คอลัมน์ เหล็กใน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังหน้าชื่นตาบาน กอดเก้าอี้นายกฯแน่นต่อไป
โดยไม่ได้รู้สึกรู้สาถึงความสูญเสียอย่างมหาศาลต่อชีวิตผู้คน
ตาย 88 ศพ เจ็บอีกเกือบ 2 พันคน สูญหายอีก 38 ราย
ล่าสุด ยังเปิดทำเนียบต้อนรับแฟนคลับ กลุ่มสมาชิกชุมชนออนไลน์เฟซบุ๊กมั่นใจคนไทยเกิน 1 ล้านคนต่อต้านการยุบสภา ซึ่งเป็นกองเชียร์ส่วนตัวแบบอย่างใกล้ชิด ชื่นมื่น
นายอภิสิทธิ์อ้างว่าได้ติดตาม แลกเปลี่ยนกันเป็นระยะๆ พร้อมชื่นชมว่าเป็นกลุ่มที่แสดงออกถึงความต้องการให้บ้านเมืองสงบสุข มีข้อเรียกร้องที่อยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง
ทำให้รัฐบาลสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ก่อนหน้าที่จะสั่งสลายม็อบ ก็เป็นที่รู้ว่านายอภิสิทธิ์ ฟังกองเชียร์กลุ่มเหล่านี้เป็นพิเศษ
โดยเฉพาะเสียงเรียกร้องให้เอาจริงเสียที ลงมือเสียที อ้างประเทศชาติเสียหายมามากแล้ว
ขณะเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ ยังอ้างว่ากลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลนั้นได้รับข้อมูลด้านเดียว เพราะอยู่ในที่ชุมนุมกันมา 2 เดือนก็จะได้รับเฉพาะเรื่องที่นำขึ้นมาปราศรัยบนเวทีเท่านั้น
นายอภิสิทธิ์ ยังระบุด้วยว่าอยากให้พลังและเครือข่ายกลุ่มเฟซบุ๊ก รวมตัวเพื่อสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เวลามีวิกฤตก็สามารถรวมตัวลุกขึ้นมาเพื่อสร้างความถูกต้องดีงามเพื่อบ้านเมืองอีก
ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าผู้นำที่ได้ชื่อว่าเป็นคนทันสมัย มีความรู้ เกิดในชาติตระกูลดี จะหยิบยกเรื่องแบบนี้มาเพื่อเป็นประโยชน์เพื่อตัวเองได้
ผู้ชุมนุมออกมาเรียกร้องเพื่อแสดงทัศนคติทางการเมือง เคลื่อนไหวเต็มท้องถนน นับคน นับจำนวนได้ไม่หวาดไม่ไหว
ไม่เพียงแต่ในกรุงเทพฯเท่านั้น แต่ยังกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ
แต่นายอภิสิทธิ์เลือกที่จะเชื่อว่ากลุ่มที่มาเชียร์ออนไลน์ เป็นกลุ่มที่จับต้องสัมผัสได้จริง แล้วฉกฉวยนำมาใช้ประโยชน์ทางการเมือง
หลังจาก เปิดโอกาสให้แฟนคลับได้กรี๊ดพอหอมปากหอมคอ
นายกฯคนรูปหล่อ ก็เปิดทำเนียบรัฐบาลชี้แจงกับทูตต่างประเทศ
แต่สำนักข่าวต่างประเทศนำไปรายงานคนละทิศคนละทาง
เช่นบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าทหารยิงต้องมากกว่านี้ ผู้เสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม มี 4 ศพถูกยิงจากแนวราบ ผู้ชุมนุมเป็นเครื่องมือของผู้ก่อการร้าย
พอถูกต้อนหนักๆ เรื่องความผิดชอบต่อชีวิตคนตาย
นายอภิสิทธิ์ กลับตอบไม่เต็มปากเต็มคำ อ้างว่าถ้าสอบสวนมีข้อบ่งชี้ว่าผิด ก็พร้อมยืดอกรับผิดชอบ
แต่ไม่วายอ้างว่าทุกอย่างทำตามกฎหมาย
พร้อมกับโทษฝ่ายม็อบว่าทำทุกอย่างโดยไม่สนใจว่าจะมีคนตายหรือไม่
ก็ต้องตั้งคำถามกลับว่า ใครกันแน่ที่ต้องมีความรับผิดชอบมากที่สุด
ต่อความตายของประชาชน
โดยไม่ได้รู้สึกรู้สาถึงความสูญเสียอย่างมหาศาลต่อชีวิตผู้คน
ตาย 88 ศพ เจ็บอีกเกือบ 2 พันคน สูญหายอีก 38 ราย
ล่าสุด ยังเปิดทำเนียบต้อนรับแฟนคลับ กลุ่มสมาชิกชุมชนออนไลน์เฟซบุ๊กมั่นใจคนไทยเกิน 1 ล้านคนต่อต้านการยุบสภา ซึ่งเป็นกองเชียร์ส่วนตัวแบบอย่างใกล้ชิด ชื่นมื่น
นายอภิสิทธิ์อ้างว่าได้ติดตาม แลกเปลี่ยนกันเป็นระยะๆ พร้อมชื่นชมว่าเป็นกลุ่มที่แสดงออกถึงความต้องการให้บ้านเมืองสงบสุข มีข้อเรียกร้องที่อยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง
ทำให้รัฐบาลสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ก่อนหน้าที่จะสั่งสลายม็อบ ก็เป็นที่รู้ว่านายอภิสิทธิ์ ฟังกองเชียร์กลุ่มเหล่านี้เป็นพิเศษ
โดยเฉพาะเสียงเรียกร้องให้เอาจริงเสียที ลงมือเสียที อ้างประเทศชาติเสียหายมามากแล้ว
ขณะเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ ยังอ้างว่ากลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลนั้นได้รับข้อมูลด้านเดียว เพราะอยู่ในที่ชุมนุมกันมา 2 เดือนก็จะได้รับเฉพาะเรื่องที่นำขึ้นมาปราศรัยบนเวทีเท่านั้น
นายอภิสิทธิ์ ยังระบุด้วยว่าอยากให้พลังและเครือข่ายกลุ่มเฟซบุ๊ก รวมตัวเพื่อสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เวลามีวิกฤตก็สามารถรวมตัวลุกขึ้นมาเพื่อสร้างความถูกต้องดีงามเพื่อบ้านเมืองอีก
ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าผู้นำที่ได้ชื่อว่าเป็นคนทันสมัย มีความรู้ เกิดในชาติตระกูลดี จะหยิบยกเรื่องแบบนี้มาเพื่อเป็นประโยชน์เพื่อตัวเองได้
ผู้ชุมนุมออกมาเรียกร้องเพื่อแสดงทัศนคติทางการเมือง เคลื่อนไหวเต็มท้องถนน นับคน นับจำนวนได้ไม่หวาดไม่ไหว
ไม่เพียงแต่ในกรุงเทพฯเท่านั้น แต่ยังกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ
แต่นายอภิสิทธิ์เลือกที่จะเชื่อว่ากลุ่มที่มาเชียร์ออนไลน์ เป็นกลุ่มที่จับต้องสัมผัสได้จริง แล้วฉกฉวยนำมาใช้ประโยชน์ทางการเมือง
หลังจาก เปิดโอกาสให้แฟนคลับได้กรี๊ดพอหอมปากหอมคอ
นายกฯคนรูปหล่อ ก็เปิดทำเนียบรัฐบาลชี้แจงกับทูตต่างประเทศ
แต่สำนักข่าวต่างประเทศนำไปรายงานคนละทิศคนละทาง
เช่นบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าทหารยิงต้องมากกว่านี้ ผู้เสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม มี 4 ศพถูกยิงจากแนวราบ ผู้ชุมนุมเป็นเครื่องมือของผู้ก่อการร้าย
พอถูกต้อนหนักๆ เรื่องความผิดชอบต่อชีวิตคนตาย
นายอภิสิทธิ์ กลับตอบไม่เต็มปากเต็มคำ อ้างว่าถ้าสอบสวนมีข้อบ่งชี้ว่าผิด ก็พร้อมยืดอกรับผิดชอบ
แต่ไม่วายอ้างว่าทุกอย่างทำตามกฎหมาย
พร้อมกับโทษฝ่ายม็อบว่าทำทุกอย่างโดยไม่สนใจว่าจะมีคนตายหรือไม่
ก็ต้องตั้งคำถามกลับว่า ใครกันแน่ที่ต้องมีความรับผิดชอบมากที่สุด
ต่อความตายของประชาชน