บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คนเสื้อแดงมาชุมนุมล้านคนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

ที่มา thaifreenews

บทความโดย..ลูกชาวนาไทย



ผมเห็นคุณแมวอ้วนอ้วนตั้งประเด็นตามหัวข้อในกระทู้ในเว็บบอร์ดไทยฟรีนิวส์ มีประเด็นที่น่าสนใจ และคาดว่าเป็นที่สนใจของคนเสื้อแดงอยู่มากพอสมควร

เนื้อหาที่คุณแมวอ้วนอ้วนมีดังนี้ครับ

------------

กระทู้นี้เจตนาเพื่อให้พวกเราช่วยกันคิดอย่างสร้างสรรค์นะครับ
เจตนาให้ทุกๆ ท่านได้ใช้ความคิดให้รอบครอบ เพื่อจะได้ประโยชน์สูงสุดในการชุมนุม / หรือไม่ชุมนุม ก็ตาม

ถ้าประชาชนมารวมตัวกันชุมนุมเป็นล้านคน แล้วยังไงต่อครับ จะเกิดอะไรขึ้น
ลองมา ช่วยกันคิดนะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น

1. ชุมนุมโดยสงบ ปราศรัย แฉรัฐบาลไป 3- 5 วัน แต่รัฐบาลหน้าด้านก็ ปล่อยประชาชน นั่งตากแดดตากฝนไป เรื่อยๆ
2. เกิดการจลาจลขึ้น โดยมีผู้จุดฉนวน แล้วป้ายสีว่าเกิดจากเสื้อแดง แล้วรัฐบาลสร้างความชอบธรรมล้อมปราบ

Scenario ใหญ่ๆ ก็คงจะเป็นได้ 2 อย่างนี้ (ใครเห็นว่ามีอย่างอื่นๆ อีก ว่าต่อได้เลยนะครับ)

หากเกิดภาพแบบที่ 1 ชุมนุมโดยสงบ

คนมาชุมนุมกันเป็นล้าน รถติดในกรุงเทพ วินาศ สันตะโร คนกรุงรุมด่า
และ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ขยะ และปฏิกูล (ขี้ เยี่ยว) เต็มถนนไปหมด ภายในวันที่ 2ดังนั้น คงจะอยู่กันต่อลำบาก เต็มที่คงอยู่ได้ไม่เกิน 5 วัน

ซึ่งก็เป็นการดีที่จะไม่ยืดเยื่อ เพราะว่า ขนาด พธม. ชุมนุม 193 วัน รุนแรงสารพัด
ก็ยังไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ แต่ที่มาล้มรัฐบาลจริงๆ นั้นคือ คำตัดสินของศาล

ดังนั้นเราชุมนุมอย่างไร รัฐบาลหน้าด้านมันก็ไม่ยอมลาออกหรอกครับ

หากเกิดภาพแบบที่ 2 เกิดการจลาจลขึ้น

หากมาชุมนุมกันล้านคนจริงๆ (หรือแม้นแต่ 3-4 แสนคนก็พอ) โอกาสเกิดภาพนี้มีสูง

ไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายรัฐบาลมาสร้างแล้วป้ายผุ้ชุมนุม หรือ ฝ่ายผู้ชุมนุมทำเอง ( ไม่ได้มีการนำจากแกนนำ)
ก็จะเกิดภาพความรุนแรง เข้าทางรัฐบาล ที่จะสร้างความชอบธรรมในการล้อมปราบ
เมื่อเกิดการล้อมปราบ ผมเชื่อว่าคราวนี้ผู้ชุมนุม คงไม่ยอมกันง่ายๆ อีกแล้ว

แล้วจะเกิดอะไรขึ้น.....

ก็จะต้องเกิดการปะทะกัน ระหว่าง M16 กับ...อะไรล่ะครับ ประชาชนมีอะไรที่จะไปสู้กับเขา
เกิดการบาดเจ็บล้มตาย (คราวนี้ท่าทางจะมากกว่าคราวที่แล้ว)
สุดท้ายก็จะต้องสลายการชุมนุมไป

แน่นอนครับ พวกเราที่สู้เพื่อประชาธิปไตย นั้นไม่มีวันพ่ายแพ้
ถึงเขาจะสลายการชุมนุมได้เราก็ไม่ได้พ่ายแพ้ เพียงแต่รอวันกลับมากันใหม่เท่านั้นเอง

ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมาชุมนุมนะสิ.....

ไม่ใช่ครับ ผมคิดว่าการมาชุมนุมแสดงพลังนั้นเป็นสิ่งจำเป็น

แต่เราไม่ควรไปเร่ง หรือสร้างเงื่อนตายมัดตัวเอง
ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นล้าน หรือต้องชุมนุมจนกว่าจะชนะ อะไรเช่นนี้

เรามาชุมนุมใหญ่ แสดงพลัง ชุมนุมอาจจะนานสัก 2- 3 วัน ( เพื่อคนที่เขามาจากไกลๆ จะได้ไม่เหนื่อยมากนัก)

แล้วเราก็กลับไปขยายมวลชนตาสว่าง ทำโรงเรียน นปช. ขยายไปอีกเรื่อยๆ
เราก็จะได้มวลชนตาสว่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนวันนั้นมันจะถึงเอง โดยมิได้นัดหมาย

เมื่อถึงวันนั้น คนอาจจะเป็นหลายล้านคนเลยก็ได้

---------------

******

ที่จริงผมคิดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว แต่ไม่อยากที่จะพูดถึงมากนัก ทฤษฎีของผมคือ "ม็อบไม่อาจล้มรัฐบาลได้" ไม่ว่ากรณีใดๆ ยกเว้นแต่จะมีอำนาจอื่น ใช้ตามหลังม็อบมา เช่น รัฐประหาร หรือ "ผู้มีบารมียิ่งใหญ่ยื่นคำขาดให้รัฐบาลออก"

ม็อบเป็นเงื่อนไขที่จำเป็น แต่ไม่ใช่เงื่อนไขที่เพียงพอในการล้มรัฐบาล

นั่นคือทฤษฎีของผม

แต่มันก็คงมี ข้อยกเว้นเช่นกัน เช่น ม็อบหลายล้านคน เกิดจลาจล แล้วแกนนำม็อบประกาศจัดตั้งรัฐบาลประชาชนขึ้น (หากกล้าเสี่ยง) และสามารถดึงทหารบางส่วนมาเข้าข้างรัฐบาลใหม่ (ก็เข้าทฤษฎีว่ามี "อำนาจอื่นประกอบกับม็อบ" ไปอีกที)

แต่ในสงครามประชาชน เราก็ไม่อาจไม่มีม็อบได้ หากเราไม่แสดงพลังมวลชน การสร้างเครือข่ายประชาชน ที่เข็มแข็งก็ไม่อาจเกิดขึ้น หากไม่ "ตั้งเป้าหมายอ้นยิ่งใหญ่และท้าทาย คนก็ไม่ออกมา"

ดังนั้น หากประกาศว่าจะชุมนุม 3-5 วัน คนก็ไม่ออกมา โดยยุทธศาสตร์จึงต้องประกาศ"สงครามใหญ่" เป็นเป้าหมายที่ท้าทาย เพื่อเรียกพลังให้เพียงพอ

อนึ่ง ผมคิดว่าเราไม่ควรวิตกกังวลกับ "ความผิดพลาดมากนัก" เพราะสงคราม ย่อมมีสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นอยู่แล้ว มีสิ่งที่ไม่ต้องการ แต่เกรงว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งในทางทฤษฎีมันเกิดขึ้นแน่นอน เช่น การใส่ร้าย และสร้างสถานการณ์เพื่อให้ม็อบเป็นผู้ร้ายเป็นต้น

ในช่วงนี้ผมได้ศึกษาประเด็นเรื่อง Political Polarization หรือ "การเมืองแบบแบ่งขั้ว" ทีมี เอกสารทางวิชาการของตะวันตกเขียนถึงมากพอสมควร หากเกิด "การแบ่งขั้วทางการเมืองขึ้นแล้ว" ประเด็นต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นคือ การใช้เหตุผลทางการเมืองจะน้อยลง และขั้วตางๆ มักจะไม่ค่อยสนใจ การทำผิดของฝ่ายตน นอกจากนี้ "ขั้วที่เป็นกลาง" (พวกเสื้อขาว)มีแนวโน้มที่จะ "ด้อยอิทธิพลลงและไม่มีอำนาจต่อรอง" รวมทั้ง "สื่อต่างๆ จะมีการบิดเบือนและมีอคติ" แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อขั้วตรงข้าม เพราะ "คนในแต่ละขั้ว จะรับข่าวสารจากขั้วของตนเท่านั้น"

สื่อโดยภาพรวมจะเสื่อมอิทธิพลลงต่อทั้งสองขั้วการเมือง ยกเว้นคนในขั้วเดียวกับสื่อนั้น

นอกจากนี้ "ภาครัฐจะเสื่อมอิทธิพลลงต่อประชาชนทั้งสองขั้ว" บทบาทของ พนักงานของรัฐจะมีผลน้อยต่อประชาชนทั้งสองขั้ว

พลังของแต่ละขั้ว ก็คือเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรของประเทศ ดังนั้น ภาครัฐและสื่อจะเสื่อมอิทธิพลลงต่อประชาชนกว่า 80-90% ของประชากรทั้งประเทศ

คือทั้งสองขั้วไม่มีใครฟังรัฐว่างั้นเถอะ ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ตำรวจ ทหาร จะมีอิทธิพลต่อความคิดของประชาชนทั้งสองขั้วน้อยมาก

ดังนั้น การใส่ร้ายป้ายสี การสร้างสถานการณ์ของฝ่ายต่างๆ จะมีผลให้ ประชาชนที่อยู่ในขั้วต่าง ๆ "แตกตัวออกจากขั้วตน" น้อยมาก

ตัวอย่างชัดเจนคือ "ภาคใต้ที่เลือกขั้ว ปชป. มานาน" แม้ ปชป. จะทำเลวร้ายอย่างไร คนใต้ก็ "แตกตัวไปจาก ปชป." น้อยมาก

ผมคาดว่าคนเสื้อแดงภาคใต้ คือ คนที่เลือก พรรคไทยรักไทยก่อนหน้านี้ (มี 20-30% ซึ่งก็แพ้เลือกตั้งตลอดมา แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีคนใต้นิยม)


ผมจึงไม่ได้กังวลถึงผลร้ายของการชุมนุมใหญ่มากนัก เพราะหากเขาปรับยุทธศาสตร์ในตอนหลัง (คงต้องปรับอยู่แล้ว) คนเสื้อแดง ก็คงเข้าใจ แม้จะไม่เข้าใจ ก็คงมีการ "วิจารณ์กันเอง" เพื่อปรับขบวนใหม่อยู่ดี แต่คนเสื้อแดง ก็ไม่มีทาง "แตกขั้ว" ไปอยู่ฝ่ายตรงข้าม

การกลัวว่า การประกาศว่า "สงครามครั้งสุดท้ายแล้วแตกหัก" หากทำไม่ได้ก็จะเสียหาย

ผมคิดว่า "คงเสียหายบ้าง" แต่คงไม่ใช่ประเด็นเสียหายใหญ่โตมากนัก เพราะคนที่ประกาศคือ "คุณจตุพร" ที่เขาวางบทบาทให้สามารถ "กลับคำประกาศ" ได้อยู่แล้ว นั้นคือ บทบาทของคุณตู่ "เตียวหุยแห่ง นปช." บุคลิกของเขาคือลุย เจ็บกลับมาเขาก็ลุยต่อไปอีก

สงครามคงต้องมีการโจมตี ด้วยสรรพกำลังทั้งหมด "หลายครั้ง" หากตีไม่ได้ ก็ถอนทัพกลับ ก็ไม่เสียหายอะไร (มีเสียหายบ้าง) แต่ก็สามารถ "บ่มกำลัง" และรวบรวมพล โจมตีได้ใหม่ ภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ได้อีก

สงครามครั้งนี้ เป็นสงครามประชาชน ไม่มีใครรู้ล่วงหน้ามากนักว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่หากไม่บุกไปข้างหน้า ผู้คน ทหารหาญฝ่ายเรา ก็จะท้อถอย หมดกำลังใจ ก็ต้อง "ออกรบใหญ่เป็นระยะๆ"

ก็ต้องทำใจกับ "ความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น" ไม่มีสงครามครั้งใดที่ไม่เสียหาย หากกลัวความเสียหาย เสียชีวิต แล้วเลือกที่จะไม่ "ออกรบ" ชัยชนะก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้

ให้ประชาชน เขาได้รบเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจบ้าง

หากเกิดความผิดพลาด ประชาชนและแกนนำ ก็จะได้ "เรียนรู้และนำเอามาปรับใช้" ในสงครามครั้งต่อไป

ถึงอย่างไร สงครามครั้งนี้ คนเสื้อแดงก็ไม่แพ้ แต่ "อาจฟลุ๊ค" ชนะได้กับ "การบุกครั้งนี้" แม้จะมีความหวัง 30% ก็คงต้องบุกสักครั้ง

อยากเพิ่มเติมอีกนิดครับว่า ชัยชนะทางการเมืองครั้งนี้ของคนเสื้อแดง ไม่ได้อยูที่การยึดอำนาจรัฐได้ หากยึดอำนาจรัฐได้ แต่ “ความคิดของประชาชน” ยังเป็นระบบเก่า ยังซาบซึ้งอยู่ ชัยชนะที่ได้มา ก็เป็นชัยชนะเพียงชั่วคราวและจอมปลอม ไม่มั่นคงอะไรครับ ก็เหมือนๆ กับ 70 ปีที่ผ่านมา

ชัยชนะที่ถาวรคือ “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง จิตสำนึกและการรับรู้ในใจของประชาชน” หากมันเปลี่ยนไป “โครงสร้างทางการเมือง” ในที่สุดก็จะเปลี่ยนตามไป

โครงสร้างสังคม การเมืองในสังคมใด ขึ้นอยู่กับ “โปรแกรมในจิตใจของประชาชน” ในสังคมนั้น หากยังเป็นแบบ “เจ้า-ไพร่-มูลนาย” โครงสร้างก็จะเหมือนกับสังคมไทยเวลานี้

หากประชาชนทั้งประเทศ เปลี่ยนโปรแกรมใหม่ ไม่ยอมรับใน “ระบบการคิดแบบเดิม” สุดท้าย สังคมก็จะปรับตัวตามไปในที่สุด

ผมว่า “วันนี้โปรแกรมในใจของประชาชนเปลี่ยนไปแทบหมดแล้ว รอเวลาปรับเปลี่ยน ซากเดนของโครงสร้างเก่าที่เหลืออยู่เท่านั้น

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker