บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

แถลงการณ์‘บิ๊กจิ๋ว’ (2)

ที่มา บางกอกทูเดย์


“พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พูดค้างถึงการสร้างความเห็นถูก “สัมมาทิฐิ” ด้วยแก้ไขความคิด ให้ถูกต้อง และมีความจงรักภักดีอย่างมีวิชชา
ซึ่งวันนี้จะมาพูดกันต่อในเรื่องที่ว่า...เพื่อรักษาความมั่นคงแด่สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกต้อง และนำไปสู่ความสำเร็จของการสร้างประชาธิปไตย จะต้องทำ

กันอย่างไรโดยได้กำลังมีการพูดมาถึงในข้อที่ 3. คือ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงใช้อำนาจผ่าน 3 ทาง คือ ทางคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล ตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ซึ่งตามธรรมชาติและข้อเท็จจริง...สถาบันใดใช้อำนาจ สถาบันนั้นอยู่ในการเมือง ดังนั้น เมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่าน 3 ทาง ดังที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ก็แสดงว่า...พระมหากษัตริย์อยู่ในการเมือง ไม่ได้อยู่นอกการเมือง หรือไม่ได้อยู่

เหนือการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น การกล่าวว่า...สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่นอกการเมือง หรืออยู่เหนือการเมือง หรือไม่เกี่ยวกับการเมืองนั้น...เป็นการกล่าวที่ผิดหลักวิชารัฐศาสตร์ ผิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ผิดข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่ และการกล่าวเช่นนั้นเป็นการลิดรอนพระราชอำนาจ...ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยไม่รู้ตัว...เพราะไม่มีประมุขประเทศใดในโลกไม่มีอำนาจของประมุข ไม่ว่าจะเป็นประเทศราชอาณาจักรหรือไม่ใช่ประเทศราชอาณาจักร...

ประเทศที่มีรูปของประเทศ (FORM OF COUNTRY) เป็นแบบราชอาณาจักร สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในฐานะประมุขแห่งรัฐ หรือประมุขของประเทศ มีพระราชอำนาจในการทรงแต่งตั้ง ถอดถอน ประมุขทางการเมืองเช่น นายกรัฐมนตรี ประธานสภา และประธานศาลฎีกา อย่างเด็ดขาดสมบูรณ์บริบูรณ์ ถ้าประเทศใดมีรูปของประเทศเป็นแบบอื่นสถาบันที่เป็นประมุขก็จะมีอำนาจเช่นเดียวกัน....ไม่ใช่เป็นเพียงตรายาง คือ มีแค่ตำแหน่งแต่ไม่มีอำนาจ

ปัจจุบันรัฐธรรมนูญไทยยังลิดรอนพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ ในฐานะประมุขแห่งรัฐอยู่อย่างมากมาย4. ประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น ดีกว่าประเทศที่ มีสถาบันอื่นเป็นประมุข ดังเช่น สถานการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมนี โดยการนำของ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ซึ่งเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้นำสูงสุด หรือประธานาธิบดี...เขาได้นำเยอรมันเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และทำสงครามจนพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ “อดอล์ฟ ฮิต

เลอร์” ยังไม่ยอมแพ้ จึงถูกโจมตีจนกรุงเบอร์ลินแหลกละเอียด ประชาชนล้มตายมหาศาล แม้ “นายพลรอมเมล” สิงห์ทะเลทราย จะลอบสังหารฮิตเลอร์ เพื่อยุติสงครามกลับถูกจับและสั่งให้กินยาตาย เยอรมนีพินาศย่อยยับ...ฮิตเลอร์ยิงตัวตายในห้องใต้ดิน เยอรมนีย่อยยับ...เพราะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขญี่ปุ่น...พ่ายแพ้แล้วโดยถูกทิ้งระเบิดปรมาณูที่ เมืองฮิโรชิมา และ เมืองนางาซากิ...นายกรัฐมนตรี “จอมพลโตโจ” ไม่ยอมแพ้จะสู้ต่อ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นถูกระเบิด

ปรมาณูจนจมหายไปในมหาสมุทรแปซิฟิก คนญี่ปุ่นล้มตายมหาศาล แต่ “สมเด็จพระจักรพรรดิ” แห่งญี่ปุ่น ทรงมีพระบรมราชโองการปลด “นายพลโตโจ” แล้วทรงตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทน สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงยุติลง...ญี่ปุ่นจึงยังไม่พังพินาศ ย่อยยับ เพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอิตาลี...ก็แพ้แล้วเช่นกัน “มุสโสลินี” นายกรัฐมนตรีจะไม่ยอมแพ้...จึงถูกปลดโดย “พระเจ้า วิคเตอร์ เอ็มมานูเอล” และทรงตั้งนายพลทหารเรือคนหนึ่งเป็นนายกฯ ครั้งนั้น

จึงสามารถยุติสงครามโลกลงได้...อิตาลีไม่ย่อยยับเพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์ประเทศไทย...เพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจึงสามารถรักษาเอกราชและชาติบ้านเมืองให้รอดพ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ ทั้งจากภัยลัทธิล่าอาณานิคม ลัทธิคอมมิวนิสต์ และภัยทุกชนิด โดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2ดังนั้น เราจึงต้องพิทักษ์และเทิดทูน “สถาบันพระมหากษัตริย์” ไว้เป็นประมุขของประเทศไทยตลอดไป และต้องทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ มีพระ

ราชอำนาจอย่างสมบูรณ์ ตามหลักวิชาการเมืองการปกครองที่ถูกต้อง5. สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในฐานะประมุขแห่งรัฐ...มีคุณูปการต่อประชาชนอย่างยิ่ง คือ เพราะประเทศไทยมีการปกครองระบอบเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการรัฐสภา หรือเผด็จการรัฐประหาร เป็นธรรมดาที่เมื่อฝ่ายใดได้อำนาจ...ก็จะเผด็จการอย่างเต็มที่ ซึ่งจะก่อความเดือดร้อน และความเสียหายต่อประเทศชาติ แต่พระมหากษัตริย์ทรงคานและคัดค้านการใช้อำนาจเผด็จการ ให้ลดความรุนแรงเลว

ร้ายน้อยลง เช่น ทรงยุติวิกฤติชาติ ยุติการฆ่าฟันประชาชน ในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ นี่เป็นการเมืองที่ถูกต้องใช่หรือไม่6. สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสถาบันแห่งความยุติธรรมทางการเมือง...จึงทรงสามารถยุติความแตกแยก ขัดแย้ง ฆ่าฟันกันทางการเมือง ในขณะที่ไม่มีสถาบันใดจะยุติสถานการณ์ได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าสถาบันกองทัพ สถาบันรัฐบาล และสถาบันรัฐสภา ดังเช่นเหตุการณ์ 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬโดยเฉพาะในเหตุการณ์พฤษ

ภาทมิฬ...ทรงแสดงความเป็นสถาบันที่ทรงความยุติธรรมทางการเมือง โดยทรงรับสั่งให้ทั้งฝ่าย “พล.อ.สุจินดา คราประยูร” และฝ่าย “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” เข้าเฝ้าพร้อมกัน แล้วทรงตรัสให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันยุติวิกฤติการณ์...จึงสามารถยุติสถานการณ์วิกฤติ ลงได้อย่างเบ็ดเสร็จสิ้นเชิง นี่คือ บทบาททางการเมืองของสถาบันพระมหากษัตริย์ใช่หรือไม่ ถ้าไม่มีบทบาทดังกล่าวแล้วจะเกิดอะไรขึ้น จะไม่เกี่ยวกับการเมืองได้อย่างไร7. ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์เคยเรียกร้อง

รัฐบาลพระราชทาน ตามมาตรา 7 และพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า...รัฐธรรมนูญมาตรา 7 ไม่ได้บัญญัติไว้ให้อำนาจพระมหากษัตริย์ ในการพระราชทานรัฐบาลพระราชทาน แต่การที่กระผมได้ขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณ พระบารมีปกเกล้าฯให้กับประชาชนทั้งประเทศ โดยที่ยังไม่ได้มีพระราชวินิจฉัยใดๆ ทั้งสิ้นว่าเป็นเช่นไร แล้วทำไมจึงมีการออกมาวิพากษ์วิจารณ์กระผมก่อน...มิเป็นการละเมิดพระบรมราชวินิจฉัย และพระราชอำนาจหรือ ฯพณฯ อภิสิทธิ์ และ ฯพณฯ สุ

เทพ ได้เคยเสนอจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ เมื่อครั้งซาวเสียงผู้ควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมกับ ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช แต่ต่อมาก็ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ตามพระราชดำรัส “รู้รักสามัคคี” และต่อมายังได้ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงว่า...ไม่ได้เคยเสนอรัฐบาลแห่งชาติ ทำให้เห็นว่าท่านไม่มีจุดยืน เพื่อประโยชน์ชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง สองมาตรฐานหรือไม่ครับ...ท่านสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์!

(ติดตามตอนต่อไป)
นิรนาม นิรกาย

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker