วันนี้ (23 ก.พ.) ที่โรงแรมเรดิสัน นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักในการพิจารณาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ที่ต้องให้ความเห็นในเรื่องนี้เพราะเห็นว่ามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในกรณีนี้ และรู้สึกว่าเหมือนกับมีการรุมรังแกกันอยู่ฝ่ายเดียวมาตลอด รวมทั้งเป็นห่วงว่าถ้าการตัดสินนี้ออกมาไม่ยุติธรรมขัดกับหลักนิติธรรม จะกระทบต่อความเชื่อถือต่อระบบยุติธรรมของประเทศอย่างรุนแรง ทั้งจากสังคมไทย และจากประชาคมโลก ชนิดที่ยากจะกอบกู้กลับมาได้ และอาจจะกลายเป็นต้นเหตุ และพื้นฐานสำคัญของความแตกแยกในสังคมที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเดิม ชนิดที่ยากแก่การเยียวยา เนื่องจากผู้คนจำนวนมากไม่อาจจะพึ่งระบบและกฎหมาย แต่หาทางออกโดยวิธีอื่น
“ที่แสดงความเป็นห่วงอย่างนี้มีเหตุผลข้อเท็จจริงรองรับตลอด เพราะได้มีการชี้นำสังคม กดดันศาล แม้กระทั่งหมิ่นศาลอย่างชัดเจน เพื่อให้มีผลต่อการตัดสินคดีและทำลายล้างคู่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำโดยรัฐบาล คนสำคัญคือรัฐบาล สื่อของรัฐ โดยสมคบร่วมมือกับอดีต คตส.บางคน และพันธมิตรฯ รัฐบาลได้พยายามโยงทุกเรื่องที่จะโยงได้เข้ากับคดียึดทรัพย์ ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริงรัฐบาลยังได้พยายามสร้างความเกลียดชัง ให้เกิดขึ้นกับผู้ที่ตกเป็นจำเลย และผู้สนับสนุน โดยการกล่าวหาที่เป็นเท็จอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นรัฐบาลยังไม่วางตัวเป็นกลาง แสดงความเห็นในทางให้ร้าย และใช้สื่อของรัฐในการให้ข้อมูลด้านเดียวทุกวัน โดยไม่เปิดให้อีกฝ่ายหนึ่งให้ข้อมูล ทั้งๆ ที่เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล” นายจาตุรนต์กล่าว
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ตามหลักแล้วที่ถูกต้องแล้ว รัฐบาลและสื่อของรัฐจะต้องเป็นกลาง แต่ไม่ได้แสดงความเป็นกลางเลย อย่างต่อเนื่องทุกวันทุกคืน ส่วน คตส.ก็กระทำผิดประเพณีปฏิบัติ ผิดจรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน หรืออดีตพนักงานสอบสวน แสดงความเห็นในทางให้ร้ายจำเลย ทั้งๆ ที่เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ใช้ความเห็นแบบไม่ได้อิงหลักกฎหมายอย่างที่บอกว่า “วัวกินหญ้า” เป็นการพูดแบบไม่สอดคล้องหลักนิติธรรมเลย เหมือนอย่างที่พูดไปบ้างแล้วว่า เหมือนกับ “คนกินหญ้า” เสียมากกว่า แต่ว่าการที่ยังพูดอย่างต่อเนื่อง ใช้สื่อของรัฐในการให้ร้ายจำเลยอย่างต่อเนื่องก็เปรียบเหมือนกับว่าประชาชนคนไทยทั้งประเทศกินหญ้ากันไปหมดแล้ว นอกจากนั้นในส่วนของพันธมิตรฯ ล่าสุด นอกจากพยายามให้ร้ายชี้นำกดดันศาล
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ล่าสุดการพูดของพันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่ที่บอกว่ามีการใช้เงิน 5 พันล้านมาติดสินบนศาล และยังได้พูดเลวร้ายกว่านั้นมี 4 คนรับไปแล้ว เหลืออยู่คนเดียว การพูดว่า 4 คนรับไปแล้ว หรือติดสินบน 5 พันล้าน มี 4 คนรับไปแล้ว ก็แสดงว่าเป็นการพูดว่ามีผู้พิพากษาอย่างน้อย 4 คนรับไปแล้ว อันนี้เป็นการพูดลักษณะหมิ่นศาลอย่างชัดเจน น่าแปลกว่าการพูดเหล่านี้ไม่มีการดำเนินคดีใดๆ ทั้งๆ ที่เป็นหมิ่นศาลอย่างชัดเจน ก็เท่ากับว่าผู้เกี่ยวข้องต้องการให้มีการพูดแบบนี้เพื่อกดดันศาล โดยทำให้สังคมคิดว่าถ้าใครไม่วินิจฉัยยึดทรัพย์เท่ากับรับสินบน ถ้าใครวินิจฉัยยึดทรัพย์ก็ไม่รับสินบน ขณะนี้การพิจารณาคดีนี้จึงเป็นการพิจารณาคดีที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ของการพิจารณาคดีทั้งหลายในประเทศไทย หรืออาจจะในโลกด้วย
“รัฐบาลสร้างข่าวว่าจะเกิดความวุ่นวายเพื่อล้มคดี หรือเพื่อกดดันศาล ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงมาตลอด แต่ในความเป็นจริงกลับปรากฏว่า ขณะนี้ล้อมๆ ศาลมีเครื่องขยายเสียงหลายสิบล้านเครื่องทั่วประเทศ คือทีวีทุกด้าน โฆษณาไปในทางเดียว คือโฆษณาว่าทรัพย์สินนี้ไม่ชอบต้องยึดเท่านั้น และเมื่อยึดแล้วจะเกิดความวุ่นวายต่างๆ ตามมา เป็นการโฆษณาเพื่อที่จะกดดันศาล ชี้นำสังคม และทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง ผ่านเครื่องขยายนับสิบล้านเครื่องรอบศาล ผมจึงได้บอกว่า ได้เกิดความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นแล้วในการพิจารณาคดีนี้ เพราะฉะนั้นก็เหลือแต่การตัดสิน ซึ่งผมคิดว่า การตัดสินเป็นเรื่องสำคัญ ขณะนี้ จะยึดทรัพย์อะไรหรือไม่ จะเกิดอะไรกับคุณทักษิณและครอบครัว หรือคุณทักษิณจะทำอะไรต่อไป ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุดในสังคม แต่ประเด็นสำคัญที่สุดในสังคมคือ การตัดสินจะเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือขัดต่อหลักนิติธรรม จะเกิดอะไรขึ้นกับระบบยุติธรรมและต่อสังคมไทย หลังการตัดสินคดีนี้”
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า เรื่องการทำลายสถานที่ ใช้ความรุนแรงในวันตัดสิน ตนว่าไม่น่าเป็นห่วง ถ้ารัฐบาลป้องกันให้ดี และอย่าสร้างสถานการณ์ก็คงไม่มีอะไรมาก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือผลตัดสินจะออกมาอย่างไร ถ้าขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่ยุติธรรม จะเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิดกัน คือจะกระทบต่อความเชื่อถือ ความยุติธรรมของประเทศอย่างรุนแรง ทั้งจากสังคมไทยและประชาคมโลกชนิดที่ยากที่จะกอบกู้กลับมาได้ จะเป็นต้นเหตุสำคัญของความแตกแยกในสังคม ที่หนักหนาสาหัสที่ยากต่อการเยียวยา เนื่องจากผู้คนจำนวนมากอาจไม่หวังพึ่งระบบ และกฎหมาย แต่จะหาทางออกวิธีอื่น จึงอยากจะเรียกร้องนอกจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย โดยเฉพาะพวกที่กดดันศาล สร้างสถานการณ์ สร้างความเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม หรือคู่ต่อสู้ทางการเมือง หยุดการกระทำนั้นเสีย โดยเฉพาะรัฐบาล คตส. และพันธมิตรฯ กับพรรคการเมืองใหม่ และอยากเรียกร้องให้สังคมหาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการพิจารณาและการตัดสินคดีนี้อย่างจริงจัง รวมทั้งหาโอกาสที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสมในโอกาสต่อไป โดยเฉพาะถ้าเห็นว่า มีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ก็ต้องยืนยันว่าประชาชนมีสิทธิที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินก็ได้
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ถ้าหากเห็นว่าไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น สิ่งที่ต้องทำคือต้องใช้สติปัญญา ใช้ความรู้ เหตุผล แสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสมเพื่อหาทางแก้ไขปรับปรุงระบบยุติธรรมของประเทศ เพื่อหาทางออกให้กับสังคมแบบสันติวิธี พยายามใช้ความอดทนอดกลั้น ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความไม่ยุติธรรม ควรใช้ความอดทน อดกลั้นและใช้สติปัญญา ใช้เหตุผลในการปรับปรุงระบบยุติธรรมในประเทศนี้ แทนที่จะไปแสดงออกด้วยการใช้ความรุนแรงเล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ตาม ซึ่งจะเป็นเหยื่อของรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลจะฉวยโอกาสขยายความให้ใหญ่มากขึ้น ทำให้เห็นว่า เป็นเรื่องของคนเลวร้าย เป็นเรื่องของคนไม่ยอมรับกติกาใดๆ และก็จะขยายความ จนคนส่วนใหญ่ลืมประเด็นการตัดสินว่ายุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม ก็อยากเรียกร้องต่อสังคม และเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของสังคมไทย และเป็นหัวเหลียวหัวต่อของระบบยุติธรรมของไทย ถ้าไม่สนใจกันอย่างจริงจัง ผลเสียจะตามมาอย่างมาก
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าจะใช้ช่องทางของศาลโลกในการดำเนินการหากไม่ได้รับความยุติธรรมในคดียึดทรัพย์ นายจาตุรนต์กล่าวว่า คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะใช้วิธีอะไรต่อไป ไม่ได้ความสำคัญ หรือสนใจอะไรเลย แต่กำลังสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับระบบความยุติธรรมของประเทศ และคนส่วนใหญ่จะทำกันอย่างไรต่อไป รัฐบาลเมื่อตัดสินออกมาแล้ว รัฐบาลอาจจะโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์ในทางชื่นชมสดุดี ถ้าเขาเห็นว่าตรงกับใจเขา ต้องถามทางศาลว่าทำได้หรือเปล่า และถ้าคนไม่เห็นด้วย จะแสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสมบ้าง ถามว่าทำได้หรือเปล่า ภาพเหตุการณ์อย่างนั้น ภาพเหตุการณ์ที่รัฐบาลจะโหมประโคมข่าวสดุดีชื่นชมกับคำตัดสินไปในทางเดียว และไม่ออกข่าวอีกทางหนึ่งเลย ในขณะที่จำเลยเขาอาจจะอุทธรณ์ต่อมา เท่ากับเป็นการกดดันศาลซ้ำเติมอีก และจะทำให้เกิดความอัดอั้นตันใจให้กับคนที่ต้องการจะแสดงความคิดเห็นบ้าง ไม่มีโอกาสให้เขาแสดงความคิด มันก็จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ความคิดเห็นที่รุนแรงขึ้น ไม่สนใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเอายังไงต่อไป แต่สนใจว่า สังคมไทยจะเอายังไงต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังวันที่ 26 ก.พ.เสื้อแดงจะชุมนุมมองว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ นายจาตุรนต์กล่าวว่า หลังวันที่ 26 กุมภาฯ ถ้าให้แนะนำประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน ไม่ว่าจะฝ่ายไหน ไม่ว่าคำตัดสินจะออกมาอย่างไร ตนคิดว่า ยังไม่ควรมีการชุมนุมหรือเคลื่อนไหวเร็วไปนัก เพราะการชุมนุมนั้นจะมีจุดอ่อนอย่างสำคัญก็อาจจะมีคนที่โกรธแค้นอัดอั้นตันใจ และควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ จนอาจจะขว้างโน่นปานี่ เกิดเป็นความรุนแรงขึ้น ความรุนแรงนั้นอาจจะบานปลาย ถูกสร้างสถานการณ์ทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น นั้นจะเป็นประโยชน์กับรัฐบาลปัจจุบันนี้อย่างมาก เพราะเขาได้เตรียมแผนไว้หมดแล้วที่จะขยายความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 26 ก.พ.และจะทำให้เกิดเป็นผลเสียต่อการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเพื่อความเป็นธรรมต่อไป
นายจาตุรนต์กล่าวว่า เพราะฉะนั้นตนยังคิดว่าควรจะมาตั้งหลักกันถ้าฝ่ายที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ฝ่ายที่จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในประเทศนี้ ควรจะใช้เวลาสักระยะหนึ่งทำความเข้าใจในเรื่องนี้ว่าเกิดความยุติธรรมขึ้นหรือไม่ มีเหตุมีผลอย่างไร และคิดอย่างไรก็ชี้แจงต่อประชาชนโดยสันติ โดยยังไม่เคลื่อนไหวชุมนุมอะไรมาก เมื่อตั้งหลักได้ดี เกิดความเข้าใจอย่างดีแล้วสังคมมีความเข้าใจ สังคมเห็นใจ เห็นปัญหาความไม่ยุติธรรม การเคลื่อนไหวที่จะมีต่อไปควรเป็นการเคลื่อนไหวที่ใช้สันติวิธี มุ่งไปที่การทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยและเกิดความยุติธรรม แทนที่จะเป็นเรื่องบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ตนยังอยากเห็นการทิ้งช่วงระยะหนึ่ง ก็จะหาทางเสนอต่อผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเสื้อแดงด้วย
เมื่อถามว่าหลังการตัดสินวันที่ 26 ก.พ.แล้ว มองว่าการเมืองและเศรษฐกิจของไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป นายจาตุรนต์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคำตัดสินและปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ ที่จะมีต่อคำตัดสิน ขณะนี้เป็นไปได้ทั้งสงบเรียบร้อยราบรื่น และเป็นไปได้ทั้งเกิดความไม่พอใจ เกิดความไม่เชื่อถือต่อระบบยุติธรรมของประเทศ คนไม่มาลงทุน เกิดความขัดแย้งรุนแรงต่อไปในสังคม เป็นไปได้ทั้งนั้น ฉะนั้นจึงขึ้นกับคำตัดสิน และปฏิกิริยาหลังการตัดสิน โดยเฉพาะบทบาทของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลซ้ำเติมฝ่ายเดิมสร้างสถานการณ์เพิ่มเติมเพื่อทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง เรื่องถึงไม่จบ
นายจาตุรนต์ได้แถลงอีกครั้งโดยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะถูกตัดสินยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน เนื่องจากที่ผ่านมาทั้งบุคคลที่อยู่ในรัฐบาลกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ได้ออกมากระทำในลักษณะกดดันศาลและชี้นำสังคมว่า จะเกิดความรุนแรง อีกทั้ง รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังรับรององค์กรอิสระที่ถูกตั้งขึ้นจากคณะรัฐประหาร และยอมรับการรัฐประหารด้วย
นายจาตุรนต์กล่าวอีกว่า ตนขอเรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรี รัฐบาล ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ประชาชน ได้มีส่วนร่วมในประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ขณะที่กลุ่มต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเองก็ต้องยึดมั่นต่อสู้ด้วยสันติวิธี อย่างไรก็ตาม การออกมาเรียกร้องครั้งนี้ไม่ได้หวังผลทางคดีและไม่ได้กดดันศาลแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการให้สังคมกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
“ที่แสดงความเป็นห่วงอย่างนี้มีเหตุผลข้อเท็จจริงรองรับตลอด เพราะได้มีการชี้นำสังคม กดดันศาล แม้กระทั่งหมิ่นศาลอย่างชัดเจน เพื่อให้มีผลต่อการตัดสินคดีและทำลายล้างคู่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำโดยรัฐบาล คนสำคัญคือรัฐบาล สื่อของรัฐ โดยสมคบร่วมมือกับอดีต คตส.บางคน และพันธมิตรฯ รัฐบาลได้พยายามโยงทุกเรื่องที่จะโยงได้เข้ากับคดียึดทรัพย์ ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริงรัฐบาลยังได้พยายามสร้างความเกลียดชัง ให้เกิดขึ้นกับผู้ที่ตกเป็นจำเลย และผู้สนับสนุน โดยการกล่าวหาที่เป็นเท็จอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นรัฐบาลยังไม่วางตัวเป็นกลาง แสดงความเห็นในทางให้ร้าย และใช้สื่อของรัฐในการให้ข้อมูลด้านเดียวทุกวัน โดยไม่เปิดให้อีกฝ่ายหนึ่งให้ข้อมูล ทั้งๆ ที่เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล” นายจาตุรนต์กล่าว
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ตามหลักแล้วที่ถูกต้องแล้ว รัฐบาลและสื่อของรัฐจะต้องเป็นกลาง แต่ไม่ได้แสดงความเป็นกลางเลย อย่างต่อเนื่องทุกวันทุกคืน ส่วน คตส.ก็กระทำผิดประเพณีปฏิบัติ ผิดจรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน หรืออดีตพนักงานสอบสวน แสดงความเห็นในทางให้ร้ายจำเลย ทั้งๆ ที่เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ใช้ความเห็นแบบไม่ได้อิงหลักกฎหมายอย่างที่บอกว่า “วัวกินหญ้า” เป็นการพูดแบบไม่สอดคล้องหลักนิติธรรมเลย เหมือนอย่างที่พูดไปบ้างแล้วว่า เหมือนกับ “คนกินหญ้า” เสียมากกว่า แต่ว่าการที่ยังพูดอย่างต่อเนื่อง ใช้สื่อของรัฐในการให้ร้ายจำเลยอย่างต่อเนื่องก็เปรียบเหมือนกับว่าประชาชนคนไทยทั้งประเทศกินหญ้ากันไปหมดแล้ว นอกจากนั้นในส่วนของพันธมิตรฯ ล่าสุด นอกจากพยายามให้ร้ายชี้นำกดดันศาล
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ล่าสุดการพูดของพันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่ที่บอกว่ามีการใช้เงิน 5 พันล้านมาติดสินบนศาล และยังได้พูดเลวร้ายกว่านั้นมี 4 คนรับไปแล้ว เหลืออยู่คนเดียว การพูดว่า 4 คนรับไปแล้ว หรือติดสินบน 5 พันล้าน มี 4 คนรับไปแล้ว ก็แสดงว่าเป็นการพูดว่ามีผู้พิพากษาอย่างน้อย 4 คนรับไปแล้ว อันนี้เป็นการพูดลักษณะหมิ่นศาลอย่างชัดเจน น่าแปลกว่าการพูดเหล่านี้ไม่มีการดำเนินคดีใดๆ ทั้งๆ ที่เป็นหมิ่นศาลอย่างชัดเจน ก็เท่ากับว่าผู้เกี่ยวข้องต้องการให้มีการพูดแบบนี้เพื่อกดดันศาล โดยทำให้สังคมคิดว่าถ้าใครไม่วินิจฉัยยึดทรัพย์เท่ากับรับสินบน ถ้าใครวินิจฉัยยึดทรัพย์ก็ไม่รับสินบน ขณะนี้การพิจารณาคดีนี้จึงเป็นการพิจารณาคดีที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ของการพิจารณาคดีทั้งหลายในประเทศไทย หรืออาจจะในโลกด้วย
“รัฐบาลสร้างข่าวว่าจะเกิดความวุ่นวายเพื่อล้มคดี หรือเพื่อกดดันศาล ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงมาตลอด แต่ในความเป็นจริงกลับปรากฏว่า ขณะนี้ล้อมๆ ศาลมีเครื่องขยายเสียงหลายสิบล้านเครื่องทั่วประเทศ คือทีวีทุกด้าน โฆษณาไปในทางเดียว คือโฆษณาว่าทรัพย์สินนี้ไม่ชอบต้องยึดเท่านั้น และเมื่อยึดแล้วจะเกิดความวุ่นวายต่างๆ ตามมา เป็นการโฆษณาเพื่อที่จะกดดันศาล ชี้นำสังคม และทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง ผ่านเครื่องขยายนับสิบล้านเครื่องรอบศาล ผมจึงได้บอกว่า ได้เกิดความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นแล้วในการพิจารณาคดีนี้ เพราะฉะนั้นก็เหลือแต่การตัดสิน ซึ่งผมคิดว่า การตัดสินเป็นเรื่องสำคัญ ขณะนี้ จะยึดทรัพย์อะไรหรือไม่ จะเกิดอะไรกับคุณทักษิณและครอบครัว หรือคุณทักษิณจะทำอะไรต่อไป ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุดในสังคม แต่ประเด็นสำคัญที่สุดในสังคมคือ การตัดสินจะเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือขัดต่อหลักนิติธรรม จะเกิดอะไรขึ้นกับระบบยุติธรรมและต่อสังคมไทย หลังการตัดสินคดีนี้”
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า เรื่องการทำลายสถานที่ ใช้ความรุนแรงในวันตัดสิน ตนว่าไม่น่าเป็นห่วง ถ้ารัฐบาลป้องกันให้ดี และอย่าสร้างสถานการณ์ก็คงไม่มีอะไรมาก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือผลตัดสินจะออกมาอย่างไร ถ้าขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่ยุติธรรม จะเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิดกัน คือจะกระทบต่อความเชื่อถือ ความยุติธรรมของประเทศอย่างรุนแรง ทั้งจากสังคมไทยและประชาคมโลกชนิดที่ยากที่จะกอบกู้กลับมาได้ จะเป็นต้นเหตุสำคัญของความแตกแยกในสังคม ที่หนักหนาสาหัสที่ยากต่อการเยียวยา เนื่องจากผู้คนจำนวนมากอาจไม่หวังพึ่งระบบ และกฎหมาย แต่จะหาทางออกวิธีอื่น จึงอยากจะเรียกร้องนอกจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย โดยเฉพาะพวกที่กดดันศาล สร้างสถานการณ์ สร้างความเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม หรือคู่ต่อสู้ทางการเมือง หยุดการกระทำนั้นเสีย โดยเฉพาะรัฐบาล คตส. และพันธมิตรฯ กับพรรคการเมืองใหม่ และอยากเรียกร้องให้สังคมหาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการพิจารณาและการตัดสินคดีนี้อย่างจริงจัง รวมทั้งหาโอกาสที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสมในโอกาสต่อไป โดยเฉพาะถ้าเห็นว่า มีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ก็ต้องยืนยันว่าประชาชนมีสิทธิที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินก็ได้
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ถ้าหากเห็นว่าไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น สิ่งที่ต้องทำคือต้องใช้สติปัญญา ใช้ความรู้ เหตุผล แสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสมเพื่อหาทางแก้ไขปรับปรุงระบบยุติธรรมของประเทศ เพื่อหาทางออกให้กับสังคมแบบสันติวิธี พยายามใช้ความอดทนอดกลั้น ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความไม่ยุติธรรม ควรใช้ความอดทน อดกลั้นและใช้สติปัญญา ใช้เหตุผลในการปรับปรุงระบบยุติธรรมในประเทศนี้ แทนที่จะไปแสดงออกด้วยการใช้ความรุนแรงเล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ตาม ซึ่งจะเป็นเหยื่อของรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลจะฉวยโอกาสขยายความให้ใหญ่มากขึ้น ทำให้เห็นว่า เป็นเรื่องของคนเลวร้าย เป็นเรื่องของคนไม่ยอมรับกติกาใดๆ และก็จะขยายความ จนคนส่วนใหญ่ลืมประเด็นการตัดสินว่ายุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม ก็อยากเรียกร้องต่อสังคม และเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของสังคมไทย และเป็นหัวเหลียวหัวต่อของระบบยุติธรรมของไทย ถ้าไม่สนใจกันอย่างจริงจัง ผลเสียจะตามมาอย่างมาก
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าจะใช้ช่องทางของศาลโลกในการดำเนินการหากไม่ได้รับความยุติธรรมในคดียึดทรัพย์ นายจาตุรนต์กล่าวว่า คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะใช้วิธีอะไรต่อไป ไม่ได้ความสำคัญ หรือสนใจอะไรเลย แต่กำลังสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับระบบความยุติธรรมของประเทศ และคนส่วนใหญ่จะทำกันอย่างไรต่อไป รัฐบาลเมื่อตัดสินออกมาแล้ว รัฐบาลอาจจะโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์ในทางชื่นชมสดุดี ถ้าเขาเห็นว่าตรงกับใจเขา ต้องถามทางศาลว่าทำได้หรือเปล่า และถ้าคนไม่เห็นด้วย จะแสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสมบ้าง ถามว่าทำได้หรือเปล่า ภาพเหตุการณ์อย่างนั้น ภาพเหตุการณ์ที่รัฐบาลจะโหมประโคมข่าวสดุดีชื่นชมกับคำตัดสินไปในทางเดียว และไม่ออกข่าวอีกทางหนึ่งเลย ในขณะที่จำเลยเขาอาจจะอุทธรณ์ต่อมา เท่ากับเป็นการกดดันศาลซ้ำเติมอีก และจะทำให้เกิดความอัดอั้นตันใจให้กับคนที่ต้องการจะแสดงความคิดเห็นบ้าง ไม่มีโอกาสให้เขาแสดงความคิด มันก็จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ความคิดเห็นที่รุนแรงขึ้น ไม่สนใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเอายังไงต่อไป แต่สนใจว่า สังคมไทยจะเอายังไงต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังวันที่ 26 ก.พ.เสื้อแดงจะชุมนุมมองว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ นายจาตุรนต์กล่าวว่า หลังวันที่ 26 กุมภาฯ ถ้าให้แนะนำประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน ไม่ว่าจะฝ่ายไหน ไม่ว่าคำตัดสินจะออกมาอย่างไร ตนคิดว่า ยังไม่ควรมีการชุมนุมหรือเคลื่อนไหวเร็วไปนัก เพราะการชุมนุมนั้นจะมีจุดอ่อนอย่างสำคัญก็อาจจะมีคนที่โกรธแค้นอัดอั้นตันใจ และควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ จนอาจจะขว้างโน่นปานี่ เกิดเป็นความรุนแรงขึ้น ความรุนแรงนั้นอาจจะบานปลาย ถูกสร้างสถานการณ์ทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น นั้นจะเป็นประโยชน์กับรัฐบาลปัจจุบันนี้อย่างมาก เพราะเขาได้เตรียมแผนไว้หมดแล้วที่จะขยายความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 26 ก.พ.และจะทำให้เกิดเป็นผลเสียต่อการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเพื่อความเป็นธรรมต่อไป
นายจาตุรนต์กล่าวว่า เพราะฉะนั้นตนยังคิดว่าควรจะมาตั้งหลักกันถ้าฝ่ายที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ฝ่ายที่จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในประเทศนี้ ควรจะใช้เวลาสักระยะหนึ่งทำความเข้าใจในเรื่องนี้ว่าเกิดความยุติธรรมขึ้นหรือไม่ มีเหตุมีผลอย่างไร และคิดอย่างไรก็ชี้แจงต่อประชาชนโดยสันติ โดยยังไม่เคลื่อนไหวชุมนุมอะไรมาก เมื่อตั้งหลักได้ดี เกิดความเข้าใจอย่างดีแล้วสังคมมีความเข้าใจ สังคมเห็นใจ เห็นปัญหาความไม่ยุติธรรม การเคลื่อนไหวที่จะมีต่อไปควรเป็นการเคลื่อนไหวที่ใช้สันติวิธี มุ่งไปที่การทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยและเกิดความยุติธรรม แทนที่จะเป็นเรื่องบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ตนยังอยากเห็นการทิ้งช่วงระยะหนึ่ง ก็จะหาทางเสนอต่อผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเสื้อแดงด้วย
เมื่อถามว่าหลังการตัดสินวันที่ 26 ก.พ.แล้ว มองว่าการเมืองและเศรษฐกิจของไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป นายจาตุรนต์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคำตัดสินและปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ ที่จะมีต่อคำตัดสิน ขณะนี้เป็นไปได้ทั้งสงบเรียบร้อยราบรื่น และเป็นไปได้ทั้งเกิดความไม่พอใจ เกิดความไม่เชื่อถือต่อระบบยุติธรรมของประเทศ คนไม่มาลงทุน เกิดความขัดแย้งรุนแรงต่อไปในสังคม เป็นไปได้ทั้งนั้น ฉะนั้นจึงขึ้นกับคำตัดสิน และปฏิกิริยาหลังการตัดสิน โดยเฉพาะบทบาทของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลซ้ำเติมฝ่ายเดิมสร้างสถานการณ์เพิ่มเติมเพื่อทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง เรื่องถึงไม่จบ
นายจาตุรนต์ได้แถลงอีกครั้งโดยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะถูกตัดสินยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน เนื่องจากที่ผ่านมาทั้งบุคคลที่อยู่ในรัฐบาลกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ได้ออกมากระทำในลักษณะกดดันศาลและชี้นำสังคมว่า จะเกิดความรุนแรง อีกทั้ง รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังรับรององค์กรอิสระที่ถูกตั้งขึ้นจากคณะรัฐประหาร และยอมรับการรัฐประหารด้วย
นายจาตุรนต์กล่าวอีกว่า ตนขอเรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรี รัฐบาล ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ประชาชน ได้มีส่วนร่วมในประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ขณะที่กลุ่มต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเองก็ต้องยึดมั่นต่อสู้ด้วยสันติวิธี อย่างไรก็ตาม การออกมาเรียกร้องครั้งนี้ไม่ได้หวังผลทางคดีและไม่ได้กดดันศาลแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการให้สังคมกลับมาสงบสุขอีกครั้ง