วันนี้ (22ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กลุ่มกรุงเทพฯ 50 ได้จัดเสวนา “ทิศทางประเทศไทย ปี 2553” จำหน่ายบัตรโต๊ะจีน จำนวน 200 โต๊ะๆ ละ 2 หมื่นบาท มีผู้ให้ความสนใจร่วมงานคับคั่งกว่า 2,000คน ซึ่งจะมอบรายได้ให้กับสาธารณกุศลต่อไป โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร.40 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา เป็นวิทยากร ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เป็นวิยากรพิเศษผ่านระบบวีดีโอลิงค์ในครั้งนี้ด้วย
นายเรืองไกร กล่าวว่า หากมีการยึดเงินจริง ปัญหาคือเงินปันผลของผู้ถือหุ้นชินคอร์ปฯ ในห้วงเวลาเดียวกันมูลค่ากว่า 6 พันล้านบาทจะต้องยึดด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องย้อนกลับไปดูว่าขณะนั้นมีใครขายทำกำไรได้บ้างและต้องตามไปยึดคืนด้วยหรือไม่ ที่สำคัญดีลที่บริษัทชินคอร์ปฯ และเทมาเสคในตลาดหลักทรัพย์วันนั้นจะถือเป็นโมฆะด้วยหรือไม่ แต่วันนี้คนที่ถือหุ้นใหญ่คือเทมาเสคของประเทศสิงคโปร์ วันนี้ถ้าดูแผนที่ประเทศไทยด้านหนึ่งเรามีปัญหากับกัมพูชา อีกด้านหนึ่งมีปัญหาเรื่องก๊าซกับพม่า และวันนี้เรากำลังจะอยากได้หุ้นตัวนี้คืนจากสิงคโปร์อีกหรือ
ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ถ้าจะให้ทำนายทิศทางประเทศไทยปี 53อันดับแรกต้องย้อนกลับไปดูที่เหตุ หากเราหาเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ ก็ดับทุกข์ไม่ได้ สาเหตุเกิดจากกติกาถูกละเมิดโดยคนมีบารมีสูงคนเดียวแอบสั่งการทุกเรื่อง เริ่มจากให้พรรคการเมืองบอยคอตเลือกตั้ง ไปเดินสายพูดับทหาร เรียก กกต.บางคนไปสั่งให้ลาออกเมื่อคดีไปถึงศาลก็สั่งขังโดยไม่ให้ประกัน องคมนตรีเขาก็เดินสายสนับสนุนพันธมิตรฯ พาคนที่ปฏิวัติไปเข้าเฝ้า สนับสนุนให้ทหารปลอมตัวเป็นพันธมิตรฯ ไปยึดสนามบิน ต้นเหตุอยู่ที่ความไม่พอใจหรือแค้นอะไรก็ไม่ทราบ ความจริงตนเป็นคนพูดง่าย พูดดีๆ ก็จบ แต่ไปปล่อยให้อีรุงตุงนังจนเสียหายหมด ส่วนรัฐบาลก็ไม่มีมิติในเรื่องความยุติธรรม มีแต่สนใจมิติของกฎหมายที่เอื้ออำนวยให้ตัวเองเท่านั้น การอำนวยความยุติธรรมหากไม่มีความรอบรู้ก็ทำไม่ได้ เหมือนเรื่องของหุ้นคนที่ไม่อยู่ในแวดวงเศรษฐกิจก็จะไม่เข้าใจวัฒนธรรมของหุ้น จะไปเข้าใจว่าผิดไปหมด ถ้าเทียบมิติทางกฎหมายกับมิติความยุติธรรม มิติความยุติธรรมต้องสูงกว่า หากมิติทางกฎหมายไม่ทำให้เกิดความยุติธรรม ก็จะไม่ทำให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง
จากนั้นพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ตอบคำถามพิธีกรถึงความรู้สึกก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินคดียึดทรัพย์ในวันที่ 26ก.พ.นี้ ว่า ตนยังกินอิ่ม หลับสบายเพราะตนเป็นคนที่ไม่อยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป ทั้งนี้มั่นใจว่าผู้พิพากษาส่วนใหญ่เป็นคนดีและรักสถาบันยุติธรรม ตนและครอบครัวไม่ได้ทำอะไรผิด ทรัพย์สินก็มีมาก่อนเป็นนายกฯ ทรัพย์สินทั้งหมดมาจากหุ้นตัวเดียวกัน ดังนั้นคิดว่าผู้พิพากษาส่วนใหญ่มีชื่อเสียงมานานย่อมรักษาคุณธรรม ความดีมาทั้งชีวิต หากมีการบิดเบือนอะไรจริงๆ ตนเตรียมทางออกไว้แล้วและอยู่ระหว่างการปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ ตราบใดความยุติธรรมไม่ได้รับ การต่อสู้ก็จะไม่เลิกราแน่นอน การพูดคุยกับตนง่ายมาก ตนใจสปอตแต่ถ้าถูกรังแก เป็นสิ่งที่รับไม่ได้
เมื่อถามถึงกรณีที่สังคมห่วงว่าจะเกิดความรุนแรงจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า มั่นใจว่าคนเสื้อแดงเป็นคนรักสันติ เว้นแต่รัฐบาลส่งคนปลอมตัวมายิงหัวคนเสื้อแดง เหมือนที่พัทยา หรือเรื่องรถแก๊ซที่หน้าคิงส์พาวเวอร์ อย่างนี้ก็ไม่แน่เหมือนกัน แต่หากรัฐบาลยึดมั่นในสันติก็ไม่มีอะไร เมื่อถามว่ามีคนวิจารณ์ว่าการฟ้องศาลโลกไม่สามารถทำได้ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า คนวิจารณ์ไม่ได้เปิดตำราดูเลยไม่เข้าใจ คิดว่าศาลโลกหรือเวิลด์คอร์ตเป็นเรื่องของรัฐกับรัฐแต่นี่ไม่ใช่เวิลด์คอร์ต แต่เป็นอินเตอร์เนชั่นแนลคอร์ต ออฟ จัสติส ซึ่งที่ประเทศมาเลเซียเคยมีประชาชนยื่นฟ้องรัฐบาลมาแล้ว ซึ่งศาลตัดสินให้รัฐบาลมาเลเซียจ่ายเงินชดเชยให้ 2.5 ล้านเหรียญ
นายเรืองไกร กล่าวว่า หากมีการยึดเงินจริง ปัญหาคือเงินปันผลของผู้ถือหุ้นชินคอร์ปฯ ในห้วงเวลาเดียวกันมูลค่ากว่า 6 พันล้านบาทจะต้องยึดด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องย้อนกลับไปดูว่าขณะนั้นมีใครขายทำกำไรได้บ้างและต้องตามไปยึดคืนด้วยหรือไม่ ที่สำคัญดีลที่บริษัทชินคอร์ปฯ และเทมาเสคในตลาดหลักทรัพย์วันนั้นจะถือเป็นโมฆะด้วยหรือไม่ แต่วันนี้คนที่ถือหุ้นใหญ่คือเทมาเสคของประเทศสิงคโปร์ วันนี้ถ้าดูแผนที่ประเทศไทยด้านหนึ่งเรามีปัญหากับกัมพูชา อีกด้านหนึ่งมีปัญหาเรื่องก๊าซกับพม่า และวันนี้เรากำลังจะอยากได้หุ้นตัวนี้คืนจากสิงคโปร์อีกหรือ
ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ถ้าจะให้ทำนายทิศทางประเทศไทยปี 53อันดับแรกต้องย้อนกลับไปดูที่เหตุ หากเราหาเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ ก็ดับทุกข์ไม่ได้ สาเหตุเกิดจากกติกาถูกละเมิดโดยคนมีบารมีสูงคนเดียวแอบสั่งการทุกเรื่อง เริ่มจากให้พรรคการเมืองบอยคอตเลือกตั้ง ไปเดินสายพูดับทหาร เรียก กกต.บางคนไปสั่งให้ลาออกเมื่อคดีไปถึงศาลก็สั่งขังโดยไม่ให้ประกัน องคมนตรีเขาก็เดินสายสนับสนุนพันธมิตรฯ พาคนที่ปฏิวัติไปเข้าเฝ้า สนับสนุนให้ทหารปลอมตัวเป็นพันธมิตรฯ ไปยึดสนามบิน ต้นเหตุอยู่ที่ความไม่พอใจหรือแค้นอะไรก็ไม่ทราบ ความจริงตนเป็นคนพูดง่าย พูดดีๆ ก็จบ แต่ไปปล่อยให้อีรุงตุงนังจนเสียหายหมด ส่วนรัฐบาลก็ไม่มีมิติในเรื่องความยุติธรรม มีแต่สนใจมิติของกฎหมายที่เอื้ออำนวยให้ตัวเองเท่านั้น การอำนวยความยุติธรรมหากไม่มีความรอบรู้ก็ทำไม่ได้ เหมือนเรื่องของหุ้นคนที่ไม่อยู่ในแวดวงเศรษฐกิจก็จะไม่เข้าใจวัฒนธรรมของหุ้น จะไปเข้าใจว่าผิดไปหมด ถ้าเทียบมิติทางกฎหมายกับมิติความยุติธรรม มิติความยุติธรรมต้องสูงกว่า หากมิติทางกฎหมายไม่ทำให้เกิดความยุติธรรม ก็จะไม่ทำให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง
จากนั้นพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ตอบคำถามพิธีกรถึงความรู้สึกก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินคดียึดทรัพย์ในวันที่ 26ก.พ.นี้ ว่า ตนยังกินอิ่ม หลับสบายเพราะตนเป็นคนที่ไม่อยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป ทั้งนี้มั่นใจว่าผู้พิพากษาส่วนใหญ่เป็นคนดีและรักสถาบันยุติธรรม ตนและครอบครัวไม่ได้ทำอะไรผิด ทรัพย์สินก็มีมาก่อนเป็นนายกฯ ทรัพย์สินทั้งหมดมาจากหุ้นตัวเดียวกัน ดังนั้นคิดว่าผู้พิพากษาส่วนใหญ่มีชื่อเสียงมานานย่อมรักษาคุณธรรม ความดีมาทั้งชีวิต หากมีการบิดเบือนอะไรจริงๆ ตนเตรียมทางออกไว้แล้วและอยู่ระหว่างการปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ ตราบใดความยุติธรรมไม่ได้รับ การต่อสู้ก็จะไม่เลิกราแน่นอน การพูดคุยกับตนง่ายมาก ตนใจสปอตแต่ถ้าถูกรังแก เป็นสิ่งที่รับไม่ได้
เมื่อถามถึงกรณีที่สังคมห่วงว่าจะเกิดความรุนแรงจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า มั่นใจว่าคนเสื้อแดงเป็นคนรักสันติ เว้นแต่รัฐบาลส่งคนปลอมตัวมายิงหัวคนเสื้อแดง เหมือนที่พัทยา หรือเรื่องรถแก๊ซที่หน้าคิงส์พาวเวอร์ อย่างนี้ก็ไม่แน่เหมือนกัน แต่หากรัฐบาลยึดมั่นในสันติก็ไม่มีอะไร เมื่อถามว่ามีคนวิจารณ์ว่าการฟ้องศาลโลกไม่สามารถทำได้ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า คนวิจารณ์ไม่ได้เปิดตำราดูเลยไม่เข้าใจ คิดว่าศาลโลกหรือเวิลด์คอร์ตเป็นเรื่องของรัฐกับรัฐแต่นี่ไม่ใช่เวิลด์คอร์ต แต่เป็นอินเตอร์เนชั่นแนลคอร์ต ออฟ จัสติส ซึ่งที่ประเทศมาเลเซียเคยมีประชาชนยื่นฟ้องรัฐบาลมาแล้ว ซึ่งศาลตัดสินให้รัฐบาลมาเลเซียจ่ายเงินชดเชยให้ 2.5 ล้านเหรียญ