เขียนโดย ปูนนก
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2009 เวลา 23:07 น.
เวลานี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ 1 กำลังเข้าตาจนอย่างหนัก หันไปทางไหนก็มีแต่ทางตันและความมืดทึบไปหมด ไม่สดใสปลอดโปร่งเหมือนกับที่เริ่มตั้งรัฐบาลใหม่ ๆ เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว
ในเวลานั้นอะไร ๆ ก็ดูดีไปหมดมีแต่คนดาหน้าออกมาให้ความการสนับสนุน พันธมิตรก็ส่งเสียงเชียร์, ทหารก็คอยปกป้อง, อมาตย์ก็ออกมารับรอง, สื่อมวลชนก็ชื่นชม, ที่สำคัญยังแย่งตัว ส.ส. ให้แยกตัวมาจากพรรคเดิมมายกมือให้ได้อีกด้วย เรียกว่าปกป้องประคบประหงมยิ่งกว่า “แพนด้าน้อย” ที่เพิ่งคลอดในเมืองไทยเสียอีก... แต่ทว่าเวลาผ่านไปเพียงแ่ค่ 6 เดือนไอ้ที่เคยน่ารักกลับไม่น่ารักเสียแล้่ว
อ่านเพิ่มเติมและแสดงความคิดเห็นได้ที่นี่
การบริหารประเทศล่มสลายอย่างสิ้นเชิงในทุก ๆ ด้าน ประชาชนต่างกลายเป็นคน “ไพร่ฟ้าหน้ามืด” กันเป็นแถว ๆ เพราะบริหารแบบไม่บริหาร มีแต่ “กู้” กับ “ขึ้นภาษี” ไม่รู้อนาคตจะ “ขายสมบัติ” ชาติ (อย่างที่พูดเอาไว้) อีกด้วยหรือเปล่า ราษฎรเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ไ่ม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้อน้ำเงิน เดือดร้อนเท่าเทียมกัน รอบบ้านก็เป็นศัตรูกับเขาไปทั่ว ร่ำ ๆ จะเกิดสงครามไม่เว้นแต่ละวัน
เผด็จการอมาตย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็นรัฐบาลที่บริหารขับเคลื่อนประเทศไปได้แม้จะไม่ดีนักแต่ก็ขอให้บริหารไปได้บ้าง แล้วจะใช้สื่อมวล, นักวิชาการ, และองค์กรอื่น ๆ ที่อยู่ในสังกัด เข้ามาส่งเสียงเชียร์เพื่อจะให้คนลืมความสุขในสมัยรัฐบาลท่านนายกทักษิณให้ได้ เพราะแม้ว่าประชาชนจะได้ไม่เท่าแต่การที่ได้บ้างก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย....แต่ที่ไหนได้กระแสทุกด้านกลับรุมเร้าหนักขึ้น และยิ่งหนัก ขึ้นจากการบริหารแบบ “กู้ ๆ” อย่างนี้
พันธมิตรที่เคยอุ้มชูพรรคประชาธิปัตย์อย่างออกหน้าออกตามาก่อน กลับกลายเป็นผู้ที่ออกมาประท้วงพวกเดียวกันเสียเอง โดยหยุดการเดินรถไฟสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ก็พากันออกมาขย่มรัฐบาลกันเป็นทิวแถว จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ ต้องแบ่งปันผลประโยชน์จนเป็นที่พอใจกันทุกฝ่าย กิจกรรมขู่กรรโชกรัฐบาลโดยจับประชาชนเป็นตัวประกันจึงยุติลง
ไม่เพียงเท่านั้นรัฐมนตรี และ ส.ส. จำนวนมากของพรรคกำลังอยู่ในภาวะกระอักกระอ่วน เพราะไม่รู้ว่าตนเองจะถูกถอดถอนจากการถือครองหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐหรือเปล่า ขณะเดียวกันกลุ่ม ส.ว. กำลังจะโดนสอยร่วงระนาวด้วยกรณีเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดกำลังเดินเข้าไปสู่เส้นทางสุดท้ายของผู้กำหนดที่ยิ่งใหญ่คือ ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง ที่เผด็จการอมาตย์มีอำนาจครอบคลุมอยู่อย่างไม่อาจหลีกหนีพ้นได้
ดูอย่างไรรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์คงยากที่จะรอดพ้นการยุบสภาไปได้ เพราะยิ่งอยู่นานพรรคประชาธิปัตย์ก็ยิ่งทำลายตัวเองมากเท่านั้น ขณะเดียวกันพรรคร่วมรัฐบาลก็ร่วมกันทวงคำสัญญาที่เคยให้กันเอาไว้ก่อนการรวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลขย่มจนรัฐบาลเป๋ไปเป๋มา และยิ่งหลังผ่านการเลือกตั้งที่จังหวัดสกลนคร และศรีสะเกษ มาแล้ว กระแสพรรคเพื่อไทยและชูท่านนายกทักษิณ ยังคงเหนียวแน่นไม่เสื่อมคลาย เผด็จการอมาตย์คงไม่เหลือทางเลือกอื่นใดในการที่จะรักษาอำนาจเอาไว้ได้อีกแล้ว... ที่จะยอมให้เกิดการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหญ่ทั่วไปนั้นก็มองเห็นแล้วว่า เลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยโดยการนำของท่านนายกทักษิณ คงจะชนะการเลือกตั้งมาเป็นแน่
อาวุธทุกชนิดก็ใช้ออกไปจนหมดแล้ว จะใช้พลังของกลุ่มพันธมิตรก็คงไม่ได้แล้วเพราะตั้งพรรคการเมืองไปแล้ว จะใช้พลังคนเสื้อสีน้ำเงินเนวินก็จะไปไม่ไปแหล่รอวันสิ้นอำนาจคงไม่มีใครกล้ัาเสี่ยงเข้าร่วมด้วย จะใช้อำนาจตุลาการบ่อยนักก็เป็นการทำลายตนเองเพราะแค่ที่ผ่านมาก็เสื่อมจนไม่รู้จะเสื่อมอย่างไรแล้ว ครั้นจะใช้กำลังทหารออกมายึดอำนาจอีกครั้งก็ไม่แน่ใจว่าคราวนี้จะสำเร็จง่ายๆ เหมือนครั้งก่อนอีกหรือเปล่า รวมความแล้วก็คือเผด็จการอมาตย์ไม่มีหนทางให้เลือกอีกแล้ว เหมือนการวิ่งหนีศัตรูบนถนนตรง ๆ ที่ไม่มีหนทางหลบหลีก จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากยังคงวิ่งหนีต่อไปตราบเท่าที่ยังมีแรงเท่านั้น แล้วในที่สุดก็ล้มลงขาดใจตาย
วิธีสุดท้ายที่เสี่ยงที่สุดและเป็นจุดแตกหักกับประชาชนมากที่สุดที่เผด็จการอมาตย์จะนำมาใช้ก็คือ การตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ซึ่งรัฐบาลแห่งชาตินี้่จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วย ส.ส. , ส.ว., และ กกต. ถูกถอดถอนออกจนหมด ทำให้เกิดสุญญากาศในทางการเมือง จัดการเลือกตั้งไม่ได้.....แต่ก็ต้องจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ โอกาสที่จะทำให้เกิดมีรัฐบาลขึ้นมาได้ก็คือต้องให้มีรัฐบาลแห่งชาติที่เผด็จการอมาตย์เป็นผู้เลือกสรรมาดำรงตำแหน่ง จึงจะทำให้เผด็จการอมาตย์จะยังครองอำนาจได้อีกต่อไป
แต่ทว่าการจะทำให้เกิดรัฐบาลแห่งชาติขึ้นนั้นในครั้งนี้จำเป็นต้องแลกมาด้วย “ความศรัทธา” ทีสูงลิบลิ่ว เพราะประชาชนไทยในเวลานี้ต่างก็รู้และเห็นกันจนหมดสิ้นแล้วว่า “ใคร” เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความล่มสลายและความเลวร้ายของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ นับจากวัน “ตาสว่าง” เป็นต้นมา ต้นทุนความศรัทธาที่มีอยู่ของคนในชาติได้ถูกใช้ไปจนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว ยังคงเหลือ “สายใยบาง ๆ” แห่งความศรัทธาอยู่อีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งถ้าเกิดมีการแต่งตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่ไม่ไ้ด้มาจากการเลือกตั้งขึ้นมาอีกละก็ สายใยที่ว่านี้คงจะขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีชิ้ันดีแน่นอน
ทางเลือกเดินของเผด็จการอมาตย์ไม่เหลือให้เลือกอีกแล้ว ถ้าสายใยบาง ๆ ของความศรัทธาที่ประชาชนมีอยู่นี้หมดสิ้นลง ประเทศนี้คงจะมีหน้าประวัติศาสตร์ที่เศร้าสลดมากในยุคของพวกเรานี่แหละ.....อย่างไรก็ดี ความเป็นไปได้สำหรับ รัฐบาลแห่งชาิติ ก็ใช่ว่าจะปิดประตูเสียเลยทีเดียว เพราะอย่างไรคนไทย ก็ยังคือคนไทย เป็นผู้ที่ชอบความสงบสันติมากกว่าชอบใช้กำลัีง เพียงแต่ทว่าความอดทนต่อการถูกกดขี่ข่มเหงก็มีจุดสิ้นสุดเช่นกัน ดังนั้นสัญญาณว่า เผด็จการอมาตย์จะใช้กลยุทธในการเดินเข้าไปสู่ทางตันทางการเมืองเพื่อตั้งรัฐบาลแห่งชาติหรือไม่ ก็คงต้องคอยลุ้นดูว่าจะมีใครในจำนวน ส.ส. และ ส.ว. หรือแม้แต่ กกต. ที่จะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย “เชือด” บ้าง เพราะถ้าศาลลงมือ “เชือด” เมื่อไร ก็แสดงว่าเผด็จการอมาตย์กำลังเลือดเข้าตามเมื่อนั้น
ปูนนก