การเมืองยังไม่มีอะไรใหม่ ฉบับวันที่ 24 เดือนแห่งความรัก...เลยแหวกแนวการเมืองฮาร์ดคอร์..มาเป็นเรื่องของนักการเมืองแต่ไม่ประเทืองปัญญา...แก้เซ็ง บะละฮึ่ม บึ้ม เบิ้ม กับการเปลี่ยนรถยนต์และแผนพิทักษ์รักษาความปลอดภัย “นายกรัฐมนตรี” ไม่บอกชื่อก็คงรู้กันแต่บอกสักหน่อยตามหลักงานเขียน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ภายหลังโดนความพยายามเบียดติด ประชิดรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี.โดยใครก็ไม่รู้? สาเหตุอะไรก็ไม่รู้? แต่หลายฝ่ายข้าง “นายกฯ” กังวลว่าจะเป็นการ “ลอบทำร้าย” เลยมีการปรับกันขนานใหญ่..เริ่มตั้งแต่รถยนต์ถึงโครงสร้างขบวนอารักขาการประชิดแทรกขบวนอาจเกิดจากความเสน่หาอยากจ๊ะ
จ๋ากับนายกฯ หน้าหล่อ หรืออาจจะหมั่นไส้ขบวนรถคนใหญ่คนโต..จะว่าไปแล้วคนธรรมดาใช้รถเหมือนกันแต่ไม่กันกระสุนมักจะโดนรถคนใหญ่คับฟ้าเบียดเสียดบ่อยครั้ง..1. รถขบวนจะขับเร็ว-เร็วมาก 2. ไม่มีการเหยียบเบรกไฟแดงๆ ไม่มีไฟเขียวตลอดทาง 3. ขบวนยาวมาก และ 4. ใครขวางหน้ากูชนดะ (คนธรรมดาเลยยอมหลบซ้าย ชิดขวา)ส่วนโครงสร้างขบวนอารักขา..แม่เจ้าโว้ย!! หากจะ“ลองของ” ขอเตือน ว่า อันตราย!..โครงสร้างเดิมนั้น ทีมรักษาความ
ปลอดภัย (รปภ.)นายกฯ มี 2 หน่วยหลักรับผิดชอบคือ ตำรวจสันติบาล 3และ กอง 8 ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย ปัจจุบันนายกฯ อภิสิทธิ์ เลือกใช้ทหารจาก ศรภ. เป็นบอร์ดี้การ์ดหลัก ขณะที่ตำรวจก็เลือกใช้ตำรวจกองปราบปราม ไม่ได้เลือกใช้ตำรวจสันติบาล 3 เหมือนสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณเพิ่มเติมด้วยกำลังกองพันทหารสารวัตรที่ 11 มณฑลทหารบกที่ 11 รวมถึงชุดปฏิบัติการพิเศษคอมมานโดหน่วยบัญชาการอากาศ
โยธิน กองทัพอากาศ ชุดปฏิบัติการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ทหารเสือราชินี)มาประจำการเพิ่มทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล และบ้านพัก สร.1และเพิ่มเจ้าหน้าที่ ศรภ.อีก 1 ชุดสำ หรับการวางตัวทีม รปภ.ประจำ ตัวนายกฯตามมาตรฐานแล้ว ทีมต้องไม่ตํ่ากว่า 5 คน โดยมีหัวหน้าชุดยืนประกบด้านข้างและยังมีลูกทีมอีก 4 คนเฝ้าระวังรอบตัวใน 4 ทิศทางแต่หากนายกฯ ต้องเดินทางฝ่าฝูงชนหนาแน่นต้องมีการปรับรูปแบบมาใช้ทีม รปภ.ประจำตัว 6 คนกฎเหล็กคือ หัว
หน้าชุดต้องเอื้อมมือถึงตัวนายกฯ ทันทีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ต้องเฝ้าระวัง 360 องศารอบตัว สร.1หัวใจสำคัญก็คือ เจ้าหน้าที่ ศรภ. ที่เป็นทหาร “มือดี”จาก 3 เหล่าทัพ แยกเป็นทีมประมาณ 8 คน แบ่งเป็น 2ผลัด ใช้รถโฟร์วิลล์ปิดขบวนของนายกฯ ภายในรถจะติดฟิล์มดำ มีอุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์ตัดสัญญาณโทรศัพท์ป้องกันการจุดชนวนระเบิด อาวุธปืนหนักเบา ทั้ง 2 ทีมของตำรวจและทหาร จะทำงานประสานกันทางวิทยุสื่อสาร มีการประชุมวางแผนอารักขาการ
เดินทาง ทุกวันหากนายกฯ อยู่ในสถานที่เสี่ยงมาก ชุดปฏิบัติการที่ 5ที่ต้องเพิ่มเข้ามา คือ เจ้าหน้าที่ชุดอาวุธพิเศษที่ไม่ได้มีแค่ปืนพก “กล็อก” หรือ เสื้อเกราะอ่อน แต่เป็นปืนกลยิงเร็วระดับ เอ็มพี-5 หรือรู้จักกันดีในนามปืนกล “อูซี”เอาไว้ต่อกรกับอาวุธของผู้ประสงค์ร้ายได้อย่างสมน้ำสมเนื้ออารักขากันครบสูตร! หากมี “เหตุไม่คาดฝัน”มาเขย่าขวัญรัฐบาลอีก..คงต้องปรบมือให้ “ไอ้มือมืด”และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องบอกว่า “โชคชะตาฟ้ากำหนด”แล้วล่ะ “ท่านนายกฯ”