บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คณินตั้งฉายา รบ.7เสา แนะรีบกลับใจ

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_66650
ดร.คณิน บุญสุวรรณ

เสวนาทิศทางประเทศไทย 53 คึกคัก สว.จอมคุ้ย ชี้ยึดทรัพย์"ทักษิณ"แค่ 3.8 หมื่นล้าน ขณะที่ "ปานปรีย์-กิตติรัตน์" รุมจวก ปี 53 เศรษฐกิจดิ่งเหว ให้ฉายารัฐบาล 4 ป. ...

เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กลุ่มกรุงเทพฯ 50 จัดเสวนาทิศทางประเทศไทย 2553 ซึ่งมีวิทยากรประกอบด้วย ดร.กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดร.คณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร) ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นวิทยากรพิเศษ ซึ่งภายในงานมีคนเข้าร่วมประมาณ 2,000 คน โดยผู้จัดงานได้เตรียมโต๊ะที่นั่งไว้จำนวน 200 โต๊ะ โต๊ะละ 20,000 บาท และมีการแจกหนังสือ “คนไทย หายจน (เสียดาย..ถูกปล้นเสียก่อน) จำนวน 2,000 เล่ม

ทั้งนี้ในเวลาประมาณ 19.20 พ.ต.ท.ทักษิณ ออกวีดิโอลิ้งก์ ทักทายผู้มาร่วมงานว่า “เสียงตบมือยาวจัง ผมอยู่ไกล อาจไม่เปะๆ ดังนั้นจึงขอฟังวิทยากรก่อน ก่อนที่จะพูดต่อ”

ต่อมา ดร.คณิน กล่าวว่า หลายท่านพอเดาทิศทางประเทศไทยออก เพราะปัจจัยที่กระทบมีมากมาย แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึง เหตุการณ์ตั้งแต่ 49-53 หลัง จากที่มีการรัฐประหาร มีการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการจากเลือกตั้ง ล้มล้างรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก แม้นักวิชาการเก่งของโลกยังคาดไม่ถึง ความจริงคนไทยได้รับอานิสงค์จากรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 อย่างมาก เป็นระยะเวลา 10 ปี การ ล้มล้างทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือระบบกฎหมาย แน่นอนที่สุดโยงไปถึงกระบวนการยุติธรรม ที่ทุกคนฝากความหวังไว้ หลังจากล้มล้างไป นำประกาศ คปค.มาประกาศใช้กว่า 30 กว่าฉบับ

ดร.คณิน กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นมีรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แท้จริงเป็นแผนจัดการประเทศไทยในอนาคต ให้เป็นไปตามปราถนา ตามมาด้วยรัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่ง คนร่างทั้งหมดได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร มีวัตถุแฝงเร้น ไม่เป็นผลดีต่อโครงสร้างสังคมไทย โดยเฉพาะการแต่งตั้งองค์กรอิสระ องค์กรตรวจสอบเฉพาะกิจ คตส., ป.ป.ป.ทั้งหมดนำไปสู่กระบวนการกฎหมายที่ผิดเพี้ยน และในปี 53 วิกฤตการเมืองอยู่ที่เสถียรภาพรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ดร.คณิน กล่าวด้วยว่า เมื่อพูดถึงรัฐบาลปัจจุบัน อยู่ได้เพราะ 7 เสาค้ำจุนอยู่ 4 เสาหลัก แต่ไม่ได้เกี่ยวกับ 4 เสาเทเวศน์ และ มี 3 เสา ย่อย เสาแรกสื่อ ศาล ทหาร และ องค์กรอิสระ เสาย่อยมี 40 สว.เสาย่อยพรรคร่วมรัฐบาล พันธมิตรฯ สื่อกระแสหลัก เนชั่น ผู้จัดการ ศาล ประกอบด้วย 4 ศาล ศาล ฎีกา ศาลปกครองสูงสุด ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง ส่วนองค์กรอิสระนั้นแท้ที่แล้ว ไม่ใช่องค์กรอิสระตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และ ไม่ได้รับการแต่ตั้งโปรดเกล้าฯ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ถ้าได้รับผลกระทบเสาหนึ่งเสาใด รัฐบาลนี้จะล่ม ดังนั้นเพื่อให้กลับสู่ครรลองในอนาคต จึงขอเสนอให้ทุกฝ่ายกลับตัวกลับใจ และสุดท้าย ป๋ากลับบ้านเถอะ

ด้านนายเรืองไกร กล่าวว่า ปัจจุบันตนกำลังตามเรื่องที่ได้ร้องไป แต่ก็ไม่คืบหน้า คือ SMS 18 ล้าน เบอร์ของรัฐบาล ซึ่งนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ออกมาระบุว่าไม่ต้องเสีย พูดอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ เป็นเพียงผู้มอบนโยบาย ตอบอย่างนี้ไม่ถูกต้อง กำลังถอดเทปอยู่ และจะร้องสอบต่อไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับการคัดเลือกและรองรับเป็นนายกรัฐมนตรี จากสภาฯซึ่งประธานสภาฯขณะนั้นเป็นนายชัย ชิดชอบ ซึ่งไม่มีฐานะสมาชิกพรรค ดังนั้นการแต่งตั้งเป็นโมฆะ หรือไม่

นายเรืองไกร กล่าวว่า อีกกรณี คือ กรณีเงินบริจาคพรรคการเมือง จนป่านนี้ยังวินิจฉัยไม่ได้ และมีเรื่องที่อยากร้องก็ที่จะขึ้นในวันศุกร์นี้(26 ก.พ.) คือ กรณีตัดสินยึดทรัพย์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตนตามเรื่องนี้มาโดยตลอด เห็นว่า ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ของคุณหญิงพจมาน และลูกๆอีก 3 คน เป็นเงินคนละส่วนกัน ดังนั้นถ้าวันนี้คำณวนมูลค่าเบื้องต้นน่าจะประมาณ 38,000 ล้านบาทหรือไม่ ไม่มีตรรกะการคิดในการยึดทรัพย์

ขณะที่ ดร.ปานปรีย์ กล่าวว่า หลังจากที่มีการปฏิวัติรัฐประหาร เราถอยหลังเข้าคลอง ทุกวันนี้เศรษฐกิจมี 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัจจัย 1.เศรษฐกิจโลก 2. การ บริหารจัดการของรัฐบาลไทย ดูได้จากนโยบาย ต้องดูสถานภาพทางเศรษฐกิจ ลงไปต่ำสุดหรือยัง รัฐบาลจะพูดทุกวันว่าเศรษฐกิจ กระเตื้องแล้ว ไปไกลกว่านั้น ฟื้นแล้ว แต่จริงๆไม่เป็นเช่นนั้น เราต้องระวังต่อไป แต่ตัวเลขส่งออกดีขึ้น แต่ยังไม่ฟื้น ปี 50 การส่งเสริมการลงทุนมีอยู่ 7.7 ร้อยละ 52 ลดลงเพียวง 2 แสนล้านบาท เปรียบเทียบกับเศรษฐกิจในภาวะที่ปกติยังไม่ดีพอ

“รัฐบาลนี้กำลังทำไรอยู่ อย่างแรกกู้ 8 แสนกว่าล้าน เพิ่มภาระให้เรา กระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 1 ยอมรับได้แต่ แต่การเอาเงินไปให้ 2 หมื่นล้านไม่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่น่ากังวล คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่สอง ที่จำนวนเงินมหาศาล 1.43 ล้าน ล้านบาท ขืนทำโครงการไทยแข้มเข็งมีปัญหาแน่ ทุจริตกันมาก ไม่ผ่านกระบวนข้าราชการ ไม่สร้างรายได้ให้กับประเทศ เงินของคนไทยรั่วไหลไปเยอะ” ดร.ปานปรีย์ กล่าว

ดร.ปานปรีย์ กล่าวอีกว่า เรื่องมาบตาพุด รัฐบาล ไม่จริงใจ อ้างโน่นอ้างนี่ หากต้องการทำจริงพรรคเพื่อไทย พร้อมช่วย เรื่องสุดท้ายน่าห่วง เรื่องรัฐธรรมนูญ พรรคร่วมรัฐบาลกำลังขอแก้ไขหลายประเด็นโดยเฉพาะประเด็นที่มีปัญหากับระบบการ ลงทุน เศรษฐกิจ รัฐบาลซื้อเวลาไปวันๆ สรุป เวลานี้ทิศทางทางเศรษฐกิจ ถ้ารัฐบาลยังไม่มีความชัดเจน ไม่มีเป้าหมาย ไม่ทบทวน ไม่เชื่อว่าปี 53 จะ ฟื้นขึ้น เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น การบริหารจัดการเศรษฐกิจ ไม่มีความชัดเจนอย่างยิ่ง ดังนั้นรัฐบาลต้องทำการเมืองให้นิ่ง สมานฉันท์ ทำไมต้องทะเลาะเบาแว้ง

ส่วน ดร.กิตติรัตน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจมี 4 ล้อ ผู้บริโภค การลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐ การส่งออก ประเทศไทยมีความสุขกับการส่งออก ทั้งนี้น่าจะมีความสมดุลด้วยการบริโภคไปด้วย ประเทศไทยขณะนี้ยังไม่มีกลยุทธิ์ สองปี สี่เดือนที่ผ่านมาตกลงอย่างรุนแรง และ มี 4 ไม่ คือ 1.ไม่สมดุล 2.ไม่ประสาน 3.ไม่มีเสถียรภาพ และ 4.ไม่ทำให้ยั่งยืน.

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker