เขียนโดย แม่ปังคุง
วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน 2009 เวลา 06:49 น.
วันนี้ก็ไม่ผิดหวังเลยครับ ผมเตรียมตัวออกจากบ้านไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงที่สนามหลวง ออกจากบ้านบ่ายสามโมงเย็น ผมเห็นฝนมีทีท่าจะตก ก็เลยเตรียมอุปกรณ์กันฝนไปพร้อม ไม่กลัวฝนแน่นอน เอารถไปจอดไว้ที่หมอชิด แล้วขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีราชเทวี แล้วค่อยเดินมาต่อรถเมล์สาย 2 ไปที่สนามหลวงครับ ไปใกล้ๆ แถวอนุสาวรีย์ ผมก็ลงรถเมล์แล้วเดินไป แต่เดินได้ไม่เท่าไหร่ รถปิคอัพของคนเสื้อแดงจากไหนไม่ทราบ เจ้าของโชว์มือตบ ชวนคนเสื้อแดงที่กำลังเดินไปสนามหลวง ขึ้นรถไปด้วยกัน ผมก็เลยขึ้นไปพร้อมคนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักกันเลย ก็ขอบคุณความมีน้ำใจของเจ้าของรถด้วยครับ รถติดมาก
ไปถึงสนามหลวง ก็เกือบห้าโมงเย็นแล้ว ปรากฎว่าจำนวนคนเต็มครึ่งสนามหลวงด้านที่ติดกับวัดพระแก้วแล้วครับ นับจากครึ่งตรงกลางไป สนามหลวงมีพื้นที่ 66 ไร่ ครึ่งหนึ่งก็ประมาณ 50,000 ตารางเมตร ดังนั้น ผมจึงประมาณคนได้เกือบแสนคน ผมว่าจะไปร่วมกิจกรรมต้มสมุดบัญชีแบงค์บัวหลวง ที่หน้าเวที ปรากฎว่าเข้าไปไม่ถึง เพราะคนเยอะมาก เลยต้องยอมแพ้ถอยกลับออกมาเดินสำรวจรอบๆ
คนเสื้อแดงที่เห็นมีทั้งคนต่างจังหวัดและคน กทม.ครับ ได้เวลาประมาณ 1 ทุ่มกว่าๆ ฝนก็เทลงมาอย่างรุนแรง ไม่ต่างจากวัดไผ่เขียว แต่พายุไม่แรงเท่า เท่านั้น เต็นท์ต่างๆ เลยไม่ปลิว อาจเป็นเพราะมีตึกสูงบังมากก็ได้
แม้ฝนจะตกอย่างรุนแรง ผมก็ไม่เห็นคนเสื้อแดงกลับ หรือวิ่งหนีฝนกันแต่อย่างใดครับ ทุกคนคงเหมือนผมคือ เตรียมอุปกรณ์กันฝนไปอย่างดีแล้ว ก็เอาร่มมากาง และเดินหลบไปที่เต็นท์ที่อยู่รอบๆ ไม่มีใครบ่นหรือโวยวายอะไรทั้งสิ้น ผมเห็นฝรั่งสองคนท่าทางไม่ใช่นักท่องเที่ยว แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นหน่วยข่าวกรองของบางประเทศมาประเมินสถานการณ์มากกว่า
สภาพของคนเสื้อแดงขณะนี้ ผมว่าอุปสรรคทางธรรมชาติไม่อาจที่จะหยุดยั้งได้แล้วครับ หรือแม้แต่อุปสรรคทางด้าน “ความเป็นสองมาตรฐาน” หรืออำนาจรัฐต่างๆ ก็ไม่อาจหยุดยั้งได้แล้วเช่นกัน มวลชนได้พัฒนาไปไกลมาแล้ว อยู่ที่ว่าแกนนำจะสามารถตามมวลชนได้ทันหรือไม่เท่านั้นเอง แต่ถึงแม้แกนนำทั้งหลายจะตามไม่ทัน สภาพของมวลชนที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่ได้ถูกปลุกจากแกนนำทั้งหลาย มวลชนจะเป็น ผู้บีบแกนนำทั้งหลายให้เดินทางไปสู่จุดที่ต้องการเอง
หากแกนนำยังล้าหลัง ผมก็คิดว่า จะเกิดแกนนำย่อยๆ ขึ้นมานำมวลชนเอง เพราะ สภาพมวลชนที่ตื่นตัวทางการเมืองขึ้นมานี้ คนที่ต้องการไต่บันไดทางการเมืองทั้งหลาย ก็จะต้องเสนอตัวเข้ามานำมวลชน หากแกนนำใหญ่ยังไมอาจนำมวลชนไปสู่เป้าหมายได้ การแย่งการนำ ก็อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ผมกลับก่อนสักประมาณ 3 ทุ่ม เลยไม่ได้ฟังว่าทักษิณโฟนอินเข้ามายังไง แต่สำหรับผม แล้วผมไม่ค่อยมุ่งที่จะไปฟังคำปราศรัยมากนัก เพราะผมรู้อยู่แล้วในประเด็นต่างๆ ที่เขาปราศรัย ผมต้องการไปแสดงพลังเท่านั้นเอง
แต่กลับมาบ้าน คุยกับคุณแม่ปังคุง ที่ฟังถ่ายทอดทางอินเตอร์เน็ตอยู่ เธอบ่นรำคาญ คุณวีระ มุกสิกพงศ์ กับ ท่านนายกฯทักษิณ เพราะมัวพูดเรื่อง “สมานฉันท์” อยู่ได้ สภาพตอนนี้ อำมาตยาธิปไตย คงไม่สมานฉันท์กับคนเสื้อแดงแบบจริงใจแน่นอน
ที่จริงสำหรับผมแล้ว “การสมานฉันท์” ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด เพราะเท่ากับ “เหยียบปัญหาเอาไว้” แก้ปัญหาไม่จบ สังคมไม่ได้พัฒนาไปข้างหน้า
สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือ การแก้ไขสภาพสังคมให้ไปสู่ประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ เช่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การปรับปรุงและยกเครื่องศาลที่มีเป็นสองมาตรฐาน ให้มีความเป็นสากล และเป็นธรรม และจะต้องไม่มีการแทรกแซงจากอำมาตรยาธิปไตย หากไม่ทำสิ่งเหล่านี้ การสมานฉันท์ ก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
ผมคิดว่า “แกนนำตามมวลชนไม่ทันครับ” แต่ไม่มีปัญหาอะไร เพราะหากเขาไม่สามารถตามมวลชนได้ทัน เขาก็จะถูกทิ้ง หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องวิ่งตามขึ้นมาให้ทันเองนั่นแหละครับ
การชุมนุมครั้งนี้ มีความชัดเจนอยู่อย่างหนึ่งคือ แกนนำประกาศยุติยุทธศาสตร์ขับไล่ พล.อ.เปรม แต่จะมุ่งให้มีการยุบสภาแทน แต่ผมคิดว่าแม้จะยุบสภา ปัญหาวิกฤติการณ์การเมืองไทย ก็ไม่จบ จนกว่าจะมีการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของสังคมเสียก่อน คือ ต้องเลิกแทรกแซงมติของมหาชน อำมาตย์จะต้องดึงมือกลับไป
มือที่มองไม่เห็นทั้งหลาย ต้องชักมือกลับไป
แต่ไม่ชักกลับ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพวกเขาเสื่อมมากแล้ว ผมไม่เห็นว่าสามปีที่ผ่านมา พวกเขา (หมายถึงศักดินา) จะมีผลได้อะไร
ระบอบของพวกเขาเสื่อมลงไปมากมาย อย่างที่ผมไม่เคยเห็น เขาได้รัฐบาลที่ง่อนแง่น ระบอบ “เทวดา” ที่คนแทบไม่อยากกราบไหว้เหมือนเดิมแล้ว
สิ่งที่ผมเห็นชัดเจนในสามปีมานี้คือ “ระบอบเทวดา” ไร้เสถียรภาพ และคาดการณ์ได้ว่าจะล่มสลายในเวลาไม่นาน เพราะคนตื่นขึ้นหมดแล้ว
สรุปคือ การชุมนุมวันนี้ คนเสื้อแดงไม่กลัวเทวดา ไม่กลัวฟ้า และไม่กลัวฝน จะตกหนัก มีพายุจนเต็นท์พัง ก็ไม่มีใครหวั่นเกรงแต่อย่างใด
วันนี้ไม่มีใครกลัว หรือแคร์เทวดาอีกแล้ว ต่อให้เรียกลมเรียกฝนมาได้ ก็ไม่กลัว