สถานการณ์บ้านเมืองวันนี้ คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้เมื่อยตุ้ม ทิฐิในอำนาจแท้ๆ เลยทำให้ประเทศใกล้ล่มจมเข้าไปทุกที ความเป็นประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่ปลายกระบอกปืนหรืออำนาจเร้นลับใดๆทั้งสิ้น แต่อยู่ที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศที่จะตัดสินใจต่างหาก
อำนาจถูกบิดเบือนบ้านเมืองก็ไม่สงบ
รัฐบาลปากกล้าขาสั่น ผู้นำรัฐบาล ต้องหอบผ้าหอบผ่อนเข้าไปนอนในค่ายทหาร บุคคลสำคัญของประเทศต่างพากันเผ่นไปหลบอยู่ต่างประเทศกันหมด เนื่องจากสงครามการเมืองเที่ยวนี้เดิมพันกันสุดตัว
ช่วงสำคัญที่จะเกิดวิกฤติบ้านเมือง อยู่ประมาณต้น มี.ค. ไปจนถึงปลายๆเดือน เม.ย. จะถึงขนาดเลือดนองแผ่นดินหรือบ้านเมืองลุกเป็นไฟ ยังบอกอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
การเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองถ้าเป็นไปตามวิถีของประชาธิปไตยจะเป็นสองช่วงเหตุการณ์ ประชาชนมาชุมนุมกันจำนวนมาก รัฐบาลรับมือไม่ไหวหรือเกิดความรุนแรงขึ้นจนเกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล
จนกระทั่งยุบสภา
แต่กว่าจะถึงจุดนั้น ก็ใช่ว่าจะราบรื่น อุบัติเหตุทางการเมือง เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การที่มีคนมาชุมนุมจำนวนมากมายจะควบคุมกันได้หรือไม่ และจะป้องกันมือที่สามเข้ามาฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ได้อย่างไร ยามบ้านเมืองอ่อนแอเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย
ระวังจะเข้าทางเผด็จการซ่อนรูป
ตั้งข้อสังเกตรัฐบาล ไม่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน เหมือนการชุมนุมของคนเสื้อแดงทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งๆที่การชุมนุมครั้งนี้ จะถือว่าเป็นสงครามครั้งสุดท้ายก็ว่าได้
นอกจากจะขุดกับดักเอาไว้
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเที่ยวนี้ มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ประเด็นอภิปรายรัฐบาล มีถึง 40-50 ประเด็น ล้วนแต่เป็นข้อผิดพลาดของรัฐบาลชุดนี้ตลอดการทำงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
จี้จุดอ่อนไปที่ภาวะผู้นำ
กรณีการ ทุจริตคอรัปชัน แม้ฝ่ายค้านไม่นำเข้าสู่การอภิปรายในสภา ชาวบ้านก็รู้กันอยู่เต็มอกกับพฤติกรรม กู้มาโกง ของรัฐบาลชุดนี้
ประกอบกับความเดือดร้อนชั้นรากหญ้า เกษตรกรชาวไร่ ชาวนา ประกอบกับเศรษฐกิจจะตกต่ำอีกระลอกอันเป็นผลพวงมาจากวิกฤติการเมือง ประกอบกับรัฐบาลหมดเวลาฮันนีมูนพอดี ทุกอย่างลงตัว
บ้านเมืองถึงเวลาเปลี่ยนแปลงพลิกขั้ว.
หมัดเหล็ก