บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สนธิชี้คนไทยอ่านหนังสือน้อยดูทีวีมากทำให้ฉาบฉวย ประเทศจะเจริญต้องส่งเสริมการอ่าน

ที่มา ประชาไท

สนธิ ลิ้มทองกุล เผยในรายการ “แอน จินดารัตน์” จะเป็นหัวหน้าพรรค “การเมืองใหม่” หรือไม่ขึ้นอยู่มติ ถ้าให้เป็นก็ต้องเป็นเพื่อนำพรรคสู่เป้าหมาย ยันไม่ผิดสัญญาเรื่องไม่รับตำแหน่ง เพราะหัวหน้าพรรคไม่ต้องลงเลือกตั้ง ย้ำพร้อมอดทนต่อคำก่นด่าเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ยึดติด มั่นใจไม่ปล่อยให้การเมืองน้ำเน่าทำเสียคน ชี้คนไทยอ่านหนังสือน้อยดูทีวีมากทำให้ฉาบฉวย ประเทศจะเจริญต้องส่งเสริมการอ่าน

ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า วานนี้ (29 มิ.ย. 52) เวลา 20.30-22.00 น. รายการ “แอน จินดารัตน์” ดำเนินรายการโดย นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ออกอากาศทางเอเอสทีวี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มาร่วมรายการเพื่อสนทนาถึงเรื่องการใช้ชีวิตต่อเป็นตอนที่ 2 พร้อมตอบคำถามที่หลายคนรอคอย คือเรื่องการเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นและจะมีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหาร พรรคชุดถาวรในเร็วๆ นี้
นายสนธิ กล่าวถึงเรื่องจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่หรือไม่ว่า ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาชีวิตของตนเปลี่ยนไปหมดแล้ว และวันนี้ ไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง ทุกอย่างทำเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่ไม่ใช่คำท่องนะโม แต่เป็นความจริงใจ แม้แต่เจ็บเพื่อชาติก็เจ็บไปแล้ว ดังนั้นจากวันนี้ไปจนวันตายจะทำงานเพื่อส่วนรวมทั้งหมด ส่วนธุรกิจอยู่ได้อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ช่างวัน แต่ถ้าอยู่ได้ก็ดีเพราะมันเป็นเครื่องมืออันหนึ่ง
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เมื่อตนจะทำงานเพื่อชาติ จึงตอบไม่ได้ในตอนนี้ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ แต่พี่น้องต้องช่วยกันตอบ ซึ่งถ้ามองจากมติของพี่น้องที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(เมื่อวันที่ 25 พ.ค.) และแบบฟอร์มที่ทุกคนกรอกในวันนั้นซึ่งมีระบุว่าอยากให้ใครเป็นหัวหน้าพรรค ตนรู้ข้อมูลพอสมควร แต่ไม่อยู่ในจุดที่จะเปิดเผยได้ แต่ถ้าพี่น้องที่กรอกแบบฟอร์มในวันนั้นส่วนใหญ่ต้องการให้เป็นหัวหน้าพรรคก็ จะเป็นให้
ส่วนกรณีที่ฝ่ายตรงข้ามหรือพันธมิตรฯ บางคนว่าท้วงติงว่าเคยสัญญาไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองนั้น นายสนธิกล่าวว่า ตนไม่ได้บอกว่าจะรับตำแหน่งทางการเมือง เพราะคนเป็นหัวหน้าพรรคอาจไม่ลงเลือกตั้งก็ได้ ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งตนคงต้องบอกว่าไม่อยากจะเป็นหัวหน้าพรรคแต่จำเป็นต้อง เป็น และตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ไม่มีใครไหนที่ตนออกมาสู้แล้วได้รับความเข้าใจจากพี่น้องทันที ต้องใช้ความอดทนและใช้เวลา กว่าจะเข้าใจ และเมื่อผ่านเหตุการณ์มา รวมทั้งกรณีที่ตนถูกลอบยิงกว่า 200 นัด ก็ยิ่งมีพี่น้องเข้าใจมากขึ้น
“มันทำให้ผมอดนึกถึงพระมหาชนกไม่ได้ เพราะเมื่อเรามีศรัทธาและเชื่อมั่นเราก็ว่ายน้ำต่อไป ถึงเหนื่อยก็ต้องว่ายต่อไป เมื่อผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำนั้นถูกต้อง ผมต้องทำต่อไป ผมต้องอดทนต่อคำต่อว่า อดทนต่อการเข้าใจผิด ผมเชื่อว่าเมื่อวันหนึ่งเราไปถึงเป้าแล้ว วันนั้นผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ว่าผมไม่ยึดติด เมื่อถึงเป้าแล้วผมก็กลับมานั่งในรายการนี้ เป็นคนธรรมดาที่ทำหน้าที่ให้ปัญญาคนต่อไป”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า แต่ในช่วงที่เป็นผู้นำมวลชนนั้น แม้บางเรื่องไม่อยากทำก็ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำก็เท่ากับทรยศต่อมวลชน สิ่งที่เราสร้างมาอาจจะพังลง “มันพังเพราะผมไม่ทำ ทั้งที่เขาให้ผมทำ ผมจะถูกก่นด่าว่าตั้งขึ้นทำไม เรียกคนไปประชุมทำไม”
“เพราะฉะนั้นเมื่อมีพรรคแล้ว ถ้ามันจำเป็นต้องเป็นหัวหน้าเพื่อให้พรรคมันเดินไปได้ ถึงผมจะบาดเจ็บจากคำก่อนด่าก็ต้องอดทน ซึ่งผมจะฟังเสียงส่วนใหญ่ ถ้าเสียงส่วนใหญ่ให้ผมเป็น ผมก็ต้องอดทนเป็น”
“ส่วนที่พันธมิตรฯ หลายคนเป็นห่วงไม่อยากให้แปดเปื้อนการเมืองนั้น ก็เพราะเขายังมองการเมืองแบบเดิม และยังไม่เชื่อมั่นศรัทธาผม ถ้าเขาเชื่อมั่นศรัทธาในตัวผม เขาจะเชื่อว่าการเมืองไม่มีวันทำให้ผมเสียได้ เพราะผมรู้จักตัวเอง ผมไม่ได้อ้างว่าบรรลุธรรมอะไร แต่ผมเข้าใจเรื่องสมมุติดี อะไรมันหนัก ผมก็ปล่อยวางได้ ผมสู้มาขนาดนี้ผ่านเป็นผ่านตายมาขนาดนี้ ผมไม่มีวันปล่อยให้การเมืองทำให้ผมเสียได้”นายสนธิกล่าว
นอกจากนี้ นายสนธิ ยังกล่าวถึงการใช้ชีวิตส่วนตัวว่า ปกติเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ไม่มีอะไรที่จะสร้างสมาธิได้ดีเท่าการอ่านหนังสือ เพราะคนที่จะเขียนหนังสือเล่มหนึ่งๆ ต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้าเป็นปีๆ ประกอบกับการเขียนที่ผู้เขียนบรรจง เค้น และคั้นทุกอย่างที่มีอยู่ในตัวหรือประสบการณ์ของเขา มาเรียงร้อยถ้อยคำอย่างละเอียด จนเข้าถึงจิตวิญญาณอ่านแล้วได้อรรถรส หนังสือที่ชอบอ่านมีสองแนว คือ นิยายการต่อสู้ประเภทกำลังภายใน อาทิ มังกรหยก และอีกแนวหนึ่งเป็นหนังสือ ชีวประวัติ เช่นของ หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว ที่มีความเพียรพยายามฝึกจิต อ่านแล้วได้ความคิด อีกเล่มหนึ่งคือพระมหาชนก ที่อ่านมาแล้วหลายรอบ สอนให้คนเชื่อมั่น มีความเพียร
“การที่เป็นคนมีความเพียร แสดงว่าเป็นคนตั้งทำอะไรไม่หวั่นไหว นั้นเป็นการทำความดี ไม่ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ นั่นคือการปิดทองหลังพระ ฉะนั้นถ้าการเมืองไทยมีคนอย่างนี้เยอะกว่านี้ซักหน่อยประเทศไทยจะเจริญขึ้น” นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ทุกวันนี้คนไทยอ่านหนังสือน้อย แต่ดูทีวีมาก และการดูทีวีทำให้คนไทยฉาบฉวย ถ้าประเทศไทยจะเจริญ ต้องส่งเสริมการอ่านเป็นอันดับแรก โดยเริ่มจาก พ่อ-แม่ ที่ต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เราปลูกมะม่วงผลที่ได้ย่อมเป็นมะม่วงแน่นอน ดังนั้นพ่อ-แม่เป็นอย่างไรลูกก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นการอ่านหนังสือ เป็นจุดเริ่มต้น และการอ่านหนังสือไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวลดลงเลย เพราะไม่จำเป็นต้องตะบี้ตะบันอ่านเพียงแต่รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ก็พอ อีกอย่างความผูกพันความอบอุ่นในครอบครัว ไม่ใช่ต้องกอดกัน แต่ทำให้รู้ว่าพ่อ-แม่รักลูกก็พอ โดยบอกให้เขารับรู้ และการอ่านก่อให้เกิดรากเหง้าของครอบครัวที่ดี นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของรากเหง้าของชาติบ้านเมือง
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ชอบดูข่าวต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต เพราะเต็มไปด้วยมีขุมทรัพย์ทางปัญญา เราอยากอ่านอะไรก็สามารถที่จะให้เจาะข้อมูลค้นหารายระเอียดที่ลึกซึ่งได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าโรงเรียน
สำหรับสิ่งที่อยากทำที่สุด คือต้องการต่อสู้ให้คนไทยมีปัญญา ประชาชนส่วนหนึ่งที่มาเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ ก็เพราะได้รับปัญญาจากการฟังปราศรัยช่วงชุมนุม ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่าปัญญา ถ้าสังคมมีปัญญาประเทศชาติเจริญ ซึ่งถ้ามีปัญญาก็จะเกิดสัมมาปัญญา คือเอาธรรมเป็นตัวตั้ง ก็จะส่งผลให้แทบจะไม่ต้องมีตำรวจเลย เพราะคนเหล่านี้เขาจะรู้ได้เองถ้าทำผิด ถ้าจะลงโทษในฐานทำผิดข้อกติกาหรือศีล ก็ลงโทษได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งศาล
ที่มา: คำต่อคำ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ร่วมสนทนาในรายการ “แอน จินดารัตน์” ใน ASTVผู้จัดการออนไลน์ [1] [2]

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker