แกนนำ นปช.เชื่อรัฐบาลพยายามสลายการชุมนุมภายใน 17.00 น. ของวันนี้ ยืนยันประกาศสู้ทุกรูปแบบด้วยวิธีการที่สันติวิธี ประกาศให้แดงทั่วประเทศสกัดกั้นหากพบกลุ่มทหาร-ตำรวจสมทบกำลังเข้ากรุง..
เมื่อวันที่ 26 เม.ย. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ได้รับรายงานว่ามีกองกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารพร้อมอาวุธสงครามครบมือ เตรียมเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อให้แตกสลายภายในเวลา 17.00 น. วันเดียวกันนี้ หากรัฐบาลยังคิดที่จะใช้วิธีการดังกล่าวเข้ามาทำร้ายประชาชนอีกครั้ง กลุ่ม นปช.จะขอเปิดเกมรุกและโต้ตอบรัฐบาลในทุกวิถีทางโดยยังคงยึดแนวทางสันติวิธี และถ้าคิดที่จะสลายวันนี้จริงก็ให้รีบอย่ารอให้ตะวันตกดินก่อน นอกจากนี้ขอให้พี่น้องประชาชนเสื้อแดงทุกคนทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย หากพบความผิดปกติและเห็นว่ามีหน่วยทหารหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เมื่อใดก็ขอให้ช่วยกันสกัดกั้นเพื่อไม่ให้เข้ามาสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ได้ ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานมาว่าหลายจังหวัดได้เตรียมพร้อมรับมือหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น อาทิ จ.พิษณุโลก นครสวรรค์ และจะมีอีกหลายจังหวัดที่เตรียมพร้อมเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้รัฐบาลคิดร้ายเช่นนี้อีก
ส่วนกรณีที่รัฐบาลพยายามใช้ยุทธการให้กลุ่มทหารขี่รถจักรยานยนต์ไปข่มขู่และคุกคามประชาชนที่มีสัญลักษณ์สีแดงทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น ขอเตือนไปยังรัฐบาลว่าหากไม่หยุดพฤติกรรมดังกล่าว กลุ่ม นปช. จะขอตอบโต้ด้วยการส่งหน่วยหน้าของ นปช.ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปตอบโต้และสกัดกั้นเพื่อให้กลุ่มรถจักรยานยนต์ที่รัฐบาลส่งทหารมากลับสู่กรมกองไปตามเดิม นอกจากนี้ ยังขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยึดหลักหิริโอตตัปปะ ละอายและเกรงกลัวต่อบาป เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ อย่าคิดที่จะสร้างบาปกรรมต่อเพื่อนมนุษย์อีกเลย รวมทั้งขอให้มีความละอายบ้าง หลังประเทศทั่วโลกต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลไทยที่ใช้อาวุธสงครามฆ่าประชาชน
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงการที่นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านพม่า ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศยกตัวอย่างสถานการณ์ในประเทศไทย ว่ามีความเป็นเผด็จการ เพราะรัฐธรรมนูญที่ใช้ในการบริหารประเทศเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐบาลทหาร ดังนั้นจึงขอเรีกยร้องไปยังนายอภิสิทธิ์ ว่าหากมีแนวคิดเช่นเดียวกับนางซูจี ก็ควรยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน แต่หากมีแนวคิดตรงข้ามก็เท่ากับว่านายอภิสิทธิ์ มีแนวคิดเป็นฝั่งทหาร รวมทั้งต้องการจะเข่นฆ่าประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยมือเปล่า.
เมื่อวันที่ 26 เม.ย. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ได้รับรายงานว่ามีกองกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารพร้อมอาวุธสงครามครบมือ เตรียมเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อให้แตกสลายภายในเวลา 17.00 น. วันเดียวกันนี้ หากรัฐบาลยังคิดที่จะใช้วิธีการดังกล่าวเข้ามาทำร้ายประชาชนอีกครั้ง กลุ่ม นปช.จะขอเปิดเกมรุกและโต้ตอบรัฐบาลในทุกวิถีทางโดยยังคงยึดแนวทางสันติวิธี และถ้าคิดที่จะสลายวันนี้จริงก็ให้รีบอย่ารอให้ตะวันตกดินก่อน นอกจากนี้ขอให้พี่น้องประชาชนเสื้อแดงทุกคนทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย หากพบความผิดปกติและเห็นว่ามีหน่วยทหารหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เมื่อใดก็ขอให้ช่วยกันสกัดกั้นเพื่อไม่ให้เข้ามาสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ได้ ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานมาว่าหลายจังหวัดได้เตรียมพร้อมรับมือหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น อาทิ จ.พิษณุโลก นครสวรรค์ และจะมีอีกหลายจังหวัดที่เตรียมพร้อมเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้รัฐบาลคิดร้ายเช่นนี้อีก
ส่วนกรณีที่รัฐบาลพยายามใช้ยุทธการให้กลุ่มทหารขี่รถจักรยานยนต์ไปข่มขู่และคุกคามประชาชนที่มีสัญลักษณ์สีแดงทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น ขอเตือนไปยังรัฐบาลว่าหากไม่หยุดพฤติกรรมดังกล่าว กลุ่ม นปช. จะขอตอบโต้ด้วยการส่งหน่วยหน้าของ นปช.ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปตอบโต้และสกัดกั้นเพื่อให้กลุ่มรถจักรยานยนต์ที่รัฐบาลส่งทหารมากลับสู่กรมกองไปตามเดิม นอกจากนี้ ยังขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยึดหลักหิริโอตตัปปะ ละอายและเกรงกลัวต่อบาป เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ อย่าคิดที่จะสร้างบาปกรรมต่อเพื่อนมนุษย์อีกเลย รวมทั้งขอให้มีความละอายบ้าง หลังประเทศทั่วโลกต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลไทยที่ใช้อาวุธสงครามฆ่าประชาชน
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงการที่นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านพม่า ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศยกตัวอย่างสถานการณ์ในประเทศไทย ว่ามีความเป็นเผด็จการ เพราะรัฐธรรมนูญที่ใช้ในการบริหารประเทศเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐบาลทหาร ดังนั้นจึงขอเรีกยร้องไปยังนายอภิสิทธิ์ ว่าหากมีแนวคิดเช่นเดียวกับนางซูจี ก็ควรยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน แต่หากมีแนวคิดตรงข้ามก็เท่ากับว่านายอภิสิทธิ์ มีแนวคิดเป็นฝั่งทหาร รวมทั้งต้องการจะเข่นฆ่าประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยมือเปล่า.