ในที่สุดรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ได้ฤกษ์ลงตัวซะที หลังจากเอาล่อเอาเถิดกันมาเกือบ 1 เดือน ผมก็ได้แต่เอาใจช่วย อยากให้การเมืองนิ่ง ปัญหาวิกฤติของชาติจะได้คลี่คลายไปได้ ใครจะมาเป็นนายกฯ ใครจะมาเป็นรัฐมนตรี คงไม่ถูกใจกรรมการไปเสียทั้งหมด จะทำอย่างไรได้ เมื่อมีทางเลือกอยู่แค่นี้
ประชาธิปไตยถูกมัดมือชกมาเสียนาน
กลไกก็เลยอาจจะติดๆขัดๆไปบ้างเป็นธรรมดา ถึงรัฐบาลจะประกอบด้วยพรรคร่วมถึง 6 พรรคด้วยกัน ประกอบด้วย พลังประชาชน ชาติไทย เพื่อแผ่นดิน รวมใจไทยชาติพัฒนา มัชฌิมาธิปไตยและประชาราช ยังขาดแค่พรรคประชาธิปัตย์เพียงพรรคเดียวเท่านั้น
แต่ก็เกือบจะเป็นรัฐบาลแห่งชาติ
ด้วยเสียงสนับสนุนจำนวน 315 คน จาก 480 คน ผมเชื่อว่า รัฐบาลชุดนี้จะไปได้สบายๆ ยกเว้นแต่ว่าจะสะดุดขาตัวเองหกล้มเท่านั้น
ภารกิจสำคัญของรัฐบาลชุดใหม่ ถือเป็นภารกิจเร่งด่วนก็คือการสร้างความเชื่อมั่น จากทั้งในและนอกประเทศ เพราะฉะนั้นต้องสร้างความเข้มแข็งและเอกภาพภายในรัฐบาลให้ดี
อีกเรื่องคือปากท้องประชาชน
แม้ปัจจัยรบกวนจากภายนอกจะไม่สงบเสียเลยทีเดียว แต่ก็คงเปิดช่องให้รัฐบาลได้มีโอกาส หายใจได้ระยะหนึ่ง อันที่จริงใครจะมองอย่างไรก็ช่าง แต่ผมกลับมองว่า รัฐบาลและ ฝ่ายค้านเที่ยวนี้ เป็นสูตรผสมที่ลงตัวที่สุด ทั้งในด้านจำนวนเสียง ส.ส.สนับสนุนทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายตรวจสอบ
ความสามารถในด้านการตรวจสอบของพรรคฝ่ายค้านคือ ประชาธิปัตย์ และฝีมือการทำงาน ของพรรค พลังประชาชน ที่ได้รับความไว้วางใจมาตั้งแต่ครั้งเป็นรัฐบาลชุดที่แล้ว
เก่งกันคนละอย่าง
ประกอบกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ก็ไม่ได้สมัครใจจับมือกันเป็นรัฐบาลตั้งแต่แรก แต่อาจจะเพราะความจำเป็นบางอย่างดังนั้น รัฐบาลจะอาศัยเสียงข้างมากทำอะไร ตามอำเภอใจคงไม่ได้
เผลอๆจะมีฝ่ายค้านในรัฐบาลด้วยซ้ำ
บทเรียนที่ผ่านมาสอนอะไรให้นักการเมืองเยอะ อย่างน้อยก็อำนาจจากปลายกระบอกปืน ที่ยังมีบทบาทเป็นกลไกหนึ่งในการถ่วงดุลอำนาจจากภายนอก
ปฏิวัติรัฐประหารไม่มีวันตาย
อยู่ที่จะเปิดเงื่อนไขอย่างไรหรือไม่เท่านั้น เพราะฉะนั้นรัฐบาลชุดนี้จะอยู่สั้นหรืออยู่ยาว ก็อยู่ที่พฤติกรรมของนักการเมืองเอง
ที่สำคัญคืออย่าเพิ่งรีบไปแตะปัญหาการเมือง
ปล่อยให้แผลตกสะเก็ดก่อนจะดีกว่า แก้ปัญหาเศรษฐกิจความเชื่อมั่นให้เรียบร้อยไปก่อนค่อย เอาเรื่องการเมืองมาวางบนโต๊ะ จะแก้รัฐธรรมนูญ จะปลดล็อก ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ปากท้องชาวบ้านใหญ่กว่า.
“หมัดเหล็ก”
คอลัมน์ คาบลูกคาบดอก