โดย ลอย ลมบน
เรื่องของความรุนแรงอันมีต้นเหตุมาจากความขัดแย้งทางความคิด ความเห็นต่างทางการเมืองที่เกิดขึ้นทุกวันนี้นั้น แต่ละคนแต่ละฝ่ายก็มีความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป แต่ละคนแต่ละฝ่ายต่างก็มีเหตุผลในความเชื่อของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก เวลาเท่านั้นที่จะเป็นผู้เฉลยความจริงในตอนจบว่าอะไรคืออะไร ใครเป็นใคร และใครทำอะไรเพื่อหวังผลอะไร (หากทุกคนกล้าพูดความจริง)
ชายชุดดำที่ยิงเอ็ม 79 ใส่ทหารในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมานั้น ฝ่ายทหารและรัฐบาลมองว่าคนพวกนี้คือกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธที่กระทำกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง แต่ก็มีคนมองมุมกลับว่าชายชุดดำคือฮี่โร่ที่มาช่วยหยุดความรุนแรงไม่ให้ขยายวงกว้างออกไป เพราะหากวันนั้นไม่มีการยิงกระสุนตอบโต้จากชายชุดดำป่านนี้ผู้ชุมนุมคงบาดเจ็บล้มตายอีกมาก
จากความพยายามทำตามคำสั่งต้องยึดคืนพื้นที่ให้ได้ภายในคืนนั้น
เหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้า จรวดอาร์พีจี ระเบิดเอ็ม 67 เข้าใส่หลายสถานที่ก่อนหน้านี้ ฝ่ายรัฐบาลและทหารบอกว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายที่เชื่อมโยงกับความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง แต่ก็มีข้อโต้แย้งจากอีกฝ่ายว่าเหตุเกิดขึ้นหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ไม่เห็นจับคนทำได้สักคน ทั้งที่การยิงบางครั้งทิ้งหลักฐานเอาไว้มากมาย เช่น กรณียิงจรวดอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหม ที่คนร้ายทิ้งเอาไว้ทั้งรถกะบะ คราบเลือดและอาวุธ หลักฐานขนาดนี้ยังตามจับไม่ได้มันก็น่าสงสัยอยู่
เหตุยิงเอ็ม 79 ใส่กลุ่มคนที่ชุมนุมต่อต้านคนเสื้อแดงที่สีลมเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ก็เช่นกัน รัฐบาลและทหารพยายามชี้ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อการร้ายที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง และจุดยิงก็มาจากฝั่งคนเสื้อแดง แต่ข้อเท็จจริงกลับมีคนเห็นว่าตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ละแวกนั้นไล่กวดจับชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง
ที่สงสัยว่าเป็นผู้ก่อการ ซึ่งวิ่งหลบไปหลังแนวกั้นของทหาร แล้วถูกทหารห้ามว่าไม่ต้องตามแถมยังเอาปืนจ่อหัวตำรวจที่พยายามทำหน้าที่ด้วย ไม่รู้ว่ารัฐบาลและทหารจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร
ประเด็นคำถามสำคัญที่ยังไม่มีใครตอบให้กระจ่างได้เลยก็คือ
ระเบิดเอ็ม 79 จรวดอาร์พีจี ระเบิดขว้างเอ็ม 67 ที่คนร้ายมักใช้ก่อเหตุนั้น
คนกลุ่มไหนหรือใครกันที่มีศักยภาพในการครอบครองและรู้วิธีใช้อาวุธเหล่านี้
มันก็เหมือนวันที่รถของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ถูกยิงถล่มจนพรุนทั้งคันนั่นแหละ เพราะมีทั้งภาพวงจรปิดและหลักฐานต่างๆมากมายแต่คดีก็เงียบหายไปดื้อๆ แถมวันที่ยิงถล่มเป็นช่วงที่ทหารตั้งด่านเต็มบ้านเต็มเมืองตามอำนาจใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลประกาศใช้
แม้ขาใหญ่พันธมิตรฯจะพยายามไล่บี้ให้ตำรวจจับคนยิงและสาวให้ถึงคนสั่ง แต่ก็ยังมีคนใหญ่กว่าทำให้คดีหยุดลงได้ จนวันนี้นายสนธิไม่แน่ใจในความปลอดภัยของตัวเองต้องหายหน้าหายตาไปอยู่ต่างประเทศ
นี่นำเสนอเช่นนี้เพราะอยากให้ฉุกคิดกันไม่ใช่หลงไปกับข่าวสารที่รัฐบาลกรอกใส่หูทุกเช้าเย็น กรอกใส่หูมากเสียจนประชาชนไม่มีเวลาคิดและหลงเชื่อไปกับข้อมูลที่เป็นแค่ความจริงบางด้าน อันไม่ใช่ความจริงทั้งหมดที่ประชาชนควรรู้
เหรียญยังมีสองด้าน ข้อมูลก็ควรเสนอทั้งสองฝั่งให้คนฟัง คนดู คนอ่าน ได้คิดกันเองบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ยัดเยียดแล้วบังคับว่าต้องฟังในสิ่งที่อยากให้ฟัง และต้องเชื่อในสิ่งที่ต้องการให้เชื่อเท่านั้น
เรื่องของความรุนแรงอันมีต้นเหตุมาจากความขัดแย้งทางความคิด ความเห็นต่างทางการเมืองที่เกิดขึ้นทุกวันนี้นั้น แต่ละคนแต่ละฝ่ายก็มีความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป แต่ละคนแต่ละฝ่ายต่างก็มีเหตุผลในความเชื่อของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก เวลาเท่านั้นที่จะเป็นผู้เฉลยความจริงในตอนจบว่าอะไรคืออะไร ใครเป็นใคร และใครทำอะไรเพื่อหวังผลอะไร (หากทุกคนกล้าพูดความจริง)
ชายชุดดำที่ยิงเอ็ม 79 ใส่ทหารในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมานั้น ฝ่ายทหารและรัฐบาลมองว่าคนพวกนี้คือกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธที่กระทำกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง แต่ก็มีคนมองมุมกลับว่าชายชุดดำคือฮี่โร่ที่มาช่วยหยุดความรุนแรงไม่ให้ขยายวงกว้างออกไป เพราะหากวันนั้นไม่มีการยิงกระสุนตอบโต้จากชายชุดดำป่านนี้ผู้ชุมนุมคงบาดเจ็บล้มตายอีกมาก
จากความพยายามทำตามคำสั่งต้องยึดคืนพื้นที่ให้ได้ภายในคืนนั้น
เหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้า จรวดอาร์พีจี ระเบิดเอ็ม 67 เข้าใส่หลายสถานที่ก่อนหน้านี้ ฝ่ายรัฐบาลและทหารบอกว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายที่เชื่อมโยงกับความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง แต่ก็มีข้อโต้แย้งจากอีกฝ่ายว่าเหตุเกิดขึ้นหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ไม่เห็นจับคนทำได้สักคน ทั้งที่การยิงบางครั้งทิ้งหลักฐานเอาไว้มากมาย เช่น กรณียิงจรวดอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหม ที่คนร้ายทิ้งเอาไว้ทั้งรถกะบะ คราบเลือดและอาวุธ หลักฐานขนาดนี้ยังตามจับไม่ได้มันก็น่าสงสัยอยู่
เหตุยิงเอ็ม 79 ใส่กลุ่มคนที่ชุมนุมต่อต้านคนเสื้อแดงที่สีลมเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ก็เช่นกัน รัฐบาลและทหารพยายามชี้ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อการร้ายที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง และจุดยิงก็มาจากฝั่งคนเสื้อแดง แต่ข้อเท็จจริงกลับมีคนเห็นว่าตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ละแวกนั้นไล่กวดจับชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง
ที่สงสัยว่าเป็นผู้ก่อการ ซึ่งวิ่งหลบไปหลังแนวกั้นของทหาร แล้วถูกทหารห้ามว่าไม่ต้องตามแถมยังเอาปืนจ่อหัวตำรวจที่พยายามทำหน้าที่ด้วย ไม่รู้ว่ารัฐบาลและทหารจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร
ประเด็นคำถามสำคัญที่ยังไม่มีใครตอบให้กระจ่างได้เลยก็คือ
ระเบิดเอ็ม 79 จรวดอาร์พีจี ระเบิดขว้างเอ็ม 67 ที่คนร้ายมักใช้ก่อเหตุนั้น
คนกลุ่มไหนหรือใครกันที่มีศักยภาพในการครอบครองและรู้วิธีใช้อาวุธเหล่านี้
มันก็เหมือนวันที่รถของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ถูกยิงถล่มจนพรุนทั้งคันนั่นแหละ เพราะมีทั้งภาพวงจรปิดและหลักฐานต่างๆมากมายแต่คดีก็เงียบหายไปดื้อๆ แถมวันที่ยิงถล่มเป็นช่วงที่ทหารตั้งด่านเต็มบ้านเต็มเมืองตามอำนาจใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลประกาศใช้
แม้ขาใหญ่พันธมิตรฯจะพยายามไล่บี้ให้ตำรวจจับคนยิงและสาวให้ถึงคนสั่ง แต่ก็ยังมีคนใหญ่กว่าทำให้คดีหยุดลงได้ จนวันนี้นายสนธิไม่แน่ใจในความปลอดภัยของตัวเองต้องหายหน้าหายตาไปอยู่ต่างประเทศ
นี่นำเสนอเช่นนี้เพราะอยากให้ฉุกคิดกันไม่ใช่หลงไปกับข่าวสารที่รัฐบาลกรอกใส่หูทุกเช้าเย็น กรอกใส่หูมากเสียจนประชาชนไม่มีเวลาคิดและหลงเชื่อไปกับข้อมูลที่เป็นแค่ความจริงบางด้าน อันไม่ใช่ความจริงทั้งหมดที่ประชาชนควรรู้
เหรียญยังมีสองด้าน ข้อมูลก็ควรเสนอทั้งสองฝั่งให้คนฟัง คนดู คนอ่าน ได้คิดกันเองบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ยัดเยียดแล้วบังคับว่าต้องฟังในสิ่งที่อยากให้ฟัง และต้องเชื่อในสิ่งที่ต้องการให้เชื่อเท่านั้น