เสร็จสิ้นศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรายบุคคลของพรรคฝ่ายค้าน แม้ผลโหวตนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย จะได้รับเสียงสนับสนุน “ผ่านฉลุย” ทำให้รัฐบาล “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังคงได้สิทธิบริหารประเทศไปอีกพักใหญ่ แต่จะต้องฝุ่นตลบกับการปรับคณะรัฐมนตรีตามมา โดยในส่วนของ พรรคร่วมรัฐบาล เริ่มจาก “พรรคภูมิใจไทย” ยืนยัน ไม่ขอใช้สิทธิเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี
เช่นเดียวกับ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมชาติพัฒนา และ พรรคขนาดเล็ก 5 เสียง อย่างพรรคกิจสังคม ทั้ง 3 ค่ายพอใจในสิ่งที่ได้รับในวันนี้ โดยเฉพาะ “ผู้มีบารมีเหนือพรรค” ทั้ง นายบรรหาร ศิลปอาชา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ หรือ นายสุวิทย์ คุณกิตติ ที่ควบคุมกิจการได้เบ็ดเสร็จอยู่แล้ว แต่ที่เป็นปัญหา
และน่าจะมีการเปลี่ยนแปลง คือ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ที่แตกแยกเป็น 3-4 กลุ่มก๊กในพรรค และแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจภายในอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้อาจมีบางกลุ่มแตะมือกันเดินเกมยึดคืนโควตาจากอีกกลุ่มมาครอบครอง หรืออาจหลุดจากการร่วมรัฐบาล หลังมีปัญหาการโหวตให้รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยที่ถูกฝ่ายค้านอภิปราย
จนทำให้พรรคภูมิใจไทยยื่นคำขาด ให้นายกรัฐมนตรี และพรรคประชาธิปัตย์ เลือกระหว่างพรรคภูมิใจไทยที่มี 46 เสียงและพรรคเพื่อแผ่นดินที่มี 14 เสียง ภายในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกันก็มองข้ามไม่ได้ สำหรับการปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเบื้องต้นมีสัญญาณมาแล้วนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
จะรื้อหลายจุด โดยเฉพาะหน่วยงานสำคัญๆ โดยก่อนหน้านี้ มีความเห็นเกี่ยวกับการทำงาน ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ล้มเหลวในการควบคุมสื่อ ซึ่งที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า…สื่อสังกัดรัฐไร้ประสิทธิภาพ นอกจากไม่สามารถสร้างความเข้าใจ นำเสนอข้อมูลข่าวสารแข่งขันกับสื่อกลุ่ม นปช.ได้
ยังไม่สามารถควบคุมดูแลสื่อต่างๆ ที่นำเสนอข้อมูลยั่วยุปลุกปั่นทั้งทีวีผ่านดาวเทียม วิทยุชุมชน รวมทั้งการประสานงาน กับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีที ที่มี ร้อยตรีหญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี นั่งเก้าอี้โควตาพรรคเพื่อแผ่นดินอยู่ จนไม่สามารถควบคุมสื่อประเภทออนไลน์ เว็บไซต์
อินเทอร์เน็ตต่าง ๆได้ ทั้งนี้ ผู้ที่จะมาแทนในเก้าอี้นี้มีอยู่ในใจนายอภิสิทธิ์แล้ว และคงผ่านการพิจารณาอย่างถ้วนถี่ เพราะนายกรัฐมนตรีเห็นความสำคัญของรัฐมนตรีที่จะมาดูแลสื่อ ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ที่สำคัญ เข้าใจในการบริหารกิจการงานสื่อ ที่ต้องทำงานได้ทันกับสถานการณ์ที่แหลมคม
ในภาวะบ้านเมืองเกิดความแตกแยกแบ่งฝักฝ่าย นอกจากนี้ รัฐมนตรีใหม่ที่ต้องแลกโควตาภาคเข้ามา ทั้ง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รองหัวหน้าพรรคภาคกลาง และ นายนิพิษฐ์ อินทรสมบัติ ที่อกหักผิดหวังจากการพลาดเก้าอี้ ในคณะรัฐมนตรีครั้งที่แล้ว ต้องรอชี้ขาดว่าจะเข้าแทนที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือ นายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ขณะที่เก้าอี้โควตากรุงเทพมหานคร นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ อดีตโฆษกพรรคที่รับใช้งานส่วนรวมของค่ายพรรคประชาธิปัตย์มานานรอคำสั่งเบียด คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช หลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
ดังนั้น ต้องจับตาการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้อย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะปรับเล็กหรือปรับใหญ่ และแม้การปรับคณะรัฐมนตรีจะไม่มีผลกับอายุรัฐบาลที่เหลือการบริหารประเทศประมาณ 1 ปีก็ตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นการปูทางสำหรับ “การเลือกตั้งครั้งใหม่” ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต!