เพราะหากใช้ทฤษฏีตรวจสอบสไตล์ คตส.แล้ว คงต้องตรวจสอบนักการเมืองทั้งหมดกันให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งบุคคลในกลุ่มอมาตยาธิปไตยที่กุมกลไกอำนาจของการเมืองอยู่ลับๆ แม้แต่กระทั่งกรณีที่ถูกสังคมตั้งคำถามขึ้นมากับบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี แล้วมีทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นกรณีการบุกรุกป่าเขายายเที่ยง กรณีสนามกอล์ฟเขาสอยดาว หรือแม้กระทั่งกรณีการรับเงินเดือน รับค่าที่ปรึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่ง ณ วันนี้สังคมเกิดคำถามคาใจขึ้นมาอย่างมาก แม้ว่าจะเหลือเวลาจากวันนี้ ไปอีกเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น ก็จะถึงวันอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายก
รัฐมนตรี และครอบครัว แล้วขั้วอำนาจกลุ่มอำมาตยาธิปไตย และนายทหารใหญ่สาย คมช. รวมทั้งขั้วการเมืองปัจจุบัน ยังคงออกอาการให้เกิดภาพที่น่าหวั่นวิตกไม่หยุดหย่อนถึงขนาดมีการฝึกซ้อมปราบปรามเป็นเหมือนการตัดไม้ข่มนามกันล่วงหน้าเลยทีเดียวแต่ที่ออกอาการมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นบุคคลในกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ หลายๆ คน ที่ทั้งคาดการณ์ ทั้งพยายามดักทางเพื่อหวังผล ใช้แม้แต่กระทั่งข่าวลือต่างๆ ก็ยังเอามาพูดหน้าตาเฉยไม่น่าเชื่อว่าวุฒิภาวะของหลายๆ
คนจะไม่รู้จักแยกแยะ เพราะอีกหน่อยหากอ้าง “ข่าวลือ”แล้วเอามาประโคมไว้ก่อน เอามาขยายความไว้ก่อน... สุดท้ายก็แค่ขี้ปากข่าวลือ บ้านเมืองจะวุ่นวายกันขนาดไหนพอถึงเวลา คนพูดก็แค่บอกว่า ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เพราะบอกแล้วว่า เป็นข่าวลือที่บังเอิญได้ยินมา เลยเอามาลือต่อเป็นความผิดของนักข่าว ความผิดของสื่อมวลชนเอง ที่ดันไปทนนั่งฟังคนแถลงเรื่องข่าวลือเอง... ช่วยไม่ได้ก็เพราะแบบนี้แหละ ทั้งๆ ที่บรรดาแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง จะยืนยันว่า เป็น
การต่อสู้เพื่อทวงความเป็นธรรมและระบบยุติธรรมที่แท้จริงตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะเป็นการชุมนุมโดยสงบเท่านั้น หรือแม้แต่การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยืนยันเช่นกันแปลว่าทางฝ่ายกลุ่มคนเสื้อแดงยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกในเรื่องของการชุมนุมโดยสงบแต่ฝ่ายอำนาจปัจจุบัน ก็ยืนยันเขย่าขวัญสร้างภาพให้น่าสะพรึงกลัวไม่หยุดหย่อนจนวันนี้ต้องยอมรับว่า คำถามที่ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์???” ดังไปทั่วประเทศ และทั่วโลกแล้วอาการสนุกปาก
โดยไม่ได้คำนึงถึงภาพลักษณ์ของประเทศชาติเหล่านี้ ไม่รู้ว่ากลุ่มอำมาตยาธิปไตย และ คมช. รวมทั้งขั้วการเมืองต่างๆ จะรู้สำนึกกันบ้างหรือไม่ ว่ากำลังทำร้ายประเทศปากก็อ้างว่ารักชาติรักสถาบัน แต่ปากเดียวกันก็พูดเขย่าสถานการณ์ ยั่วยุไม่เลิกราอย่างที่เห็นแม้แต่สถาบันศาล แม้แต่องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ยังไม่พ้นมรสุมลมปากยังโชคดี ที่ศาลให้ความเมตตาและใจกว้างเป็นอย่างมากไม่เพียงไม่ถือสาในเรื่อง
การเอาข่าวลือมาแถลงครึกโครม เพียงแค่ให้โฆษกออกมาชี้แจงว่าเป็นเรื่องไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใดแต่ยังเปิดโอกาสให้วิพากษ์วิจารณ์กันได้ตามสมควรด้วยปัญหาก็คือ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ไม่น่าจะเป็นวันอันตราย อีกทั้งคณะศาลก็ยืนยันแล้วว่าไม่ใช่คู่กรณี จึงไม่มีอะไรน่าวิตก คำถามจึงต้องวกกลับมาว่าแล้วกลุ่มขั้วอำนาจการเมืองและอำมาตยาธิปไตย กลัวอะไรหนักหนาจึงแสดงอาการเหมือนประหวั่นว่า จะเกิดการตรวจสอบย้อนเกล็ดกลับมาบ้างเพราะหลาย
เรื่องที่ถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่อง 2 มาตรฐาน วันนี้ยังไม่สามารถชี้แจงหรือแก้ต่างได้เลย มีแต่การอมพะนำนิ่งเงียบ ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อยๆ ดึงเกมซื้อเวลาหมกข้อเท็จจริงไปเรื่อยๆขืนปล่อยให้มีการตรวจสอบก็คงพังเท่านั้นเพราะอย่างกรณีคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ซึ่งทาง คตส. กล่าวหาว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงขั้นตั้งทฤษฎีวัวทฤษฎีควายขึ้นมา เพื่อหวังโน้มน้าวให้เห็นว่า สมควรยึดคำถามจึงเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนว่า
เข้าข่ายกฎหมายหรือไม่ และทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองจริงๆ หรือ???ที่สำคัญ คตส. ยืนยันให้อัยการยื่นฟ้องว่าเป็นคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองล่ะ ไม่ว่าจะเป็นนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ซึ่งตามกฎหมายถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว และไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้นเช่นเดียวกับนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ และไม่เคย
ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ เลย... ทำไม คตส. จึงกวาดดะรวบไปหมดแม้แต่กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ เองก็เช่นกัน หากบอกว่า 76,000 ล้านบาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการดำรงตำแหน่งทางการเมือง แน่นอนว่าคงเถียงกันไม่จบ และก็เป็นเหตุให้เกิดการต่อสู้ยืดยาวมานานกว่า 3 ปี หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้วมีการใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญตั้ง คตส. ขึ้นมาเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิง พจมาน ก็ยืนยันว่ารวยมา
ก่อนทำงานการเมืองแล้ว ไม่ใช่ว่ามาทำงานการเมืองแล้วรวยเหมือนกับใครบางคนที่เห็นๆ กันอยู่!!!บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ นั้นตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2526 แล้ว และตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2537 ก็ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินเอาไว้ว่า มีมูลค่ารวมของทรัพย์สินส่วนที่เป็นหุ้นในขณะนั้นคือ 51,481 ล้านบาท 50,000 กว่าล้านบาทก่อนเล่นการเมือง และก่อนที่บริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์จะเป็นชื่อมาเป็นชินคอร์
ปอเรชั่นหรือที่เรียกกันว่าชินคอร์ปด้วยซ้ำ ดัชนีหุ้นไทยในวันที่ 7 กันยายน 2537 อยู่ที่ 1,532 จุด หุ้นชินคอร์ปมีราคาหุ้นละ 79.60 บาท จำนวนหุ้นชินคอร์ปที่พ.ต.ท.ทักษิณมีอยู่ 148,774,012 หุ้น จึงเท่ากับมีมูลค่า 118,424 ล้านบาท แต่เมื่อวิกฤติปี 40 ดัชนีหุ้นไทยก็ไหลรูดลงอย่างหนักและยาวนาน จนในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีวันแรก ดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 324 จุด ราคาหุ้นชินคอร์ปลงมาอยู่ที่ 21 บาท ทำให้มูลค่าเหลือแค่ 31,242
ล้านบาท นั่นคือภาวะปกติของตลาดหุ้นที่มีขึ้นมีลงเมื่อตลาดหุ้นไทยวิกฤติ หุ้นทั่วทั้งตลาดก็ตกลงมาทั้งสิ้นรวมทั้งหุ้นชินคอร์ปด้วยเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี และได้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจนเกิดความเชื่อมั่น ตลาดหุ้นไทยกระเตื้องขึ้นโงหัวขึ้นมาได้ โดยในวันที่ 23 มกราคม 2549 ซึ่งเป็นวันที่มีการขายหุ้นชินของครอบครัวชินวัตรให้กับเทมาเสก เพื่อจะได้เป็นอิสระในการทำงานทางการเมืองนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 750 จุด ทำให้มูลค่าหุ้นชินคอร์
ปของครอบครัวชินวัตรขยับขึ้นมาเป็น 73,271 ล้านบาท ดัชนีจาก 324 จุดขึ้นมาเป็น 750 จุด เท่ากับเพิ่มขึ้นกว่า 130% ที่มูลค่าหุ้นชินคอร์ปเพิ่มขึ้นมา 71,000 ล้านจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะหุ้นบูลชิพในตลาดหุ้นจำนวนมาก ราคาเพิ่มขึ้นไปเกือบ 200% ก็มี ฉะนั้นความร่ำรวยจากมูลค่าหุ้นของครอบครัวชินวัตรในสายตาของคนที่เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น ในสายตาของต่างประเทศ จึงถือเป็นเรื่องปกติตามการขยายตัวของตลาดหลักทรัพย์ แต่ คตส.กลับ
เห็นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ หรือกลับเห็นเป็นสิ่งผิดปกติ ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะมีความไม่รู้เรื่องของตลาดหุ้น หรือเกิดขึ้นเพราะมีธงจาก คมช. ซึ่งตั้งกลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาเพราะหากใช้ทฤษฏีตรวจสอบสไตล์ คตส.แล้ว คงต้องตรวจสอบนักการเมืองทั้งหมดกันให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งบุคคลในกลุ่มอมาตยาธิปไตยที่กุมกลไกอำนาจของการเมืองอยู่ลับๆ แม้แต่กระทั่งกรณีที่ถูกสังคมตั้งคำถามขึ้นมากับบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี แล้วมีทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็น
กรณีการบุกรุกป่าเขายายเที่ยง กรณีสนามกอล์ฟเขาสอยดาว หรือแม้กระทั่งกรณีการรับเงินเดือน รับค่าที่ปรึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่ง ณ วันนี้สังคมเกิดคำถามคาใจขึ้นมาอย่างมาก เพราะแม้ว่าจะไม่มีกฎหมายหรือข้อห้ามใดๆ ว่า บุคคลที่เป็นองคมนตรีจะคบหา หรือสนิทสนมกับนักธุรกิจหรือพ่อค้าวานิชต่างๆ รวมทั้งไม่ได้มีการห้ามไม่ให้เป็นที่ปรึกษากับบริษัทธุรกิจหรือสถาบันการเงินแต่อย่างใดทั้งสิ้น แปลง่ายๆ ว่าถึงแม้จะเป็นองคมนตรีหากไม่คิดอะไร ก็สามารถที่
จะรับเป็นที่ปรึกษาให้กับภาคธุรกิจได้ รวมทั้งรับค่าที่ปรึกษาในรูปแบบต่างๆ ได้ แต่ก็เช่นเดียวกันบรรดารายได้ต่างๆ นั้น ในทางกฎหมายกรมสรรพากรต้องถือว่าเป็นรายได้บุคคลธรรมดา ซึ่งคนไทยทุกคนหากมีรายได้จะต้องเสียภาษีไม่เว้นแม้แต่องคมนตรี เพราะไม่มีกฎหมายสรรพากร หรือกฎหมายข้อใดที่ยกเว้นว่าองคมนตรีไม่ต้องจ่ายภาษี ประเด็นเหล่านี้แหละที่ก่อให้เกิดข้อครหาตามมามากมายว่า เงินรายได้ปีละหลายสิบล้านบาทที่เป็นค่าที่ปรึกษา ซึ่งมีคนบางคนใน
กลุ่มอมาตยาธิปไตยหรือมีองคมนตรีบางคนที่น่าจะได้รับค่าที่ปรึกษา...ได้มีการเสียภาษีรายได้กันบ้างหรือไม่???ซึ่งแน่นอนว่าองคมนตรีส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับและยกย่องจากสังคมมิได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันกับเงินรายได้และค่าที่ปรึกษาใดๆ เลย รวมทั้งไม่ได้มีการยุ่งเกี่ยวกับการบุกรุกพื้นที่ป่า กับการมีทรัพย์สินอันไม่เป็นที่เปิดเผย ย่อมไม่กระทบกระเทือนใดๆคำถามจึงมีอยู่ว่าสมควรที่จะต้องมีระบบการตรวจสอบทรัพย์สินอย่างทั่วถึง โดยไม่มีข้อยก
เว้นในสังคมไทยได้แล้วหรือยังโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคนที่สังคมรับรู้ว่าไม่เคยมีอาชีพอื่นใดเลย ไม่เคยทำธุรกิจใดๆ เลยนอกจากรับราชการมาชั่วชีวิต แต่กับแจ้งว่ามีทรัพย์สินกว่า 100 ล้านบาท ถ้าต้องการให้สังคมยอมรับว่าไม่มี 2 มาตรฐาน ไม่มีการอยู่เหนือกฎหมาย บรรดาองค์กรอิสระและกลไกต่างๆ ในสังคมจะต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สินของบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายอย่างแท้จริงกันเสียที