บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล: วิเคราะห์สถานการณ์ ในวันคืนสุดท้ายก่อนการนองเลือดใหญ่

ที่มา ประชาไท


คำชี้แจง: ข้อเขียนข้างล่างนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนทั้งในแง่ข้อมูลและความคิดกับคนที่ติดตามสถานการณ์ที่ผมรู้จัก 2-3 คน แต่การเรียบเรียงออกมาทั้งที่เป็นข้อมูลและการวิเคราะห์ที่เห็นข้างล่างทั้งหมด ย่อมเป็นความรับผิดชอบของผมคนเดียว ผมพยายามเขียนอย่างสั้น รวบยอดที่สุด ไม่มีการอภิปรายรายละเอียดในแต่ละประเด็น ซึ่งความจริงสามารถอภิปรายขยายความได้อีกมาก

(1) ขณะนี้การใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ของรัฐบาล และการตัดสินใจที่จะ "ชน" กับการสลายการชุมนุม ของทักษิณและแกนนำ นปช. (รวมทั้งความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะใช้ยุทธวิธี "คนชุดดำ" ที่เป็น "อาวุธลับ" ของพวกเขา) แทบจะกล่าวได้เลยว่า ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แน่นอนแล้ว

(2) ซีกรัฐบาลที่ผลักดันให้สลายการชุมนุมด้วยกำลัง (ไม่ประนีประนอมเด็ดขาด) ที่สำคัญคือ y และบรรดาคนแวดล้อมใกล้ชิด, เปรมและเครือข่าย และบรรดาฮาร์ดไลน์ ใน ปชป. เช่น ชวน บัญญัติ กรณ์

ส่วนอภิสิทธิ์-สุเทพ แม้เริ่มแรกของความขัดแย้งนี้ ระดับ "ฮาร์ดไลน์" จะน้อยกว่าพวกนี้เล็กน้อย แต่เพิ่มมากขึ้นๆ ถึงระดับที่เอาด้วยกับวิธีแก้ปัญหาด้วยการสลายชุมนุมแล้ว

(3) ที่เป็น "ตลกร้าย" (irony) คือ ในซีกรัฐบาล ตัวสำคัญที่มีลักษณะ "ฮาร์ดไลน์" น้อยสุด กลับเป็นอนุพงษ์ ที่นอกจากเสนอให้รัฐบาลพิจารณายุบสภา (ซึ่งเป็นการเสนอที่นับว่าใหญ่มาก แม้อนุพงษ์จะไม่กล้าถึงขนาดออกมาแตกหัก ออกทีวี เสนอให้ยุบ เหมือนสมัยรัฐบาลสมชาย) และเสนอให้แก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมือง

แต่อนุพงษ์เองก็คงไม่สามารถ "เตะถ่วง" การเตรียมสลายการชุมนุมได้ และคงเดินหน้าเตรียมการไปด้วย แม้จะอย่างช้าๆ กว่าที่พวกฮาร์ดไลน์ หรืออภิสิทธิ์-สุเทพ จะชอบใจ

กรณีเอกสาร "เครือข่ายล้มเจ้า" และการพูดที่แวดล้อมในเรื่องนี้ ส่วนหนึ่ง นอกจากเพื่อสร้างข้ออ้างแบบ "ละครแขวนคอ" สำหรับการใช้กำลังปราบแล้ว มีผลในแง่การบีบคนอย่างอนุพงษ์ด้วยว่า ปล่อยให้ "ขบวนการล้มเจ้า" ดำรงอยู่โดยไม่ปราบได้อย่างไร

เหตุที่ขุนทหารอย่างอนุพงษ์ กลายเป็นตัว "เตะถ่วง" การใช้กำลังอาวุธสลายชุมนุม ไม่เกี่ยวกับเรื่องความเป็นคนดีอะไร แต่มาจากโครงสร้างทางการเมืองและอำนาจของสังคมไทยโดยรวม คือ ขณะนี้ เป็นไปไม่ได้ ที่ทหารจะขึ้นกุมอำนาจแท้จริง เป็นหัวหน้ารัฐบาล (ไม่เหมือนสมัยก่อน 14 ตุลา หรือแม้แต่ไม่เหมือนกรณีสุจินดา) ดังนั้น ทหารจึงอยู่ในฐานะเป็นได้เพียง "เบ๊" ของรัฐบาล และกำลังที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล ต่อให้ทำได้สำเร็จ (สลายชุมนุมด้วยอาวุธ) ก็ไม่ได้อะไร คือ ไม่ได้เป็นตัวกุมอำนาจเอง (ไม่เหมือนสมัยก่อน ที่ถ้าทำสำเร็จ ก็ประกาศรัฐประหารเป็นรัฐบาลเองได้) แต่ถ้าล้มเหลว ก็ถูกด่าประณามไป นี่คือ "เหตุผลเชิงโครงสร้าง" ที่ทำให้เห็นเรื่อง irony ที่ อนุพงษ์ กลายเป็น ฮาร์ดไลน์ น้อยที่สุด (แม้แต่ในกรณี 7 ตุลา ที่ y และบรรดาคนใกล้ชิด รวมทั้งพวกพันธมิตร ออกมาโวยวายให้อนุพงษ์ยึดอำนาจ แต่อนุพงษ์ไม่กล้าทำ ก็มาจาก "เหตุผลเชิงโครงสร้าง" แบบเดียวกัน)

(4) ซีกทักษิณและแกนนำฮาร์ดไลน์ นปช. (โดยเฉพาะ จตุพร) ตัดสินใจ "ชน" เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว การ "ชน" อย่างมาก ก็ "เสมอตัว" ไม่เสียมากกว่าที่เป็นอยู่ (พวกเขาไม่ได้เอาเรื่องชีวิตคนที่อาจจะเสียเพิ่มขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญในการคำนวณอยู่แล้ว)

ตัวทักษิณเอง หลังความล้มเหลวเรื่องฎีกา และหลังการถูกยึดทรัพย์แล้ว ก็ไม่มีแรงจูงใจอะไรให้ "ยั้ง" อีก (ก่อนหน้านี้ ยังหวังว่า 2 เรื่องนี้ อาจจะมีสัญญาณประนีประนอมจากอีกฝ่าย)

(5) กำลัง "คนชุดดำ" เป็นของซีกทักษิณ-แกนนำฮาร์ดไลน์ นปช. ค่อนข้างแน่นอน ไม่เพียงดูจากการที่คนเหล่านี้ โจมตีเฉพาะทหารรัฐบาล แต่จะเห็นว่า ขณะที่มีการจับ "แดงปลอม" ในหมู่ผู้ชุมนุมได้ตลอดเวลา กลับไม่สามารถ จับ "คนชุดดำ" ได้สักคนเดียว และการปฏิบัติงานใหญ่โตระดับนี้ (แฝงตัวในหมู่ผู้ชุมนุม โจมตีทหารสำคัญของรัฐบาลด้วยอาวุธ) เป็นไปไม่ได้ที่ระดับทักษิณ และแกนนำ จะไม่รู้เห็นด้วย (ความจริง ผมได้ยินการบอกเล่าในเชิง "ข่าวกรอง" และ "ข้อมูลเชิงลึก" ในทิศทางนี้ด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องยึดถือ "ข่าวกรอง" เหล่านั้น ผมก็ยังเห็นเช่นนี้อยู่เอง)

การโยนระเบิดสถานที่ต่างๆ คงเป็นฝีมือของคนกลุ่มนี้ เพื่อทำให้สถานการณ์เสียเสถียรภาพมากขึ้น

การยิงผุ้ชุมนุมสีลม ก็น่าจะเป็นฝีมือคนกลุ่มนี้ ไม่น่าจะใช่ฝีมือซีกรัฐบาล ไม่ใช่เพราะรัฐบาลสร้างสถานการณ์ไม่เป็น แต่ถ้ารัฐบาลจะสร้างสถานการณ์ด้วยกรณีอย่างสีลม ควรจะต้องมีมาตรการ "ต่อเนื่อง" ซึ่งเห็นได้ว่า ไม่มี

(6) การตัดสินใจ "ชน" ของทักษิณและแกนนำ นปช.ครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจอย่างรู้ตัวว่า กำลังชนกับอะไร เพราะในแง่ทักษิณเอง ดังที่กล่าวข้างต้นว่า "แรงจูงใจ" ที่จะ "ยั้ง" ไม่เหลืออีกแล้ว (ไม่นับความโกรธกรณียึดทรัพย์อีก) ในแง่แกนนำ นปช.หลายคน ก็เช่นกัน การ "ชน" นั้น อย่างแย่สุดสำหรับพวกเขาก็ "เสมอตัว" ไม่แย่ไปกว่าที่เป็นอยู่ หรือไม่แย่กว่าการ "ยอมลง" เพราะถ้ายอมลง ก็โดนคดีต่างๆ เล่นงานหนักแน่

ตั้งแต่เริ่มการชุมนุมใหม่ๆ (ก่อนกรณี 10 เมษา หลายวัน) มี "บทวิเคราะห์" ใน ไทยอีนิวส์ เสนอว่า การรณรงค์ครั้งนี้ ทักษิณรู้ตัวว่า ในที่สุดแล้วจะแพ้ จะถูกปราบ แต่มีเป้าหมายลึกกว่านั้น คือ เพื่อ "ฉีกหน้ากาก" คนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล ดึงให้คนเหล่านั้น "ออกมาเล่นเอง" เพื่อทำให้มวลชนที่สนับสนุน เกิดอาการ "ตาสว่าง" โดยเฉพาะ "ตาสว่าง" ยิ่งกว่าเดือนตุลาคม 2551 เพราะหวังว่า จะทำให้ x ออกมาเอง ผมเห็นว่า บทวิเคราะห์นั้น มีลักษณะ overstated คือ พูดเกินไปอยู่ แต่ไม่ถึงกับ ไม่จริงเสียทีเดียว ผมคิดว่า ส่วนหนึ่งของการตัดสินใจ "ชน" ในขณะนี้ อาจจะไม่ถึงกับเป็นข้อสรุปที่แน่นอนตั้งแต่เริ่มต้นการชุมนุมวันแรกๆ (อย่างที่บทความนั้นเสนอ) แต่อย่างน้อย ต้องเป็นไอเดียประเภท "คาดการณ์" อยู่บ้างแน่นอน แต่หลังการชุมนุมพัฒนาไป และเห็นได้ชัดว่า อีกฝ่าย ไม่มีทีท่าจะยอมประนีประนอม ฝ่ายทักษิณและแกนนำ นปช. ก็ตัดสินใจในทางนี้ แน่นอนแล้ว และไม่ยอม "ลง" เด็ดขาด ไม่ว่าจะมีความเสี่ยงของการเสียชีวิตคนจำนวนมาก (ดังที่กล่าวว่า การเสียชีวิตคน ไม่อยู่ในการคำนวนสำคัญของพวกเขา)

เห็นได้ชัดเช่นกันว่า การตัดสินใจ "ชน" ของทักษิณและแกนนำ นปช. เป็นการตัดสินใจที่รู้ว่าจะ "ชน" กับใคร การพูดถึง "จ.จ." ของจตุพร และการที่วิสา ถึงกับออกมาพูดบนเวที เมื่อวันก่อนว่า "ข่าววงในการประชุมของรัฐบาลว่า....นายอภิสิทธิ์แจ้งที่ประชุมว่า นายปีย์ มาลากุล ได้แจ้งมาว่า ผู้ใหญ่สูงสุดไม่ให้ยุบสภาโดยเด็ดขาด" (ข่าวมติชนออนไลน์ 26 เมษายน เวลา 21.45 น.) แสดงว่า ต้องมีการพูดคุยกันแล้วในเรื่องนี้ในหมู่แกนนำ พูดง่ายๆ คือรู้ดีว่า ข้อเรียกร้องยุบสภา ไม่มีทางสำเร็จ ไม่ว่าจะถึงขั้นปะทะ แต่ก็ยังยืนยันจะปล่อยให้มีการปะทะ โดยถือว่า นี่เป็นการปะทะ หรือ "ชน" กับใครบางคน

"กิจกรรม" ของ จิ๋ว-สมชาย เมื่อหลายวันก่อน เป็นสิ่งที่ต้องมาจากทักษิณแน่นอน เพราะในขณะที่ จิ๋ว อาจจะมี ความเป็นตัวเองอยู่บ้าง สมชาย ไม่มีทางทำอะไรสำคัญๆ โดยไม่ปรึกษาทักษิณแน่ กิจกรรมดังกล่าว คิดว่า เป็นทั้งการที่ทักษิณ "กดดัน" และเป็นทั้งการ "เปิดทางลงให้" ใน "นาทีสุดท้าย" (โดยเฉพาะคงหวังให้ x จะ "บายพาส" y และเครือข่าย) แต่ในเมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับอะไร การตัดสินใจ "ชน" ก็เป็นสิ่งที่ทักษิณ-แกนนำ นปช. เดินหน้าต่อไป

ในบรรดา แกนนำ นปช. คนอย่าง จรัล คงพยายาม ดึงให้ไปสู่ทิศทาง "หาทางลง" การให้สัมภาษณ์ รอยเตอร์ หลัง 10 เมษาไม่กี่วัน และก่อนที่จะมี "ข้อเสนอใหม่ 30 วัน" คงมาจากความพยายามนี้ อันที่จริง เชื่อว่าข้อเสนอ "30 วัน" ส่วนหนึ่ง นอกจากเพื่อเปิดเกมรุกรัฐบาลแล้ว คงเป็นผลมาจากการ "ประนีประนอม" หรือ การที่ฝ่าย ฮาร์ดไลน์ ในแกนนำ ยอม "อ่อน" ให้กับคนอย่างจรัล ในการถกเถียงภายในบ้าง แต่จริงๆ แล้ว เป็นการ "อ่อน" ในลักษณะที่ไม่จริงจังอะไร เพราะข้อเสนอเพิ่มวันเพียง 15 วัน ไม่มีทางนำไปสู่ผลในทางปฏิบัติอะไร โดยเฉพาะถ้าท่าทีทั่วไป เรื่องการยึดราชประสงค์ ยังคงเดิม

(7) ณ วินาทีนี้ สิ่งที่เป็น irony ที่สุด (นอกจากกรณีอนุพงษ์ ที่กล่าวถึงข้างต้น) คือ อาจจะมี เพียง "ปาฏิหาริย์" เท่านั้น ที่สามารถ "หยุด" การนองเลือด ในวินาทีสุดท้ายได้ เพราะไม่มี factor อื่นอีก ที่มี "กำลังภายใน" ในระดับที่สามารถบีบให้ ฮาร์ดไลน์ ทั้ง 2 ซีก ยอม "ถอย" ได้

ผมเชื่อมาสักระยะหนึ่ง และเห็นว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมาในระยะไม่กี่วัน (หรือย้อนหลังไปถึงปลายปีก่อน) ยืนยันความเชื่อนี้ว่า ขณะนี้ "ปาฐิหาริย์" "ไม่ฟังชั่น" (หมดสภาพทำงาน) แล้ว มีลักษณะเป็นเพียง automation (กลไกที่ทำงานโดยอัตโนมัติ) ไม่สามารถมีinitiative เองแล้ว .....

อันที่จริง การที่ "ปาฐิหาริย์" อยู่ข้างเดียวกับซีกรัฐบาล ไม่เป็นที่ต้องสงสัย แต่หาก "ปาฐิหาริย์" ยัง "ฟังชั่น" เหมือนก่อน ก็อาจจะมีความเป็นไปได้เล็กๆ ของการ "ลง" ของ ฮาร์ดไลน์ ทั้งสองฝ่ายได้

(8) ผมเสียใจอย่างไม่สามารถบรรยายเป็นตัวหนังสือได้ ถึงการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงธรรมดาๆ เมื่อ 10 เมษา และความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะมีการเสียชีวิตอีกหลายคน

ตั้งแต่การล่มสลายของขบวนการฝ่ายซ้ายในกลางทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา ที่ "หัว" ของ "พลังประชาธิปไตย" ที่ "หัว" ของความต้องการสิทธิความเป็นคน สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตัวเองของมวลมหาประชาชน ยืนอยู่ด้วยคนที่คุณสมบัติ (credentials) ทางประชาธิปไตย มีอยู่น้อยนิด นี่เป็นความจริงตั้งแต่กรณี 17 พฤษภาคม มาจนถึงสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ....

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker