"พล.อ.ชวลิต" ขำถูกโยงเป็นขบวนการก่อการร้าย เครือข่ายล่มสถาบัน บอกไม่ฟ้องกลับ แต่ประณามคู่หู "มาร์ค-เทือก" อาชญากรโหด สั่งฆ่าคน เผยเตรียมเดินสายพบปะขบวนการผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย-ชาวนา..
เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่พรรคเพื่อไทย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย แถลงกรณีถูกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ระบุว่ามีรายชื่อในโครงข่ายขบวนการล้มล้างสถาบันว่า และเตรียมออกหมายเรียก ว่า ตอนแรกไม่ได้ให้ความสนใจ แต่เมื่อมีผู้ซักถามมาเยอะเลยอยากชี้แจง ในอดีตตนพยายามให้คำแนะนำรัฐบาลเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาบ้านเมือง โดยยึดแนวทางสันติ ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในป่าที่ได้รับการอุปถัมภ์โดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล เกิดความสูญเสียเป็นอย่างมาก เราก็มาช่วยกันภายใต้พระบารมี ทำจนประสบผลสำเร็จ และยังได้ช่วยกันแก้ปัญหาให้พี่น้องรอบประเทศ อาทิ ประเทศมาเลเซีย กัมพูชา พม่า เวียดนาม ซึ่งทั้งหมดเป็นแนวทางสันติวิธี ดังนั้นไม่มีทางที่เราจะคิดเป็นแนวทางอื่น จะไม่ให้มีการเข่นฆ่ากัน
พล.อ.ชวลิต กล่าวต่อว่า สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เหมือนเดินคนละขา สองขา แต่มีแนวทางเหมือนกันคือสถาปนาระบอบประชาธิปไตยให้เกิดให้ได้ ก็เป็นสิ่งที่พรรคได้ยึดถือเป็นแนวทาง ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจน ดังนั้นจึงหัวเราะเมื่อมีข่าวตนไปเป็นหัวหน้าขบวนการก่อการร้าย เพราะเรามีเจตนาแสวงหาหนทางแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
ทั้งนี้ ได้เคยให้ข้อเสนอต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไว้ว่า 1. อยากให้นายกฯ สำนึกในความเป็นผู้นำที่ต้องมีความสนใจ และเข้าใจในจิตใจประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่ใช่มองฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรู 2. ขอให้วิเคราะห์ปัญหาของประเทศให้ดี วันนี้ไม่ใช่ปัญหารัฐธรรมนูญ ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ปัญหาเร่งด่วนคือ ขจัดการกระทบกระทั่งกัน ที่จะเกิดในเร็ววัน เมื่อแถลงข่าวครั้งนั้นก็ได้บอกไปแล้ว หากเราจะตัดวงจรปัญหาก็ทำได้ แต่การวิเคราะห์ปัญหาของนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลไม่ทราบ ทำไมมองปัญหาอื่นสำคัญ จึงทำให้ข้อตกลงยุบสภาฯ ออกมาในเงื่อนเวลาที่แตกต่างกัน เสื้อแดงต้องการเร็วที่สุดซึ่งพรรคเพื่อไทยก็เห็นด้วย ปัจจัยเวลาสำคัญที่สุดไม่ใช่ทิ้งไว้ 9 เดือน ถ้าไม่แก้ไขปัญหาจะยุบสภาฯเพื่ออะไร เรามาพบปะเจรจาเพื่อแก้ปัญหาแผ่นดินและชาติดีกว่า
3. ได้ตำหนิ คือ การสั่งปราบปรามประชาชนโดยไม่คำนึงถึงหลักการและวิธีการ ลดความเสียหาย ค่ำมืดยังใช้กำลัง ตนทราบว่ากองทัพหรือตำรวจไม่ต้องการใช้กำลังปราบปรามแม้แต่น้อย แต่เป็นการสั่งการโดยนายกฯ และรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ทำให้เกิดความเสียหาย
“จากวันนั้นถึงวันนี้ คุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพ เป็นอาชญากร มีจิตใจโหดเหี้ยมเหลือเกิน ไม่เคยปรากฏว่าข้อขัดแย้งจะสร้างความเสียหายเหมือนครั้งนี้ ขอประณามว่าท่านเป็นอาชญากร ที่สั่งฆ่าพี่น้องประชาชน และประชาชนทุกคนโดยเฉพาะญาติมิตร ขอบอกว่าเขาจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ท่านได้รับผลจากการสั่งการที่ร้ายกาจที่สุด แย่ที่สุด เลวร้ายที่สุด" พล.อ.ชวลิต กล่าว
ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า การที่จะปกครองประเทศนี้ เป็นนายกฯ มีอำนาจหน้าที่สมบูรณ์ สามารถแก้ปัญหาได้ทำได้โดยทันทีข้ามคืน ถ้าทำไม่ได้ก็ออกไป เดี๋ยวจะทำให้ดู ขอยืนยันอีกครั้งว่าเรายังยืนยันแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี ทำทุกวิถีทางเพื่อนำความสงบสุขมาสู่บ้านเมืองของเรา
ส่วนที่ว่ารัฐบาลรวบรวมหลักฐานและนำไปโยงกับการก่อการร้าย พล.อ.ชวลิตตอบว่า วันนี้เป็นการกล่าวหา ถ้าเป็นคนที่มีความเข้าใจในปัญหา ไม่อยากใช้ว่าเป็นผู้ดี ก็จะไม่ใช้วิธีการอย่างนี้ หากแผ่นชาร์ตนั้นออกมาจริง ถือว่าน่าเศร้าใจมาก สำหรับฝ่ายการข่าวของ ศอฉ.ถือว่าสับสันมาก เมื่อถามว่าจะฟ้องร้องหรือไม่ พล.อ.ชวลิตตอบว่า ไม่เคยฟ้องใครเลยในชีวิตนี้ นอกจากน้องชายที่น่ารักคนหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็ถอนฟ้อง เรื่องนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะไปฟ้องร้อง
เมื่อถามว่า ความหวังพึ่งพระบารมียังมีอยู่หรือไม่ พล.อ.ชวลิตตอบว่า "การแถลงข่าววันนี้ผมขอพระบารมีปกเกล้าฯ ที่เราถือว่าเสด็จพ่อ เป็นสถาบันที่เราเคารพเป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์ ยึดถือเป็นอเนกนิกรสโมสรสมมุติ ถือเป็นสถาบันที่เราเคารพ เหมือนเราไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่หลังไมค์ น้องนักข่าวถามไม่อยากเข้าเฝ้าฯ หรือ ก็ตอบอยากเข้าเฝ้าฯ เป็นธรรมดา วันนี้ก็ยังยืนยันว่าอยากไปกราบพระบาทปัญหาให้ทรงทราบ ถ้าทำได้นะครับ ก็ถามอีกว่าจะติดต่อองคมนตรีคนไหน ก็บอกไม่ได้ ต้องติดต่อสำนักราชเลขาฯ ก็พูดแค่นั้น แต่ข่าวกลายเป็นว่าผมขอเข้าเฝ้าฯผ่านสื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะถูกต้อง แต่ก็กัดฟันอดทนไม่ยอมอธิบาย แต่จิตใจบริสุทธิ์ทุกท่านคงทราบดี"
เมื่อถามว่า วันนี้ยังคงยืนยันจะขอเข้าเฝ้าฯอยู่ใช่หรือไม่ พล.อ.ชวลิตตอบว่า "เมื่อนำความกราบบังคมทูลไปแล้ว ล่อกแล่กไม่ได้ และเห็นว่าถ้ามีพระมหากรุณาธิคุณอย่างนั้นได้จริง ความจริงเราก็ห่วงใยเสด็จพ่ออยู่มาก ท่านทรงเหนื่อย และทรงพระประชวรอยู่ พวกเรามองดูแล้วก็น้ำตาไหล ทุกคนก็เข้าใจดี หากเข้าแล้วเป็นประโยชน์ก็จะไปกราบพระบาท ถ้าไปแล้วไปรบกวนพระราชหฤทัย คงต้องละไว้ก่อน"
พล.อ.ชวลิต กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 29 เม.ย.นี้ ขบวนการผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยทั้งประเทศ และกลุ่มชาวนาผู้ใช้แรงงาน จะไปรวมตัวที่ ร.ร.รัตนโกสินทร์ เขาขอให้ตนช่วยเหลือ ก็เป็นความจำเป็น ที่เรามีความผูกพันกันเขาไว้ใจตนและตนไว้ใจเขา เขาเชิญมาก็ต้องไป และจะต้องแลกเปลี่ยนกันว่าบ้านเมืองมีอะไรเกิดขึ้น โดยมีเป้าหมายคือทำอย่างไรให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นไปอย่างสันติวิธี นอกจากกลุ่มพวกนี้ยังมี 16 ชนเผ่าภาคเหนือ เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ไวต่อการเมืองปกครอง เพราะเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เราก็ได้สัมผัส จัดตั้งสมัชชา โดยพรรคเพื่อไทยเหมือนกัน แต่ไม่ได้บอกใคร แต่ควบคุมแนวคิดเขาให้อยู่ในแนวทาง เช่นเดียวกับปัญหา 3 จังหวัดใต้ที่มีปัญหา ก็เป็นเราที่ลงไปเพื่อแก้ปัญหาหวังสร้างสันติให้ได้.
เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่พรรคเพื่อไทย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย แถลงกรณีถูกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ระบุว่ามีรายชื่อในโครงข่ายขบวนการล้มล้างสถาบันว่า และเตรียมออกหมายเรียก ว่า ตอนแรกไม่ได้ให้ความสนใจ แต่เมื่อมีผู้ซักถามมาเยอะเลยอยากชี้แจง ในอดีตตนพยายามให้คำแนะนำรัฐบาลเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาบ้านเมือง โดยยึดแนวทางสันติ ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในป่าที่ได้รับการอุปถัมภ์โดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล เกิดความสูญเสียเป็นอย่างมาก เราก็มาช่วยกันภายใต้พระบารมี ทำจนประสบผลสำเร็จ และยังได้ช่วยกันแก้ปัญหาให้พี่น้องรอบประเทศ อาทิ ประเทศมาเลเซีย กัมพูชา พม่า เวียดนาม ซึ่งทั้งหมดเป็นแนวทางสันติวิธี ดังนั้นไม่มีทางที่เราจะคิดเป็นแนวทางอื่น จะไม่ให้มีการเข่นฆ่ากัน
พล.อ.ชวลิต กล่าวต่อว่า สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เหมือนเดินคนละขา สองขา แต่มีแนวทางเหมือนกันคือสถาปนาระบอบประชาธิปไตยให้เกิดให้ได้ ก็เป็นสิ่งที่พรรคได้ยึดถือเป็นแนวทาง ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจน ดังนั้นจึงหัวเราะเมื่อมีข่าวตนไปเป็นหัวหน้าขบวนการก่อการร้าย เพราะเรามีเจตนาแสวงหาหนทางแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
ทั้งนี้ ได้เคยให้ข้อเสนอต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไว้ว่า 1. อยากให้นายกฯ สำนึกในความเป็นผู้นำที่ต้องมีความสนใจ และเข้าใจในจิตใจประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่ใช่มองฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรู 2. ขอให้วิเคราะห์ปัญหาของประเทศให้ดี วันนี้ไม่ใช่ปัญหารัฐธรรมนูญ ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ปัญหาเร่งด่วนคือ ขจัดการกระทบกระทั่งกัน ที่จะเกิดในเร็ววัน เมื่อแถลงข่าวครั้งนั้นก็ได้บอกไปแล้ว หากเราจะตัดวงจรปัญหาก็ทำได้ แต่การวิเคราะห์ปัญหาของนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลไม่ทราบ ทำไมมองปัญหาอื่นสำคัญ จึงทำให้ข้อตกลงยุบสภาฯ ออกมาในเงื่อนเวลาที่แตกต่างกัน เสื้อแดงต้องการเร็วที่สุดซึ่งพรรคเพื่อไทยก็เห็นด้วย ปัจจัยเวลาสำคัญที่สุดไม่ใช่ทิ้งไว้ 9 เดือน ถ้าไม่แก้ไขปัญหาจะยุบสภาฯเพื่ออะไร เรามาพบปะเจรจาเพื่อแก้ปัญหาแผ่นดินและชาติดีกว่า
3. ได้ตำหนิ คือ การสั่งปราบปรามประชาชนโดยไม่คำนึงถึงหลักการและวิธีการ ลดความเสียหาย ค่ำมืดยังใช้กำลัง ตนทราบว่ากองทัพหรือตำรวจไม่ต้องการใช้กำลังปราบปรามแม้แต่น้อย แต่เป็นการสั่งการโดยนายกฯ และรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ทำให้เกิดความเสียหาย
“จากวันนั้นถึงวันนี้ คุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพ เป็นอาชญากร มีจิตใจโหดเหี้ยมเหลือเกิน ไม่เคยปรากฏว่าข้อขัดแย้งจะสร้างความเสียหายเหมือนครั้งนี้ ขอประณามว่าท่านเป็นอาชญากร ที่สั่งฆ่าพี่น้องประชาชน และประชาชนทุกคนโดยเฉพาะญาติมิตร ขอบอกว่าเขาจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ท่านได้รับผลจากการสั่งการที่ร้ายกาจที่สุด แย่ที่สุด เลวร้ายที่สุด" พล.อ.ชวลิต กล่าว
ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า การที่จะปกครองประเทศนี้ เป็นนายกฯ มีอำนาจหน้าที่สมบูรณ์ สามารถแก้ปัญหาได้ทำได้โดยทันทีข้ามคืน ถ้าทำไม่ได้ก็ออกไป เดี๋ยวจะทำให้ดู ขอยืนยันอีกครั้งว่าเรายังยืนยันแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี ทำทุกวิถีทางเพื่อนำความสงบสุขมาสู่บ้านเมืองของเรา
ส่วนที่ว่ารัฐบาลรวบรวมหลักฐานและนำไปโยงกับการก่อการร้าย พล.อ.ชวลิตตอบว่า วันนี้เป็นการกล่าวหา ถ้าเป็นคนที่มีความเข้าใจในปัญหา ไม่อยากใช้ว่าเป็นผู้ดี ก็จะไม่ใช้วิธีการอย่างนี้ หากแผ่นชาร์ตนั้นออกมาจริง ถือว่าน่าเศร้าใจมาก สำหรับฝ่ายการข่าวของ ศอฉ.ถือว่าสับสันมาก เมื่อถามว่าจะฟ้องร้องหรือไม่ พล.อ.ชวลิตตอบว่า ไม่เคยฟ้องใครเลยในชีวิตนี้ นอกจากน้องชายที่น่ารักคนหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็ถอนฟ้อง เรื่องนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะไปฟ้องร้อง
เมื่อถามว่า ความหวังพึ่งพระบารมียังมีอยู่หรือไม่ พล.อ.ชวลิตตอบว่า "การแถลงข่าววันนี้ผมขอพระบารมีปกเกล้าฯ ที่เราถือว่าเสด็จพ่อ เป็นสถาบันที่เราเคารพเป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์ ยึดถือเป็นอเนกนิกรสโมสรสมมุติ ถือเป็นสถาบันที่เราเคารพ เหมือนเราไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่หลังไมค์ น้องนักข่าวถามไม่อยากเข้าเฝ้าฯ หรือ ก็ตอบอยากเข้าเฝ้าฯ เป็นธรรมดา วันนี้ก็ยังยืนยันว่าอยากไปกราบพระบาทปัญหาให้ทรงทราบ ถ้าทำได้นะครับ ก็ถามอีกว่าจะติดต่อองคมนตรีคนไหน ก็บอกไม่ได้ ต้องติดต่อสำนักราชเลขาฯ ก็พูดแค่นั้น แต่ข่าวกลายเป็นว่าผมขอเข้าเฝ้าฯผ่านสื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะถูกต้อง แต่ก็กัดฟันอดทนไม่ยอมอธิบาย แต่จิตใจบริสุทธิ์ทุกท่านคงทราบดี"
เมื่อถามว่า วันนี้ยังคงยืนยันจะขอเข้าเฝ้าฯอยู่ใช่หรือไม่ พล.อ.ชวลิตตอบว่า "เมื่อนำความกราบบังคมทูลไปแล้ว ล่อกแล่กไม่ได้ และเห็นว่าถ้ามีพระมหากรุณาธิคุณอย่างนั้นได้จริง ความจริงเราก็ห่วงใยเสด็จพ่ออยู่มาก ท่านทรงเหนื่อย และทรงพระประชวรอยู่ พวกเรามองดูแล้วก็น้ำตาไหล ทุกคนก็เข้าใจดี หากเข้าแล้วเป็นประโยชน์ก็จะไปกราบพระบาท ถ้าไปแล้วไปรบกวนพระราชหฤทัย คงต้องละไว้ก่อน"
พล.อ.ชวลิต กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 29 เม.ย.นี้ ขบวนการผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยทั้งประเทศ และกลุ่มชาวนาผู้ใช้แรงงาน จะไปรวมตัวที่ ร.ร.รัตนโกสินทร์ เขาขอให้ตนช่วยเหลือ ก็เป็นความจำเป็น ที่เรามีความผูกพันกันเขาไว้ใจตนและตนไว้ใจเขา เขาเชิญมาก็ต้องไป และจะต้องแลกเปลี่ยนกันว่าบ้านเมืองมีอะไรเกิดขึ้น โดยมีเป้าหมายคือทำอย่างไรให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นไปอย่างสันติวิธี นอกจากกลุ่มพวกนี้ยังมี 16 ชนเผ่าภาคเหนือ เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ไวต่อการเมืองปกครอง เพราะเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เราก็ได้สัมผัส จัดตั้งสมัชชา โดยพรรคเพื่อไทยเหมือนกัน แต่ไม่ได้บอกใคร แต่ควบคุมแนวคิดเขาให้อยู่ในแนวทาง เช่นเดียวกับปัญหา 3 จังหวัดใต้ที่มีปัญหา ก็เป็นเราที่ลงไปเพื่อแก้ปัญหาหวังสร้างสันติให้ได้.