เพราะในวันนี้มองไม่เห็นเอกภาพใดๆเลย แม้แต่กระทั่งใน ศอฉ.เองก็ตามการที่มีบรรดานายทหารระดับสูง ออกมาสะท้อนความรู้สึกที่ว่า ขณะนี้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก รู้สึกอึดอัดต่อการแก้ปัญหาสถานการณ์ชุมนุมของ นปช.มาก เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ จะกล่าวในที่ประชุม ศอฉ.ทุกครั้ง ว่าให้กองทัพเร่งรัดสลายชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงโดยเร็ว สะท้อนว่านายอภิสิทธิ์ พยายามจะใช้ทหารในฐานะเป็นกลไกของรัฐเป็นเครื่องมือดำเนินการ ในขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ พยายามแสดงจุดยืนว่าการแก้ปัญหาไม่ใช่ให้ทหารนำกำลังพร้อมอาวุธไปปราบประชาชน เพราะย่อมมีการสูญเสียชีวิตได้ ไม่เกิดประโยชน์อะไรสำนวนไทยที่ว่า “ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง เหมือนลิงแก้แห” ดูเหมือนว่า จะสะท้อนภาพที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)เพราะแหที่ลิงพยายามแก้ พยายามดึงนั้น ยิ่งพันยุ่งเหยิงและมัดตัวลิงมากยิ่งขึ้นได้แต่เป็นห่วงว่า สุดท้ายจะไม่จบเหมือนใน
นิทานภาษิตสอนใจ ที่แหพันตัวลิงจนดิ้นตกน้ำ ช่วยตัวเองไม่ได้ กลายเป็นเรื่องน่าเศร้าซึ่งความต้องการของการใช้ กลไก ศอฉ. เป็นเครื่องมือหลักในการที่จะสลายการชุมนุม ทวงคืนพื้นที่ราชประสงค์คืนจากผู้ชุมนุมเสื้อแดงให้ได้นั้น กำลังกลายเป็นสร้างเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นมาอีรุงตุงนังมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆที่น่ากลัวที่สุดคือ ยิ่งทำยิ่งกลายเป็นการแบ่งแตกแยกขั้วในสังคมไทยมากขึ้นหรือไม่???ตรงนี้ทั้งนายอภิสิทธิ์ ทั้ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่น
คง และ 2 โฆษกสำคัญของ ศอฉ. คือ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด และ นายปณิธาน วัฒนายากรทั้งหมดควรจะตั้งสติให้มากๆ และใคร่ครวญไตร่ตรองให้จงหนัก ว่า การสลายการชุมนุมแล้ว จะสามารถยุติปัญหาวิกฤติของบ้านเมืองได้จริงๆ หรือการยึดคืนพื้นที่สี่แยกราชประสงค์ โดยไม่ให้มีการเสียเลือดเสียเนื้อ หรือว่าเกิดการสูญเสียของฝ่ายใดๆ ก็ตามซ้ำรอย 10 เมษายนนั้น เป็นไปได้จริงๆ หรือหากเกิดการสูญเสียชีวิตไม่ว่าจะกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง กลุ่มทหารตำรวจเจ้า
หน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน รวมไปทั้งประชาชนกลุ่มอื่นๆ นั้น ไม่เพียงแค่คำถามว่า “รัฐบาล และ ศอฉ. รับผิดชอบไหวหรือ?” เท่านั้น แต่ยังตามมาด้วยคำถามที่ว่าจะยุติความแตกแยกได้อย่างไร?!?มองไม่เห็นหนทางเลยจริงๆ เพราะทั้ง นปช. และกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันนี้ก็ยืนยันว่า เป็นการชุมนุมเพื่อเรียกร้องทวงคืนประชาธิปไตย ในขณะที่รัฐบาล และ ศอฉ. ก็บอกว่าต้องทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ โดยกฎหมายที่ต้องการทำให้ศักดิ์สิทธิ์ แต่บังเอิญดันเป็น พ.ร.ก.การบริหาร
สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ซึ่งบรรดาประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย จะไม่ถือว่าเป็นกฎหมายลักษณะนี้ เป็นกฎหมายพื้นฐานตามสิทธิมนุษยชนเสียด้วยนี่แหละที่บอกว่า ยิ่งทำยิ่งยุ่งเหมือนลิงแก้แห เพราะไปตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าประกาศใช้กฎหมายภาวะฉุกเฉิน ประกาศใช้กฎอัยการศึกแล้ว ทุกอย่างต้องยุติได้ด้วยอำนาจกฎหมายพิเศษบังเอิญมาเกิดขึ้นในยุคที่ประชาธิปไตยเฟื่องฟูไปทั่วโลกแล้ว อำนาจกฎหมายติดหนวดในอดีตจึงไม่เป็นที่เกรงขามของกลุ่มผู้ชุมนุมทวง
คืนประชาธิปไตย ซึ่งมั่นใจว่า เป็นการใช้สิทธิตามวิถีทางประชาธิปไตย สุดท้าย ก็เลย“ยุ่งตายห่ะ” เหมือนสำนวนของนักการเมืองอาวุโส อดีตประธานสภาผู้วายชนม์ ประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ เคยพูดติดปากไว้ไม่มีผิดเสียดายว่า นายอภิสิทธิ์ อาจจะเกิดไม่ทัน จึงไม่มีภูมิความรู้ทางการเมืองในเรื่องนี้เพียงพอ ในขณะที่นายสุเทพ แม้จะเกิดทัน แต่ในภาวะที่ไม่ปกติจนหน้าเคร่งเครียดไม่เว้นแต่ละวัน จึงอาจจะลืมเลือน เลยไม่ได้เตือนนายอภิสิทธิ์ ในประเด็นที่ว่า ยิ่งดึงดันจะยิ่ง
ยุ่งเพราะในวันนี้มองไม่เห็นเอกภาพใดๆ เลย แม้แต่กระทั่งใน ศอฉ. เองก็ตามการที่มีบรรดานายทหารระดับสูง ออกมาสะท้อนความรู้สึกที่ว่า ขณะนี้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก รู้สึกอึดอัดต่อการแก้ปัญหาสถานการณ์ชุมนุมของ นปช.มาก เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ จะกล่าวในที่ประชุม ศอฉ.ทุกครั้ง ว่าให้กองทัพเร่งรัดสลายชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงโดยเร็ว สะท้อนว่านายอภิสิทธิ์ พยายามจะใช้ทหารในฐานะเป็นกลไกของรัฐ
เป็นเครื่องมือดำเนินการ ในขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ พยายามแสดงจุดยืนว่า การแก้ปัญหาไม่ใช่ให้ทหารนำกำลังพร้อมอาวุธไปปราบประชาชน เพราะย่อมมีการสูญเสียชีวิตได้ ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่หากสามารถแยกประชาชนผู้บริสุทธิ์ออกจากกลุ่มที่ติดอาวุธได้ อย่างนั้นทหารก็พร้อมทำหน้าที่ “วันนี้รัฐบาลควรแก้ปัญหาให้สถานการณ์ของประเทศยุติความรุนแรงให้ได้ก่อนสิ่งที่รัฐบาลพยายามพูดว่าต้องรักษานิติรัฐ แต่ขณะนี้มีคนตายจำนวนมากทั้งเสื้อแดง ทหาร และคน
หลากสี ไม่รู้ว่าจะรอให้เกิดมิคสัญญีก่อนหรือถึงจะหาทางยุติปัญหา” คือความรู้สึกของนายทหารที่ นายอภิสิทธิ์ และคนรอบข้างควรที่จะรับฟังบ้างเพราะในความเป็นจริงที่ต้องยอมรับสำหรับสถานการณ์ขณะนี้ บรรดาผบ.เหล่าทัพเห็นตรงกันว่าแนวทางการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ การเจรจา รัฐบาลต้องยอมเสียสละ (บ้าง) เพื่อให้บ้านเมืองกลับมาสู่ภาวะปกติให้ได้โดยเร็ว กรอบเจรจาจะกำหนดเงื่อนไขยุบสภาภายในกี่เดือนก็ต้องหารือกันไป รัฐบาลไม่ควรรีบปฏิเสธการหา
ทางออกร่วมกันตามที่แกนนำเสื้อแดงเสนอ แต่สามารถต่อรองกรอบเวลาให้ชัดเจน และรัฐบาลต้องยอมเสียสละบ้าง เพื่อให้คลี่คลายปัญหาบ้านเมืองเวลานี้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ การกระทำของรัฐบาล และ ศอฉ. คือ การอ้างแต่ว่าต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายภาวะฉุกเฉินทั้งๆ ที่หากยกเลิกกฎหมายภาวะฉุกเฉินที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์เสียให้หมด ใช้เพียงกฎหมายพื้นฐานตามประชาธิปไตยที่แท้จริง รัฐบาลเองก็จะไม่รู้สึกกดดันว่าต้องทำอะไรเพื่อรักษาหน้า
รักษากฎหมายของตัวเองก็ขนาดที่มีข่าวหลุดออกมาว่า ขณะนี้แม้แต่ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการ ผบ.ตร. ยังทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการที่จะให้จัดการกับผู้ชุมนุม หรือสลายการชุมนุมนั้น จะต้องทำหนังสือสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้นยังไม่เพียงพอที่จะสะท้อนอีกหรือว่า ทั้ง ผบ.ทบ. และ รรท.ผบ.ตร. อึดอัดกับวิธีคิดว่า จะต้องสลายการชุมนุมเพราะด้วยประสบการณ์ในหน้าที่ราชการที่กว่าจะขึ้นมาสู่จุดสูง จนใกล้จะเกษียณอายุราชการในสิ้น
เดือนกันยายนนี้ของคนทั้งคู่แล้วย่อมรู้ดีว่า สลายการชุมนุมเมื่อไหร่ ก็ต้องมีการสูญเสียเมื่อนั้นที่สำคัญเมื่อหัวใจไม่ยอมรับ หัวใจไม่ยอมสยบ อย่าได้หวังเลยว่าการชุมนุมจะยุติดีไม่ดีหากบาดเจ็บล้มตายมากๆ ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะลงใต้ดินเล่นไม่เลิก หรือไม่เช่นนั้นก็จะมีการแปลงรูปจากเสื้อสีแดงไปเป็นสีอื่นใดก็ได้ เพราะกลยุทธ์เช่นนี้ไม่ใช่กลยุทธ์แปลกใหม่ใดๆ เลยเสื้อหลากสี ในวันนี้ ก็แปลงรูปมาจากม็อบพันธมิตรเดิมนั่นเอง เพราะ น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์
เป็นหลักฐานที่ชัดเจน เนื่องจากเป็น ม็อบพันธมิตรเก่าเสื้อสีน้ำเงิน ที่เชื่อกันว่า เป็นกลไกของ นายเนวิน ชิดชอบ ผู้ถูกเว้นวรรคทางการเมืองแต่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ทุกรูปแบบ ซึ่งมีภาพปรากฏชัดเมื่อครั้งนายเนวิน ไปบัญชาการและตรวจสอบปฏิบัติการที่พัทยา มาในวันนี้เสื้อสีน้ำเงินก็แปลงรูปไปแฝงในฝูงชนแล้วเช่นกันแม้แต่ม็อบพันธมิตรอีกส่วนหนึ่งยังแปลงรูปไปเป็นพรรคการเมืองใหม่เลยดังนั้นนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และแกนนำ ศอฉ. เคยคิดเรื่องการแปลงรูป
แปลงสีเสื้อแต่ยังคงต่อสู้ด้วยอุดมการณ์เดิมบ้างหรือไม่???หากยังไม่คิดก็คิดเสียเถิด เพราะยังไม่สายเกินไปที่จะกลับลำการที่ดึงดันจะสลายการชุมนุม ได้ลากให้เกิดภาพสะท้อนที่กระทบไปทั่วแล้วในเวลานี้กลุ่มคนเสื้อแดงก็พยายามย้ำมาตลอดว่า รัฐบาลไม่ควรพยายามสร้างภาพผูกขาดการจงรักภักดีเอาไว้เฉพาะกลุ่ม แล้วกล่าวหาว่ากลุ่มโน้นกลุ่มนั้นไม่จงรักภักดีต่อสถาบันจิตวิทยาลักษณะนี้แหละที่คงต้องขอเตือนสติรัฐบาลว่า หมิ่นเหม่ต่อการกระทบกับสถาบันสูงสุด
ซึ่งอาจจะยิ่งทำให้สังคมไทยเกิดการขัดแย้ง เกิดการแตกแยกหนักขึ้นกว่านี้ไปอีกเชื่อว่าในวันนี้นายอภิสิทธิ์ คงไม่มีความสุขกับภาพการเผชิญหน้ากันเองของคนไทย ระหว่าง ผู้ชุมนุมกับทหารตำรวจ ระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงกับกลุ่มชาวสีลม ซึ่งทั้ง 2 กรณีเกิดความสูญเสียไปแล้วและมาวันนี้ กลุ่มคนเสื้อหลากสี กำลังได้รับการกระตุ้นจากน.พ.ตุลย์ ให้ออกมาแสดงพลังกันให้ได้เป็นหลักหมื่นหลักแสนนายอภิสิทธิ์ จะสบายใจได้หรือ หากมีการปะทะกันขึ้นมาระหว่างคน
เสื้อต่างสี แต่จริงๆแล้วก็เป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้นวันนี้ยังไม่สายที่หยุดการแตกแยกในสังคมไทย เพียงแค่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ ยอมเสียสละและเจรจา อย่างที่บรรดานายทหารในกองทัพอยากเห็นรวมทั้งอย่างที่บรรดาคณะทูต 29 ประเทศทั่วโลก ก็เห็นพ้องกันว่า ต้องเจรจาให้ได้ข้อยุติสโลแกนที่ว่า “วันนี้คุณดื่มนมหรือยัง?” คงต้องเปลี่ยนเป็น “วันนี้คุณจะเสียสละได้หรือยัง?”แล้วล่ะ จึงจะหยุดวิกฤติบ้านเมืองแตกแยกได้อย่างถาวร