประเทศรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดีก็พอแล้ว

แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด

การคอรัปชันไม่สามารถทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองได้ ไม่สามารถทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีได้ ผลสุดท้ายจะทำให้ชาติล่มจมหายนะ ประชาชนจะลำบากมากขึ้น ทุกชาติในโลกจึงมุ่งปราบการคอรัปชันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจีนโทษถึงขั้นประหารชีวิตเลยทีเดียว

การคอรัปชันในเมืองไทยได้พัฒนาไปถึงขั้น การคอรัปชันระดับนโยบาย มีการตั้งงบประมาณล่วงหน้ากันแล้ว ไอ้ที่รับกันเล็กๆน้อยๆระดับล้านสองล้าน สิบล้านยี่สิบล้านเป็นปลายแถว ระดับหัวแถวเขารับกันทีละหลายร้อยล้านหลายพันล้าน จากโครงการขนาดใหญ่หลายพันหลายหมื่นล้านบาท

ขั้นตอนการคอรัปชันที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายมากที่สุด ก็คือ การทำให้หน่วยงานรัฐอ่อนแอ เพื่อให้การคอรัปชันทำได้ง่ายขึ้น วิธีง่ายๆก็คือ การแต่งตั้งคนของตัวเองไปเป็นปลัดกระทรวง เป็นอธิบดี เป็นผู้อำนวยการ และเป็นบอร์ด เพื่อคอยประสานงานกันเป็นขั้นๆ สุดท้ายคือ การทำให้องค์กรตรวจสอบการคอรัปชันอ่อนแอ เพื่อทำลายกระบวนการตรวจสอบ

เห็นหรือยังครับ การคอรัปชันส่งผลเลวร้ายแค่ไหน นี่แค่ตัวอย่างคร่าวๆเท่านั้น

ผมจึงอยากให้คนไทยคิดกันใหม่ ศึกษากันใหม่ ประเทศที่มีการคอรัปชันมากล้วนหายนะล่มจมกันทั้งนั้น ไม่มีหรอกครับ ประเทศที่คอรัปชันมากๆแล้วประเทศนั้นจะเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี มีแต่ประชาชนจะเดือดร้อนกันมากขึ้น ไม่เชื่อไปดูประเทศในอเมริกาใต้ และแอฟริกาดูก็แล้วกัน ผมได้แต่ภาวนาขอให้เมืองไทยอันเป็นที่รักของเรา อย่าได้เป็นอย่างเขาครับ.

"ลม เปลี่ยนทิศ"

ก่อนจะลุกเป็นไฟ

ที่มา ไทยรัฐ

ปัญหาความไม่สงบ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่เรื่องที่ รัฐบาลจะทำงานกันแบบเช้าชามเย็นชาม เพราะเมื่อวิเคราะห์ ถึงสถานการณ์ข้อเท็จจริงแล้ว ความขัดแย้งได้ลงลึกจนเป็นข้อพิพาทประเด็นของเขตแดนและการแบ่งแยกดินแดนในระดับสากล

ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีแนวความคิดในการแบ่งแยก ดินแดนก็จริงอยู่ แต่เมื่อรัฐบาลให้การคุ้มครองความปลอดภัยไม่ได้ แผ่นดินร้อนเป็นไฟไม่มีความสงบสุข ชาวบ้านจึงไม่ให้ความร่วมมือ กับเจ้าหน้าที่รัฐและในที่สุดเมื่อมีการปราบปรามหนักเข้า ก็มองเจ้าหน้าที่รัฐเป็นศัตรู เพราะฉะนั้นด้านมวลชนรัฐได้รับความพ่ายแพ้ ไปแล้วโดยสิ้นเชิง

ชาวบ้านสมัครใจที่จะไปอยู่ฝั่งมาเลเซียมากกว่า เพราะมีความปลอดภัยมากกว่า สงบกว่า มีงานทำ มีโรงเรียนให้ลูกหลานได้ศึกษา นานเข้าก็จะถูกกลืนโดยเชื้อชาติศาสนาและวัฒนธรรม

ความรู้สึกเป็นคนไทยก็จะน้อยลงทุกทีไปโดยปริยาย

วันนี้รัฐบาลต้องตัดสินใจว่า จะแก้ปัญหาโดยวิธีใด โดยการเจรจาอย่างสันติหรือโดยใช้กำลังสู้รบ ต้องเลือกแนวทางให้ชัดเจนและทำอย่างจริงจัง ไม่ใช่ทำเพราะหวังผลประโยชน์จากงบประมาณ หรือทำงานแบบศรีธนญชัยขอไปที โทษโน่นโทษนี่ไปตามเรื่อง เอาตัวรอดไปวันๆ

ผมทราบมาว่าฝ่ายคนร้าย อาทิ กลุ่มบีอาร์เอ็น ก็ติดตามท่าทีของรัฐบาลชุดนี้อยู่ตลอดเวลา เป็นที่มาของจดหมายเปิดผนึกฉบับหนึ่ง สืบเนื่องมาจากการพบปะระหว่างรัฐบาลไทยและมาเลเซีย ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์

มีการเจรจากัน 3 เรื่องคือ ความมั่นคงของประเทศไทย การพัฒนาชายแดนภาคใต้และ รัฐบาลไทยจะขอเจรจากับขบวนการผ่านมาเลเซีย เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ความรุนแรง
ทั้งนี้กลุ่มคนร้ายได้มีความเห็นด้วยว่า สถานการณ์ในเวลานี้ยังห่างไกลจากความสงบสุขและสันติ เพราะการสร้างสถานการณ์โดยผู้มีอำนาจ รัฐบาลไม่สามารถควบคุมกองทัพได้ รัฐบาลไม่เคยปฏิบัติตามคำพูด เช่น ให้ความเป็นธรรมและความยุติธรรม การยกเลิกนโยบายการเจรจาด้วยความสันติในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา

ซึ่งถ้ารัฐบาลชุดนี้มีความจริงใจและตั้งใจที่จะแก้ปัญหา จะทำให้เกิดสันติภาพ รัฐบาลจะให้สิทธิเสรีภาพกับประชาชนมุสลิมภาคใต้อย่างไร จะให้ความยุติธรรมและเสรีภาพผู้หลงผิดอย่างไร จะนิรโทษกรรมแก่ผู้หลงผิดอย่างไร นี่คือคำถาม

ทั้งนี้ยืนยันว่า เป็นการแสวงหาสันติภาพและความยุติธรรมไม่ใช่แบ่งแยกดินแดน จะอยู่ภายใต้รัฐบาลไทย จะไม่แยกเชื้อชาติศาสนาและอยู่อย่างสันติสุข ระหว่างชนชาติในท้องถิ่นเดียวกัน

ทั้งหลายทั้งปวงก็ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำของรัฐบาล ในการที่จะแก้ปัญหาโดยคำนึงว่า ทำอย่างไรให้ชายแดนภาคใต้ อยู่รวมกันอย่างมีความสุขอีกครั้งโดยมีอธิปไตย ที่สำคัญ รัฐบาลต้องคิดเป็น เพราะปัญหาภาคใต้ก็ไม่ต่างจากปัญหาวิกฤติการเมือง ถ้ายังมีวิสัยทัศน์อยู่แค่รอบสะดือตัวเองคิดไม่เป็นทำก็ไม่เป็น

ความขัดแย้งและความแตกแยกของประเทศจะเกิดอย่างถาวร.

หมัดเหล็ก

ลุ้นถึงคิวเทกระจาด!

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_16254

สุเทพ เทือกสุบรรณ

"ขนาดนั้นเลยหรือ"


ในอารมณ์ปลาบปลื้มระคนสะใจที่ตามข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อสายโทรศัพท์ข้ามประเทศมาเช็กผลคะแนนเลือกตั้งซ่อมจังหวัดศรีสะเกษกับทีมงานพรรคเพื่อไทย ได้รับรายงานเบื้องต้นว่าชนะ 3 หมื่นคะแนนขึ้น

แต่สุดท้ายทิ้งกันห่างเกือบ 5 หมื่นแต้ม

ถล่มทลายถึงขนาดที่นางสกุลทิพย์ อังสกุลเกียรติ ผู้สมัครจากพรรคชาติไทย-พัฒนา ในฐานะ "เจ๊ใหญ่" ของจังหวัด ออกอาการถอดใจแขวนนวม ยอมรับสถานการณ์การเมืองแบบนี้ หากเล่นต่อไปก็คงลำบาก สมกับคำที่ว่า

"พรรคเพื่อไทยเอาเสาไฟฟ้ามาลงก็ได้"

จริงๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เซียนการเมืองคาดไว้อยู่แล้ว ผลจาก "สกลนครเอฟเฟกต์" สั่นสะเทือนถึง "ศรีสะเกษอาฟเตอร์ช็อก"

โดยอิทธิฤทธิ์เทวดาอีสาน

ยากที่คู่แข่งจะฝ่ามนต์ขลังยี่ห้อ "ทักษิณ"

และที่ต้องว่ากันข้ามช็อตไปไกลกว่านั้น ในสถานการณ์ที่ต้องลุ้นคิว "เทกระจาด" ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมลงดาบ ส.ส.ถือครองหุ้นในบริษัทที่มีสัมปทานกับรัฐ ส่อเค้าต้องเลือกตั้งซ่อมหลายสิบเก้าอี้


บรรยากาศราวกับเลือกตั้งใหญ่


ในห้วงนาทีที่ยี่ห้อ "ทักษิณ" เสกแต้มให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะในพื้นที่ "สีแดง" ภาคอีสานกับภาคเหนือ

โอกาสเปิดให้วัดดวงกันใหม่

แทงหวยได้เลยว่า ตัวเลขของพรรคร่วมรัฐบาลจะเหลือกลับมาไม่เท่าเก่า

ถึงตอนนั้นคงได้ป่วนกับการจัดสมการรัฐบาล เปิดเกมสปาร์กขั้วกันใหม่


เอาเป็นว่า ในอารมณ์ที่ "เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ผู้จัดการใหญ่รัฐบาล กัดฟันยืนยัน ผลเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสกลนครและศรีสะเกษ ไม่ทำให้รัฐบาลตกใจ ตื่นเต้น หวั่นไหว

แต่ในแววตาเหม่อลอยยังไงชอบกล

ที่แน่ๆกับคิวตั้งใจปล่อย "ข่าวรั่ว" ผลสอบของคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้สรุปสำนวนและมีมติเอกฉันท์ ยกคำร้องกรณี 28 ส.ส.ของประชาธิปัตย์


โยนหินถามทาง ลุ้น "ปล่อยผี"

มุกนี้ยิ่งฟ้องอาการของพวกที่อยู่ในข่ายได้เสีย ลุ้นเดิมพันสูง

และก็อย่างที่เห็นออกอาการกัน ในลีลาของรุ่นเก๋า "สามสี ภูเขาทอง" นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ 1 ใน 28 ส.ส.ของพรรค ที่ถูก กกต.ขึ้นบัญชีเชือด ออกมาโวยวายดักคอล่วงหน้า

ถ้า กกต.วินิจฉัยผิด บ้านเมืองก็หยุดชะงักแน่นอน


อ้างเหตุเพราะองค์ประชุมสภาจะไม่ครบ 95 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ประชุมไม่ได้ ฝ่ายนิติบัญญัติต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพียงเพราะคำตัดสินของคนไม่กี่คน

ไม่เป็นธรรมกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ในอารมณ์เดียวกับ "เสธ.หนั่น" พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ 1 ใน 6 รัฐมนตรี ที่อยู่ในบัญชีมีปัญหาถือครองหุ้นในบริษัทเอกชนที่เป็นคู่สัมปทานรัฐ แบะท่าหยั่งเชิง ถ้า กกต.ดูที่เจตนาก็คงรอด แต่ถ้าดูตามรัฐธรรมนูญเป๊ะๆ ก็คงอยู่ไม่ได้สักคน

ถ้าโดนกันหมดก็มีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องบ้าบอชัดๆ ไม่น่าเกิดขึ้นเลย"

จระเข้เกยน้ำตื้น ดิ้นกันใหญ่

ทั้งๆที่ย้อนกลับไปในคิวของ "ลุงหมัก" นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องตกเก้าอี้เพราะเป็นพิธีกรรายการทำกับข้าวโชว์ทางทีวี เข้าข่ายเป็นลูกจ้างตามพจนานุกรม ขัดรัฐธรรมนูญ

ในอารมณ์ที่เบากว่าถือหุ้นสัมปทานรัฐด้วยซ้ำ

มันจึงเป็นอะไรที่ "ค้ำคอ" แม้โดยเหลี่ยมคูทางกฎหมายจะพลิกมุม อุ้มสมกันได้ แต่โดยกระแสการเมืองที่แบ่งออกเป็นสองขั้วสองฝ่าย

งานนี้ถ้าพลิก ก็ยิ่งเข้าทางเครือข่าย "นายใหญ่"

ตีปี๊บประจาน "สองมาตรฐาน".

ทีมข่าวการเมือง รายงาน

'มาร์ค'เกี้ยว'วีระ' ลงพิธีกร เชื่อมั่นประเทศไทย

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_16261

นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งทาบทาม 'วีระ มุสิกพงศ์' เป็นพิธีกร รายการ 'เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์' หวังดึงคนเสื้อแดง หันกลับมาดูรายการ และทำให้ประชาชนที่มีแนวคิดต่างเกิดความเข้าใจมากขึ้น ...

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า วานนี้ (29 มิ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งมอบหมายให้ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปทาบทามให้ นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง มาเป็นพิธีกรในช่วงที่สองของรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ที่ออกอากาศประจำทุกวันอาทิตย์ของทุกสัปดาห์ ทั้งนี้ทีมงานของ นายอภิสิทธิ์ ได้มีแนวความคิดที่จะให้นายวีระ มาร่วมเป็นพิธีกรนั้นเนื่องจากเห็นว่า จะทำให้คนเสื้อแดงสนใจรายการที่นายกรัฐมนตรีจัดมากขึ้น หลังจากที่คนกลุ่มนี้เลิกดูรายการต่างๆ ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีไปตั้งแต่มีการยกเลิกรายการความจริงวันนี้ ซึ่งการกำหนดแผนดังกล่าวเพื่อดึงดูดให้คนเสื้อแดงมาดูรายการ จะทำให้ได้รับฟังถึงปัญหาที่ยังเป็นข้อกังขาทั้งหมดของคนเสื้อแดง ผ่านคำถามของนายวีระ ที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดงเอง ดังนั้น หากเปิดพื้นที่ในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ให้นายวีระได้มาสอบถามนายกรัฐมนตรีแล้ว จะทำให้ประชาชนที่มีแนวคิดต่างจากรัฐบาลเกิดความเข้าใจต่อสถานการณ์บ้านเมืองผ่านมุมมองความคิดของทั้งแกนนำคนเสื้อแดง คือ นายวีระ แล ะนายกรัฐมนตรีไปในขณะเดียวกัน ซึ่งล่าสุดนายอภิสิทธิ์ เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว เพียงแต่ไม่แน่ใจว่า นายวีระ จะรับคำเชิญหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังมีกำหนดที่จะเดินทางไปชมการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมชาติไทยกับทีมลิเวอร์พูลในวันที่ 22 ก.ค.นี้ เพื่อนำร่องโครงการ “เชียร์ไทยกับเอ็นบีที” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ หรือ เอ็นบีที ที่ต้องการเสนอข่าวเชิงบวก ภายใต้แนวคิด “ข่าวดีประเทศไทย” โดยจะมีการเปิดพื้นที่เกาะติดการจัดกิจกรรมสนับสนุน ปลุกกระแสประชาชนให้มีส่วนร่วมในการเชียร์นักกีฬาไทย ซึ่งจะมีการแถลงข่าวเปิดตัวโครงการที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 2 ก.ค. ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำทีมคนไทยไปเชียร์ฟุตบอลทีมชาติไทยรายการนี้ด้วยตัวเองในวันที่ 22 ก.ค.

กาลเวลาผ่านไป ‘ใคร’ เจ้าของ ‘ปราสาท’

ที่มา บางกอกทูเดย์
เวลานี้ “รัฐบาล” หอบแฮ่กๆ!!มือซ้าย “รั้ง” คะแนนศรัทธา มือขวายก “โล่” ยื้อชีพ..เข้าตำรา “ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก” จริงๆศึกซ่อม “สกลนคร-ศรีสะเกษ” ทำหน้าชายังไม่หายมึน...“เขาพระวิหาร” ข้อพิพาทเรื้อรัง “ขายชาติ-สมบัติกรู”ยังกลายเป็นหมัดทีเผลอ “ตั๊น” หน้าฟากรัฐบาลเกือบ “น็อก”เมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้านบอกว่า “สมบัติของไทย” มาวันนี้บอกว่า“เป็นสมบัติเขมร”เดี๋ยวของเขมร..เดี๋ยวของไทย..เอากันให้วุ่นวาย สรุปเข้าข่ายฟัดกัน “แย่งเก้าอี้” เฮ้อประชาชนงงเป็นไก่ตาแตก!! แท้จริงแล้วใครกันแน่ที่มีสิทธิ์ในการครอบครอง“บางกอกทูเดย์” ไม่อยากจะซ้ำเติม เลยเปลี่ยน “แนว”นำเสนอ ด้วยการพลิกตำราหาข้อมูลสู่กาลเวลา “ชิง” เขาพระวิหารให้ประชาชน “คิด” กันเอาเองจะดีกว่า..ว่าใคร “ผิด-ถูก”พ.ศ.2442 “พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์” ค้นพบปราสาทพระวิหาร และเมื่อ พ.ศ.2447ประเทศฝรั่งเศสเข้าครอบครองอินโดจีน ได้ทำสนธิสัญญาปักปันเขตแดน ระบุ ให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ซึ่งมีผลให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนไทย
พ.ศ.2451 ฝรั่งเศสจัดทำแผนที่ฝ่ายเดียวส่งมอบให้ไทยแผ่นหนึ่ง คือ “แผ่นดงรัก” ที่ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และไม่ได้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ทำให้ปราสาทพระวิหารในแผนที่อยู่ในดินแดนของกัมพูชา โดยที่รัฐบาลไทยในขณะนั้นไม่ได้รับรองหรือทักท้วงความถูกต้องพ.ศ.2472 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จเยือนปราสาทพระวิหารพ.ศ.2479 ไทยขอปรับปรุงเขตแดน แต่ฝรั่งเศสขอผัดผ่อนพ.ศ.2482 ไทยขอปรับปรุงเขตแดนกับฝรั่งเศสอีกครั้ง แต่ตกลงกันไม่ได้พ.ศ.2484 อนุสัญญาโตเกียวทำให้ดินแดนที่เสียไปเมื่อร.ศ.123 และ ร.ศ.126 บางส่วน รวมถึงปราสาทพระวิหารกลับมาอยู่ในดินแดนไทยพ.ศ.2489 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการยกเลิกอนุสัญญาโตเกียวโดยสนธิสัญญาประนีประนอม โดยมีสหรัฐอเมริกาอังกฤษ และเปรูเข้ามาไกล่เกลี่ยพ.ศ.2492 ประเทศไทยเข้าครอบครองปราสาทพระวิหารโดยใช้หลักสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ระหว่างนี้มีการประท้วงจากฝรั่งเศส 3 ครั้งพ.ศ.2493 กัมพูชาเป็นเอกราชจากฝรั่งเศสพ.ศ.2501 กัมพูชาเรียกร้องให้ไทยคืนปราสาทพระวิหารพ.ศ.2502 กัมพูชาฟ้องร้องต่อศาลโลกพ.ศ.2505 ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาด้วยเสียง 9 ต่อ 3พ.ศ.2509 ไทย-กัมพูชา สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอีกครั้ง หลังหยุดชะงักไป 3 ปีพ.ศ.2513 กัมพูชาเปิดเขาพระวิหารให้นักท่องเที่ยวขึ้นชมจากฝั่งประเทศไทยพ.ศ.2518 ปิดเขาพระวิหาร เนื่องจากเขมรแดงยึดอำนาจและเกิดสงครามกลางเมืองพ.ศ.2535 เปิดเขาพระวิหารให้ขึ้นชมอีกครั้ง เมื่อพรรคประชาชนกัมพูชาของสมเด็จฮุนเซนชนะการเลือกตั้งพ.ศ.2536 ปิดเขาพระวิหาร เนื่องจากกำลังเขมรแดงยึดครองพื้นที่เขาพระวิหารพ.ศ.2546 กัมพูชาตัดถนนเข้าไปจนสำเร็จสมบูรณ์หลังจาก
รอคอยมาเป็นเวลาช้านาน แต่ก็มีการห้ามเข้าอยู่เป็นระยะโดยมิได้กำหนดล่วงหน้าพ.ศ.2550 กัมพูชาเสนอองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ยังไม่มีข้อสรุปปี พ.ศ.2551 วันที่ 18 มิถุนายน นายนพดล ปัทมะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ในขณะนั้น)ลงนามยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว ร่วมกับ นายอึง เซียง เอกอัครราชทูตกัมพูชา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง24 มิถุนายน 2551 ทางการกัมพูชาปิดปราสาทพระวิหารชั่วคราว หวั่นผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าไปทำร้ายชาวกัมพูชาในบริเวณใกล้เคียง28 มิถุนายน 2551 ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรียุติการดำเนินการตามมติ ครม. ที่รับรองการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาสนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปจนกว่าคดีจะเป็นที่สิ้นสุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น8 กรกฎาคม 2551 องค์การยูเนสโกประกาศรับปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกโลกเฉพาะแต่เพียงตัวปราสาทคำตอบของปี 2551 สิ้นสุดลงที่ นายนพดล ปัทมะลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโดยในช่วงนั้นโดนตราหน้าว่า “ขายชาติ” เพื่อคนหน้าเหลี่ยมและพรรคพวกเข้าสู่ ปี 2552 ภายใต้การทำงานของรัฐบาล “อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ” ก็ยังไม่มีบทสรุป มีแต่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ”รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปพูดคุยกับ สมเด็จฮุนเซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2551 และมีคำตอบทำนอง “ยกธงขาว” ยอม “จำนน” ให้เขมรเอวัง!!! ■

อีสาน ใต้ศรัทธา ‘ทักษิณ’

ที่มา บางกอกทูเดย์

ความจริง ไม่ว่าอย่างไรก็คือความจริงแม้ในบางขณะของห้วงเวลา ความเป็นจริงอาจจะถูกลบเลือนหรือบิดเบือนด้วยมลภาวะใดๆ ก็ตาม แต่หากว่าเป็นความจริงแล้วอะไรก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความจริงนั้นได้เช่นเดียวกับผลการเลือกตั้งซ่อมที่เกิดขึ้น 2 ครั้ง 2 คราติดต่อกันภายในสัปดาห์ต่อสัปดาห์ จากสกลนครมาสู่สนามศรีสะเกษ คำตอบสุดท้าย คือ “ชนะรวด”กลายเป็นการบ้านทางการเมืองขึ้นมาในทันที โดยเฉพาะกับพรรคคู่แข่งทางการเมืองต่างๆเมื่อครั้งผลการเลือกตั้งที่สกลนคร แน่นอนว่ายังมีรายการคาใจกันอยู่ลึกๆ ว่า ของจริงหรือของไม่แท้???แม้ว่าคะแนนผลการเลือกตั้ง นางอนุรักษ์ บุญศล ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน ชนะคู่แข่ง นายพิทักษ์ จันทศรีสวมเสื้อพรรคภูมิใจไทย ในสาย “กลุ่มเพื่อนเนวิน” อย่างชนิดขาดลอยก็ตามคะแนนทิ้งกันขาด 83,348 คะแนน ต่อ 47,235 คะแนนห่างกัน 36,113 คะแนนซึ่งหลายเสียงยังมีข้ออ้างว่า อาจจะไม่ใช่ก็ได้!!!แต่ห่างกันแค่สัปดาห์เดียว ตอกย้ำอีกครั้งด้วยชัยชนะของพรรคเพื่อไทยผลคะแนนการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 1 ศรีสะเกษ อย่างไม่เป็นทางการ ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)หลังนับครบ 100% ทั้ง 9 เขตเลือกตั้ง ปรากฏว่า นายสุรชาติชาญประดิษฐ์ ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย สามารถเอาชนะ นางสกุลทิพย์ อังคสกุลเกียรติ ผู้สมัครหมายเลข 2พรรคชาติไทยพัฒนา ไปได้อย่างขาดลอยโดยนายสุรชาติได้ไป 124,327 คะแนน ส่วนนางสกุลทิพย์ได้ 76,435 คะแนน จากจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ 210,610 คน คิดเป็นสัดส่วนผู้มาใช้สิทธิ์ 61.80% มีบัตรเสีย 2,912 ใบ และมีผู้ไม่ลงคะแนน 6,936 คนในภาพรวมคะแนนของผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ชนะผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนากว่า 2 เท่าตัวเกือบทุกเขต ยกเว้นเขตเลือกตั้ง อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เพียงเขตเดียวเท่านั้น ที่ผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนาสามารถเอาชนะไปได้หลายพันคะแนน
ตรงนี้ต้องยกเครดิตให้กับบารมีของ “บรรหาร ศิลปอาชา”ขิงแก่อย่างไรก็ยังคงเป็นขิงแก่อย่างน้อยต้องมีรสเผ็ดรสร้อนแรงกันบ้างจะให้แพ้หมดทุกเขตเลือกตั้งเลยนั้น ประเมินฝีมือหัวหน้าบรรหารต่ำไป!!!และในความเป็นจริง มังกรการเมืองอย่างหัวหน้าบรรหารรู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าศึกครั้งนี้หนักหนาสาหัสเพียงใด แต่เมื่อก้าวขึ้นสู่สังเวียน เสียงปี่เสียงกลองเริ่มเชิด จะถอดใจได้อย่างไรแพ้ชนะเป็นอีกเรื่องหนึ่งยิ่งข่าวที่แว่วเข้าหูทำนองว่า ยังไงก็คงต้องให้แพ้เหมือนๆ กันและหากเป็นไปได้ต้องให้คะแนนที่พ่ายแพ้เพื่อไทยครั้งนี้..แพ้มากกว่าครั้งที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ??แบบนี้รู้ว่าเหนื่อยก็ต้องลุย...แต่เมื่อดูสถานการณ์ ดูฤกษ์ผานาทีดูทิศทางลมแล้ว หัวหน้าบรรหารก็รู้ดีว่า กระแส “ทักษิณฟีเวอร์”ช่วงนี้แรงเกินจะปะทะหรือต้านทานฉะนั้น ทางที่ดีแม้ว่าจะแพ้ก็จริง แต่หัวหน้าบรรหารก็กระซิบกับคนใกล้ชิดว่าแพ้ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องไม่แพ้หมดทุกเขต ยังไงต้องทุ่มเทสรรพกำลังให้มีบางเขตชนะบ้างให้ได้ซึ่งก็ได้สมใจ ชนะให้เห็นได้ 1 เขต โชว์เพาเวอร์ให้กับหัวหน้าพรรคตัวจริงดังนั้น ถึงวันนี้แรงกระเพื่อมจากชัยชนะของพรรคเพื่อไทยไม่เพียงแค่เฉพาะพรรคที่พ่ายศึกอย่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาเท่านั้น ที่จะต้องทบทวนครั้งใหญ่แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเองก็สะอึกไปเอื้อกใหญ่ด้วยเช่นกันแว่วว่าก้อนสะอึกครั้งนี้ลึกล้ำยิ่งนักเพราะผลที่จะตามมานั้นลากไกลไปถึงการเลือกตั้งในปีหน้าที่จะถึงนี้ด้วยหากกระแสทักษิณฟีเวอร์ยังแรงหากกระแสโฟนอินออดอ้อนยังมีมนต์ขลังพรรคประชาธิปัตย์ที่มีสารพัดมือช่วยอุ้มสม และคาดหวังการชนะทางการเมืองที่ต่อเนื่อง
ก็อาจจะกลายเป็นเทวดาสะอื้น...เทพประทานแล้วยังเอาไม่อยู่วอร์รูมประชาธิปัตย์เมื่อวันก่อน จึงต้องมีการหยิบยกผลการเลือกตั้งทั้งที่สกลนครและศรีสะเกษขึ้นมาถกในที่ประชุมแรงกดดันครั้งนี้หนักหนาสาหัสนัก เพราะแม้แต่ นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังยอมรับเหมือนกับการันตีไปในตัว“เท่าที่ลงไปดูในพื้นที่ พบว่า การแข่งขันไม่รุนแรงเหมือนการเลือกตั้งเขต 3 สกลนคร”เพราะแม้แต่กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอิน ซึ่งนางสดศรียอมรับว่ามีการร้องเรียนเข้ามาอยู่แล้ว ตั้งแต่การเลือกตั้ง ส.ส.สกลนครแต่ว่าพฤติกรรมดังกล่าว จะเข้าข่ายความผิดกฎหมายหาเสียงในลักษณะการจูงใจหรือไม่ เรื่องนี้ต้องพิจารณาข้อเท็จจริง“ไม่อยากคิดแทน เพราะจะเป็นการดูถูกประชาชน”...นางสดศรีพูดชัดใครจะกล้าคิดแทน ในเมื่อคะแนนแพ้ชนะห่างกันเห็นๆขนาดนี้และที่สำคัญ เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา หากจะบอกว่าพรรคฝ่ายค้านโกงคะแนนเลือกตั้งฝ่ายรัฐบาล!!!เพราะไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทยไม่เช่นนั้นทั้งสื่อต่างๆ และทั้งพรรคเพื่อไทย คงไม่กล้าประกาศชัยชนะอย่างเต็มที่ พร้อมกับมั่นใจว่าหากมีเลือกตั้งครั้งหน้า โอกาสชนะก็จะยังคงมีอยู่ถล่มทลายแค่ไหนไม่รู้ ..รู้แต่ว่าชนะแน่ หากคนอีสานยังผูกพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรพูดให้คิด พูดให้อึ้งกันหมดทุกพรรคเพราะเหมือนกับว่า ชัยชนะ 2 ครั้งซ้อนติดๆ กัน เท่ากับเป็นการประกาศยึดพื้นที่อีสานของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทยออกจะประมาทพรรคประชาธิปัตย์เกินไปหน่อยหรือไม่??
เพราะถ้าไม่มีบุญวาสนา จะมีคนแย่งกันอุ้มให้มาเป็นรัฐบาล ให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือ???รวมทั้งเป็นไปไม่ได้เลยที่ พรรคประชาธิปัตย์จะเอามือซุกหีบแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ต่อสู้ยิ่งนายอภิสิทธิ์ก็พูดชัดเจนแล้วว่า ข้อเรียกร้องให้ยุบสภาของกลุ่มคนเสื้อแดง ถือเป็นข้อเรียกร้องเดิมซึ่งก็ขอยืนยันว่า ไม่ขัดข้องแต่ต้องให้มีการกำหนดกฎเกณฑ์กติกาต่างๆ เสร็จสิ้นลงตัวเสียก่อน!!!และขณะนี้ทั้งพรรคฝ่ายค้าน ส.ว. และรัฐบาล ก็กำลังเร่งทำงาน ทั้งในประเด็นรัฐธรรมนูญ แนวทางแก้ไขปัญหาทางการเมือง รวมทั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจนั่นแปลกันตรงๆ ก็คือว่า สัญญาณการเลือกตั้งนั้นถูกกดดันมากขึ้นทุกขณะจิตจึงไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด กับการที่ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยจากพรรคประชาธิปัตย์ ต้องออกมายืนยันอย่างหนักแน่นว่าชัยชนะ 2 เก้าอี้ที่พรรคเพื่อไทยได้ไปนั้น ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลพร้อมกับถือโอกาสออกตัวว่า ถ้ารัฐบาลชุดนี้ได้ทำงานครบวาระ จะเห็นผลงานอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนเกิดความพอใจดังนั้น คิดว่าต่อไปความนิยมของรัฐบาลจะดีขึ้นพร้อมกับอ้อนขอคะแนนคนอีสานเอาไว้ล่วงหน้าว่า คนอีสานมีจิตใจกว้างที่จะเปิดรับและประชาธิปัตย์ยังสามารถเข้าถึงได้เพียงแต่ผลงานที่ผ่านมายังไม่ปรากฏชัดเจน แต่เมื่อไรที่ประชาชนเห็นผลงาน ก็จะยอมรับประชาธิปัตย์มากขึ้นปัญหาจึงเหลืออยู่เพียงแค่ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะสร้างผลงานให้เห็นได้เมื่อไร???และในความเป็นจริง ไม่ควรที่จะให้แค่คนอีสานได้เห็นผลงาน หากแต่ควรจะให้คนไทยทั้งแผ่นดิน คนไทยทุกภาค ทุกพื้นที่ได้เห็นผลงานด้วย
ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้มันกว่านี้...ไม่ใช่ชนะกันขาดหลายช่วงตัวแบบนี้น่าเป็นห่วงก็คือ บรรดา ส.ส. แปรพักตร์ทั้งหลายนั่นแหละที่วันนี้กำลังตกที่นั่งลำบาก???ด้วยความเป็นคนในพื้นที่ ด้วยความที่ใกล้ชิดกับประชาชนคนอีสาน ย่อมรู้ดีถึงความรู้สึกนึกคิดของคนในพื้นที่ว่าคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไรไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะให้ใครสักคนโฟนอินเข้ามา แล้วคนฟังซึ่งเป็นคนหลากหลายวัย จะออกอาการน้ำตาคลอไปตามๆ กัน…อะไรคือความคิดในใจของคนอีสาน เชื่อว่า บรรดา ส.ส. โดยเฉพาะในสายของพรรคภูมิใจไทย ย่อมต้องรู้ซึ้งถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจของคนอีสานฉะนั้น วันนี้อาการลังเล ระส่ำระสายที่เกิดขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เช่นเดียวกับที่ไม่น่าแปลกใจด้วยเช่นกัน ที่บรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย แม้จะยอมรับว่า อดีต ส.ส.ของพรรค สนใจติดต่อกลับเข้ามาร่วมงานกับพรรคอีกครั้งแต่พรรคเพื่อไทยก็ยืนยันที่จะไม่รับ ส.ส. ที่ย้ายออกไปในช่วงพลิกขั้วทางการเมืองปิดประตูใส่กลอนกันต่อหน้าแบบนี้เลยหนึ่งในกลุ่มเพื่อนเนวิน นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงจำเป็นต้องออกมาปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าวแถมบลัฟกลับด้วยว่า ขณะนี้ไม่มีสมาชิกของพรรคแสดงความจำนงลาออก มีเพียง ส.ส.จากพรรคอื่น ได้ประสานงานที่จะขอสมัครเข้าพรรคภูมิใจไทยเท่านั้นนี่คือเกมการเมือง ส่วนของจริงเป็นอย่างไรต้องรอดูกันไป เพราะศึกครั้งนี้ว่าใหญ่หลวงแล้ว ศึกครั้งหน้าจะยิ่งใหญ่กว่านี้หลายเท่าและอีสานจะเป็นพื้นที่สำคัญที่สุดในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า...ชัวร์?! ■

สนธิชี้คนไทยอ่านหนังสือน้อยดูทีวีมากทำให้ฉาบฉวย ประเทศจะเจริญต้องส่งเสริมการอ่าน

ที่มา ประชาไท

สนธิ ลิ้มทองกุล เผยในรายการ “แอน จินดารัตน์” จะเป็นหัวหน้าพรรค “การเมืองใหม่” หรือไม่ขึ้นอยู่มติ ถ้าให้เป็นก็ต้องเป็นเพื่อนำพรรคสู่เป้าหมาย ยันไม่ผิดสัญญาเรื่องไม่รับตำแหน่ง เพราะหัวหน้าพรรคไม่ต้องลงเลือกตั้ง ย้ำพร้อมอดทนต่อคำก่นด่าเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ยึดติด มั่นใจไม่ปล่อยให้การเมืองน้ำเน่าทำเสียคน ชี้คนไทยอ่านหนังสือน้อยดูทีวีมากทำให้ฉาบฉวย ประเทศจะเจริญต้องส่งเสริมการอ่าน

ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า วานนี้ (29 มิ.ย. 52) เวลา 20.30-22.00 น. รายการ “แอน จินดารัตน์” ดำเนินรายการโดย นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ออกอากาศทางเอเอสทีวี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มาร่วมรายการเพื่อสนทนาถึงเรื่องการใช้ชีวิตต่อเป็นตอนที่ 2 พร้อมตอบคำถามที่หลายคนรอคอย คือเรื่องการเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นและจะมีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหาร พรรคชุดถาวรในเร็วๆ นี้
นายสนธิ กล่าวถึงเรื่องจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่หรือไม่ว่า ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาชีวิตของตนเปลี่ยนไปหมดแล้ว และวันนี้ ไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง ทุกอย่างทำเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่ไม่ใช่คำท่องนะโม แต่เป็นความจริงใจ แม้แต่เจ็บเพื่อชาติก็เจ็บไปแล้ว ดังนั้นจากวันนี้ไปจนวันตายจะทำงานเพื่อส่วนรวมทั้งหมด ส่วนธุรกิจอยู่ได้อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ช่างวัน แต่ถ้าอยู่ได้ก็ดีเพราะมันเป็นเครื่องมืออันหนึ่ง
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เมื่อตนจะทำงานเพื่อชาติ จึงตอบไม่ได้ในตอนนี้ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ แต่พี่น้องต้องช่วยกันตอบ ซึ่งถ้ามองจากมติของพี่น้องที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(เมื่อวันที่ 25 พ.ค.) และแบบฟอร์มที่ทุกคนกรอกในวันนั้นซึ่งมีระบุว่าอยากให้ใครเป็นหัวหน้าพรรค ตนรู้ข้อมูลพอสมควร แต่ไม่อยู่ในจุดที่จะเปิดเผยได้ แต่ถ้าพี่น้องที่กรอกแบบฟอร์มในวันนั้นส่วนใหญ่ต้องการให้เป็นหัวหน้าพรรคก็ จะเป็นให้
ส่วนกรณีที่ฝ่ายตรงข้ามหรือพันธมิตรฯ บางคนว่าท้วงติงว่าเคยสัญญาไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองนั้น นายสนธิกล่าวว่า ตนไม่ได้บอกว่าจะรับตำแหน่งทางการเมือง เพราะคนเป็นหัวหน้าพรรคอาจไม่ลงเลือกตั้งก็ได้ ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งตนคงต้องบอกว่าไม่อยากจะเป็นหัวหน้าพรรคแต่จำเป็นต้อง เป็น และตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ไม่มีใครไหนที่ตนออกมาสู้แล้วได้รับความเข้าใจจากพี่น้องทันที ต้องใช้ความอดทนและใช้เวลา กว่าจะเข้าใจ และเมื่อผ่านเหตุการณ์มา รวมทั้งกรณีที่ตนถูกลอบยิงกว่า 200 นัด ก็ยิ่งมีพี่น้องเข้าใจมากขึ้น
“มันทำให้ผมอดนึกถึงพระมหาชนกไม่ได้ เพราะเมื่อเรามีศรัทธาและเชื่อมั่นเราก็ว่ายน้ำต่อไป ถึงเหนื่อยก็ต้องว่ายต่อไป เมื่อผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำนั้นถูกต้อง ผมต้องทำต่อไป ผมต้องอดทนต่อคำต่อว่า อดทนต่อการเข้าใจผิด ผมเชื่อว่าเมื่อวันหนึ่งเราไปถึงเป้าแล้ว วันนั้นผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ว่าผมไม่ยึดติด เมื่อถึงเป้าแล้วผมก็กลับมานั่งในรายการนี้ เป็นคนธรรมดาที่ทำหน้าที่ให้ปัญญาคนต่อไป”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า แต่ในช่วงที่เป็นผู้นำมวลชนนั้น แม้บางเรื่องไม่อยากทำก็ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำก็เท่ากับทรยศต่อมวลชน สิ่งที่เราสร้างมาอาจจะพังลง “มันพังเพราะผมไม่ทำ ทั้งที่เขาให้ผมทำ ผมจะถูกก่นด่าว่าตั้งขึ้นทำไม เรียกคนไปประชุมทำไม”
“เพราะฉะนั้นเมื่อมีพรรคแล้ว ถ้ามันจำเป็นต้องเป็นหัวหน้าเพื่อให้พรรคมันเดินไปได้ ถึงผมจะบาดเจ็บจากคำก่อนด่าก็ต้องอดทน ซึ่งผมจะฟังเสียงส่วนใหญ่ ถ้าเสียงส่วนใหญ่ให้ผมเป็น ผมก็ต้องอดทนเป็น”
“ส่วนที่พันธมิตรฯ หลายคนเป็นห่วงไม่อยากให้แปดเปื้อนการเมืองนั้น ก็เพราะเขายังมองการเมืองแบบเดิม และยังไม่เชื่อมั่นศรัทธาผม ถ้าเขาเชื่อมั่นศรัทธาในตัวผม เขาจะเชื่อว่าการเมืองไม่มีวันทำให้ผมเสียได้ เพราะผมรู้จักตัวเอง ผมไม่ได้อ้างว่าบรรลุธรรมอะไร แต่ผมเข้าใจเรื่องสมมุติดี อะไรมันหนัก ผมก็ปล่อยวางได้ ผมสู้มาขนาดนี้ผ่านเป็นผ่านตายมาขนาดนี้ ผมไม่มีวันปล่อยให้การเมืองทำให้ผมเสียได้”นายสนธิกล่าว
นอกจากนี้ นายสนธิ ยังกล่าวถึงการใช้ชีวิตส่วนตัวว่า ปกติเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ไม่มีอะไรที่จะสร้างสมาธิได้ดีเท่าการอ่านหนังสือ เพราะคนที่จะเขียนหนังสือเล่มหนึ่งๆ ต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้าเป็นปีๆ ประกอบกับการเขียนที่ผู้เขียนบรรจง เค้น และคั้นทุกอย่างที่มีอยู่ในตัวหรือประสบการณ์ของเขา มาเรียงร้อยถ้อยคำอย่างละเอียด จนเข้าถึงจิตวิญญาณอ่านแล้วได้อรรถรส หนังสือที่ชอบอ่านมีสองแนว คือ นิยายการต่อสู้ประเภทกำลังภายใน อาทิ มังกรหยก และอีกแนวหนึ่งเป็นหนังสือ ชีวประวัติ เช่นของ หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว ที่มีความเพียรพยายามฝึกจิต อ่านแล้วได้ความคิด อีกเล่มหนึ่งคือพระมหาชนก ที่อ่านมาแล้วหลายรอบ สอนให้คนเชื่อมั่น มีความเพียร
“การที่เป็นคนมีความเพียร แสดงว่าเป็นคนตั้งทำอะไรไม่หวั่นไหว นั้นเป็นการทำความดี ไม่ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ นั่นคือการปิดทองหลังพระ ฉะนั้นถ้าการเมืองไทยมีคนอย่างนี้เยอะกว่านี้ซักหน่อยประเทศไทยจะเจริญขึ้น” นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ทุกวันนี้คนไทยอ่านหนังสือน้อย แต่ดูทีวีมาก และการดูทีวีทำให้คนไทยฉาบฉวย ถ้าประเทศไทยจะเจริญ ต้องส่งเสริมการอ่านเป็นอันดับแรก โดยเริ่มจาก พ่อ-แม่ ที่ต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เราปลูกมะม่วงผลที่ได้ย่อมเป็นมะม่วงแน่นอน ดังนั้นพ่อ-แม่เป็นอย่างไรลูกก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นการอ่านหนังสือ เป็นจุดเริ่มต้น และการอ่านหนังสือไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวลดลงเลย เพราะไม่จำเป็นต้องตะบี้ตะบันอ่านเพียงแต่รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ก็พอ อีกอย่างความผูกพันความอบอุ่นในครอบครัว ไม่ใช่ต้องกอดกัน แต่ทำให้รู้ว่าพ่อ-แม่รักลูกก็พอ โดยบอกให้เขารับรู้ และการอ่านก่อให้เกิดรากเหง้าของครอบครัวที่ดี นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของรากเหง้าของชาติบ้านเมือง
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ชอบดูข่าวต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต เพราะเต็มไปด้วยมีขุมทรัพย์ทางปัญญา เราอยากอ่านอะไรก็สามารถที่จะให้เจาะข้อมูลค้นหารายระเอียดที่ลึกซึ่งได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าโรงเรียน
สำหรับสิ่งที่อยากทำที่สุด คือต้องการต่อสู้ให้คนไทยมีปัญญา ประชาชนส่วนหนึ่งที่มาเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ ก็เพราะได้รับปัญญาจากการฟังปราศรัยช่วงชุมนุม ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่าปัญญา ถ้าสังคมมีปัญญาประเทศชาติเจริญ ซึ่งถ้ามีปัญญาก็จะเกิดสัมมาปัญญา คือเอาธรรมเป็นตัวตั้ง ก็จะส่งผลให้แทบจะไม่ต้องมีตำรวจเลย เพราะคนเหล่านี้เขาจะรู้ได้เองถ้าทำผิด ถ้าจะลงโทษในฐานทำผิดข้อกติกาหรือศีล ก็ลงโทษได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งศาล
ที่มา: คำต่อคำ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ร่วมสนทนาในรายการ “แอน จินดารัตน์” ใน ASTVผู้จัดการออนไลน์ [1] [2]

แม่นไหมไม่ทราบ ประจำวันที่ 27 มิ.ย.-3 ก.ค. 2552

ที่มา ประชาไท
ราศีเมษ Aries (13 เมย.-13 พค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ 6 เหรียญ การช่วยเหลือเจือจุนกัน ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงิน หากทำเรื่องกู้ยืม การใช้เครดิตต่างๆ จะประสบผลสำเร็จ
ความรัก ความสัมพันธ์ Death อาจมีเหตุให้ความสัมพันธ์จบลง หรือต้องหย่าร้าง แยกทาง เป็นช่วงวิกฤติในชีวิตคู่ ต้องมองหาทางเลือก-ทางรอดให้ดี
สถานการณ์การเงิน 4 ดาบ การเงินเหมือนถูกแช่แข็ง รายได้ใหม่ๆ ยังไม่มีจังหวะ และยังต้องระวังการจ่ายเงินเพื่อสุขภาพอีกด้วย
ธุรกิจ การงาน The Empress มักหมายถึงกิจการงานที่มั่นคง ธุรกิจซึ่งมีผู้หญิงเป็นใหญ่ หรือเป็นทรัพย์สินของคู่สมรส มีความเจริญก้าวหน้าช้าๆ แต่ยั่งยืน
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น The High Priestess ปัญหาจากเรื่องละเอียดอ่อนส่วนตัว ความสัมพันธ์ซ้อนด้วยก็ได้

คำแนะนำพิเศษ 10 ถ้วย ให้ความสำคัญกับครอบครัวให้มาก หมายถึงการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง มีสันติสุข



ราศีพฤษภ
Taurus (14 พค.-13 มิย.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ 5 เหรียญ อาจเผชิญกับปัญหาจุกจิกหลายเรื่อง เรื่องน่ารำคาญใจ โดยเฉพาะปัญหาทางการเงิน รายได้รั่วไหล ค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ที่มีเข้ามาตลอดเวลา
ความรัก ความสัมพันธ์ มหาดเล็กถ้วย มักหมายถึงข่าวดีเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ ได้ข่าวจากคนที่คิดถึง ในบางคนมีคนวัยละอ่อนเข้ามาให้ชื่นชูใจ
สถานการณ์การเงิน มหาดเล็กดาบ สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก มีเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ เจออุปสรรค รายรับรายจ่ายทุกอย่างต้องตั้งหลักให้มั่น
ธุรกิจ การงาน 2 ดาบ อาจมีอุปสรรคด้านการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน หากต้องเจรจาหาข้อสรุปใดๆ ให้รอบคอบอย่างมาก เครื่องมือเครื่องใช้อาจเกิดปัญหาด้วยในช่วงนี้
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น The Lovers การเลือกหรือต้องตัดสินใจ ในเวลาที่ยังไม่มีความพร้อม

คำแนะนำพิเศษ ราชาเหรียญ การจัดการเงิน การถือครองทรัพย์สิน การร่วมมือกับคนมีฐานะ หรือมีอำนาจทางการเงิน


ราศีเมถุน
Gemini (14 มิย.-14 กค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ 2 เหรียญ ความวุ่นวายอลหม่าน จากการพยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ เกิดความผิดพลาดเฉพาะหน้า
ความรัก ความสัมพันธ์ 7 คทา ค่อนข้างหนักและเหนื่อย ความสัมพันธ์ไม่ใช่ช่วงหวานชื่น อาจด้วยต่างคนต่างมีภาระหน้าที่ของตัวเอง ไม่ค่อยมีเวลาให้กัน
สถานการณ์การเงิน ราชาถ้วย ถือว่ามีความพร้อมสมบูรณ์มากทีเดียว มักเงินเก็บหรือฐานะรองรัง แม้เงินขาดมืออีกไม่นานก็ได้มาแทนที่ แต่อาจใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกับของรักของชอบ
ธุรกิจ การงาน The Moon มีความกังวลใจกับอนาคต หรือบรรยากาศแวดล้อม อยู่ในที่ๆ ไม่ค่อยปลอดโปร่งแจ่มใส
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น The Hermit ความเหงา ความเปล่าเปลี่ยว ความสันโดษที่ไม่เต็มใจ

คำแนะนำพิเศษ The Sun ยิ้มไว้ค่ะ มองโลกในแง่ดีและเบิกบานใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะปัดเป่าได้เสมอ

ราศีกรกฎ Cancer (15 กค.-16 สค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ ราชาดาบ การต้องพึ่งตนเอง การตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ความเด็ดเดี่ยวเมื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรค
ความรัก ความสัมพันธ์ อัศวินดาบ ไม่ง่ายที่คุณจะตัดใจ หรือไปตามเส้นทางที่ต้องการ แต่จิตใจหนักแน่นจะพาคุณไปสู่เป้าหมาย กรณีคนโสดหาความสุขใส่ตัวไว้
สถานการณ์การเงิน 5 ดาบ อาจมีเหตุให้คุณต้องจำใจ ยอมรับเงื่อนไข ตกลงต่อค่าตอบแทนที่ไม่ได้พึงพอใจ
ธุรกิจ การงาน อัศวินถ้วย หากมีการเดินทางจะราบรื่นดี มีความสุข อาจได้พบคนน่ารักในแวดวงการทำงาน
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น มหาดเล็กคทา ไม่ยอมรับหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การปิดกั้นตัวเอง

คำแนะนำพิเศษ 5 เหรียญ มองโลกในแง่ดี มองสิ่งที่เหลืออยู่ให้มากกว่าสิ่งที่หายไป

ราศีสิงห์ Leo (17 สค.-16 กย.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ The Hanged Man การตกในภาวะจำยอม การเสียสละแลกเปลี่ยนในเรื่องที่ไม่เต็มใจ เรื่องคาราคาซังหาคำตอบไม่ได้
ความรัก ความสัมพันธ์ 10 ดาบ อุปสรรคมากมายหลายสถาน อาจเป็นช่วงความสัมพันธ์ขาลง คนรอบข้างเข้ามามีส่วน หรือเกิดเรื่องทับซ้อนให้เหินห่างจากกัน
สถานการณ์การเงิน The Emperor มีความมั่นคงอย่างมาก อาจได้แรงหนุนจากผู้มีฐานะ ได้นายจ้างที่มีอำนาจในการตัดสินใจ เอื้อผลประโยชน์แก่กัน
ธุรกิจ การงาน ราชาคทา ได้ใช้ความสามารถในการจัดการ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ถูกจับตามอง บางคนได้รับมอบหมายงานสำคัญ
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น 10 คทา งานหนักและยาวไกลกว่าที่คิด ค่าตอบแทนน้อยกว่าแรงที่ทำลงไป

คำแนะนำพิเศษ 1 ถ้วย เมื่อเริ่มต้นสิ่งใดด้วยความรู้สึกที่ดี รักษาเอาไว้ให้ตลอดรอดฝั่ง

ราศีกันย์ Virgo (17 กย.-16 ตค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ 5 คทา ความขัดแย้งในหมู่เพื่อนร่วมงาน ความวุ่นวายอันเกิดจากคนหมู่มาก เรื่องยุ่งๆ ในครอบครัว ทัศนคติไม่ตรงกัน
ความรัก ความสัมพันธ์ 3 ถ้วย การหมั้นหมาย สมรส การฉลองวาระครบรอบต่างๆ ได้ประกาศให้เพื่อนฝูงร่วมแสดงความยินดี มีเวลาชื่นบานด้วยกัน
สถานการณ์การเงิน 8 เหรียญ มีจังหวะดีๆ ในการทำงานซึ่งนำโชคลาภมาให้ เงินสัมพันธ์กับงาน ดูแนวโน้มแล้ว หากขยันและอดทน จะได้สมปรารถนา
ธุรกิจ การงาน 7 ถ้วย คุณอาจมีความฝันมากมาย หรืออยากทำไปหมดทุกอย่าง ให้มองโลกตามความเป็นจริง มองสถานการณ์ให้ชัด ระวังภาพลวงตา
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น Justice การเจรจาต่อรอง เอกสารสำคัญ ปัญหาทางกฎหมาย

คำแนะนำพิเศษ ราชินีเหรียญ คุณอาจได้ถือเงินก้อนใหญ่ หรือสัมพันธ์กับคนที่มีฐานะ มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องบัญชีต่างๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องความขาดแคลน


ราศีตุลย์
Libra (17 ตค.-15 พย.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ ราชินีถ้วย ความสุขในครอบครัว แต่ก็อาจยังแฝงความอ่อนไหว ใจน้อย โลกส่วนตัวที่ยากใครจะเข้าถึง
ความรัก ความสัมพันธ์ 9 คทา มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในที หรืออาจมีมุมมองแตกต่างเรื่องชีวิตคู่ บางคนต้องการหย่าร้าง แยกทาง อยากจัดสรรชีวิตใหม่
สถานการณ์การเงิน 10 เหรียญ ข่าวดีอย่างมากค่ะ มักหมายถึงการเงินก้อนใหญ่ รายได้ที่มาก ครอบครัวให้การสนับสนุน ได้รับค่าตอบแทนงามๆ
ธุรกิจ การงาน 8 ดาบ อาจมีปัญหาที่บีบล้อมเข้ามาอีกครั้ง คุณพบกับเรื่องอึดอัดขัดข้อง เพื่อนร่วมงานไม่มีใครช่วยเหลือใครได้
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น The World ความสงบในใจส่วนลึก คุณเท่านั้นที่รู้ว่ามันมีหรือไม่มี

คำแนะนำพิเศษ 2 คทา ให้ความสำคัญกับผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือกิจการงาน หรือเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญให้มาก อย่าลืมว่าน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า


ราศีพิจิก
Scorpio (16 พย.-15 ธค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ 8 คทา งานเยอะ งานมาก งานแตกขยายออกไปอีก เป็นจังหวะสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจส่วนตัว แต่คงเป็นข่าวร้ายสำหรับคนขี้เกียจ :-)
ความรัก ความสัมพันธ์ 3 คทา ก้าวไปข้างหน้าอีกขั้น อาจมีการวางแผนต่ออนาคตข้างหน้า แนะนำคนรักให้เพื่อนฝูงรู้จัก ในบางคนพบรักจากการทำงานหรือการเดินทาง
สถานการณ์การเงิน 6 คทา การเงินใดที่เคยล่าช้า กำลังจะใกล้เข้ามาเต็มที หวังได้ถึงความสำเร็จ แต่หากสิ่งใดเพิ่งเริ่มต้นตอนนี้ อีกนานกว่าการเบิกจ่ายจะมาถึง
ธุรกิจ การงาน Wheel of Fortune เป็นช่วงขาขึ้นอีกครั้ง เรื่องยุ่งๆ จะสงบลงชั่วคราว ปัญหาหนักๆ ได้รับการแก้ไข แต่อย่าประมาทไปกับอนาคต
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น The Hierophant ความยึดมั่นถือมั่น การใช้ความคิดตนเองเข้าตัดสินผู้อื่น

คำแนะนำพิเศษ 9 ถ้วย รักษาโลกส่วนตัวที่สวยงามของคุณไว้ให้ดี


ราศีธนู
Sagittarius (16 ธค.-13 มค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ อัศวินคทา การเดินทาง การมุ่งไปสู่เป้าหมายด้วยความกระตือรือร้น การเอาใจการงานอย่างทุ่มเท
ความรัก ความสัมพันธ์ The Tower อาจมีเรื่องให้เสียขวัญ ตกใจ คาดไม่ถึง เช่นมีคนมาตกหลุมรัก หรือพลิกไปอีกด้านแฟนมาขอบอกเลิก แม้แต่พบว่าสุดที่รักมีกิ๊ก
สถานการณ์การเงิน 8 ถ้วย ไม่สู้ดีนัก อาจต้องใช้เงินกับสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย แต่กลับไม่ได้ผลตามที่มุ่งหวัง มิหนำซ้ำมีความผิดหวังมากกว่าเงินที่เสียไป
ธุรกิจ การงาน 6 ดาบ ปัญหาใดๆ ต้องรอเวลากว่าจะแก้ไขได้ ไม่ง่ายที่จะพลิกสถานการณ์ฉับพลัน แต่หากเพิ่ง
เริ่มทำสิ่งใดในช่วงนี้ ต้องใจเย็นอย่างมาก อดทนและรอคอย
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น 7 เหรียญ สิ่งที่อุตส่าห์สั่งสมมา ใช้ไม่ได้สักอย่างเดียว

คำแนะนำพิเศษ มหาดเล็กเหรียญ จะมีช่องทางใหม่ๆ ทางธุรกิจการเงิน คนอายุน้อยจะมาจุดประกายความคิดปิ๊งๆ


ราศีมังกร
Capricorn (14 มค.-12 กพ.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ 4 เหรียญ ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก คุณอาจตกในสภาพเช่นนี้ ทำอะไรไม่ค่อยคล่อง เกิดความกังวลเรื่องเศรษฐกิจ ขี้เหนียวกว่าปกติ
ความรัก ความสัมพันธ์ 7 ดาบ อาจมีรักซ้อนซ่อนใจ หรือมีความคิดแผลงๆ อยากนอกใจคนรัก แต่ระวังคนรักจะเป็นฝ่ายทำอย่างนั้นแทน
สถานการณ์การเงิน The Devil ไม่ค่อยปลอดโปร่งใจ อาจต้องเกี่ยวข้องกับบัญชีที่ไม่โปร่งใส หรือมีสิ่งที่ต้องใช้ความคิดเชิงศีลธรรมเข้ามาตัดสิน ระวังความโลภ ไม่ว่าจะของตัวเองหรือคนที่เกี่ยวข้องกัน
ธุรกิจ การงาน ราชินีเหรียญ เจริญรุ่งเรืองดี อาจได้ร่วมงานกับคนเก่ง มีฐานะ หรือทำงานได้ค่าตอบแทนสูง แต่บางคนค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูงตามไปด้วย
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น 1 ดาบ การตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด

คำแนะนำพิเศษ Judgement จับตาดูหรือฟังให้ดี คุณอาจได้รับโอกาสสำคัญ ในการแก้ไขข้อผิดพลาดที่ผ่านมา

ราศีกุมภ์ Aquarius (13 กพ.-13 มีค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ 9 ดาบ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพสายตา ระบบประสาท ความเครียด เรื่องยุ่งจากญาติผู้ใหญ่
ความรัก ความสัมพันธ์ The Star ความสุขและสงบใจ ความรักที่รื่นรมย์ มิตรภาพที่ดี การให้ความหวังสวยงามแก่กัน
สถานการณ์การเงิน มหาดเล็กเหรียญ มีข่าวดีเล็กๆ น้อยๆ เข้ามา แต่อาจเป็นช่องทางใหม่ในการหารายได้พิเศษ การเงินถือว่ามีกระแสที่ดี
ธุรกิจ การงาน Strength คุณมีความสามารถในการจัดการสิ่งต่างๆ ดีอยู่แล้ว อาจพบคู่ต่อสู้หรือคู่แข่งขันในการทำงาน ศักดิ์เสมอกัน แต่ก็ไม่มีใครเฉือนใครลงง่ายๆ
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น The Chariot การเดินทางที่ผิดแผน ความไร้วินัย เป้าหมายที่เลื่อนห่างไปเรื่อยๆ

คำแนะนำพิเศษ ราชินีคทา จัดการสิ่งต่างๆ ให้เต็มประสิทธิภาพ คุณเป็นคนเก่ง ทำได้อยู่แล้ว

ราศีมีน Pisces (14 มี ค.-12 เมย.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ The Fool การเปิดประตูใหม่ๆ การผจญภัย พบปะผู้คนที่น่าตื่นเต้น เรื่องสนุกท้าทาย การมองโลกในแง่ดีแต่ก็มีความเสี่ยง
ความรัก ความสัมพันธ์ 1 คทา อาจได้ร่วมงานกับคนเก่ง น่าชื่นชม นำไปสู่ความรู้สึกพิเศษ บางคนได้คนรักคู่ครองเข้ามาทำธุรกิจด้วยกัน
สถานการณ์การเงิน The Magician โอกาสที่ดีค่ะ อาจได้ทรัพย์ ได้ของมีค่า โดยไม่ได้คาดหมาย มีรายได้จากสิ่งที่ดูไม่น่าเป็นไปได้ ความคิดสร้างสรรค์นำโชคลาภมาให้
ธุรกิจ การงาน 4 ถ้วย อาจต้องเลือกในเงื่อนไขกำหนด หรือมีเหตุต้องตัดสินใจ แต่ในภาวะที่จิตใจไม่มั่นคง คิดช้าๆ หน่อยก็ได้
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น 2 ถ้วย ความรักที่ดูสวยงามชั่วครั้งชั่วคราว

คำแนะนำพิเศษ 1 เหรียญ จะมีโชคทางการเงิน มีรายได้ใหม่ หรือได้ทรัพย์มาอย่างน่าชื่นใจ หากมีการเริ่มต้นธุรกิจ การลงทุนใหม่ๆ ให้ผลดี

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker