บทความโดย...ลูกชาวนาไทย
คืนที่ผมเขียนบทความนี้คือวันที่ 26 เมษายน 2553 เวลา 21.30 น. ท่ามกลางข่าวลือว่าจะมีการใช้กำลังทหารตำรวจสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ คืนที่ผมคิดว่า “สงครามกลางเมืองไทย” กำลังเริ่มต้น วันนี้เป็นวันเริ่มต้นสงคราม ไม่ใช่วันสิ้นสุดสงครามอย่างแน่นอน ความขัดแย้งในทางการเมืองไทย เข้าสู่ถนนสาย “ปฎิวัติประชาชน” แล้วอย่างชัดเจน วันนี้คือOnset of Thai Civil War วันเสียงปืนแตก
ในสายตาของผมในทางยุทธศาสตร์แล้ว การชุมนุมที่ราชประสงค์ไม่ได้เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้นัก ไม่ได้เป็นจุดสุดท้ายหรือจุดสิ้นสุดของความขัดแย้งทางการเมืองแต่อย่างใด แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นเสียมากกว่า
อันที่จริงแล้ว "ยุทธภูมิราชประสงค์" ถือเป็นสงครามแห่งศักดิ์ศรีเสียมากกว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ของ "ชาวไพร่" แม้ว่าจะเริ่มต้นมาจากผ่านฟ้า แต่การยืนหยัดในยุทธภูมิอยู่ที่ราชประสงค์ สมรภูมิราชประสงค์ จึงเปรียบเสมือนการ "ปลุกชาวไพร่" ทั้งหลายได้ตื่น และออกมาต่อสู้เพื่อสิทธิของตนอย่างจริง เป็นการยืนหยัดต่อสู้อย่างยาวนาน อันไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ด้วยจำนวนคนที่เข้าร่วมอย่างมหาศาล เครือข่ายการจัดตั้งที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เครือข่ายการสื่อสารที่ "เกือบสมบูรณ์"
นี่จึงเป็นยุทธการ "ปลุกชาวไพร่" โดยแท้
แม้ไพร่เสื้อแดงทั้งหลายจะถอยหรือโดนสลายด้วยอำนาจรัฐที่เหนือกว่า แต่มันเป็นแค่ก้าวแรกของสงครามเท่านั้นเอง การต่อสู้ในสงครามชนชั้นเพิ่งเริ่มขึ้น และมันไม่มีทางที่จะจบลงง่ายๆ แบบให้ทุกคนกลับไปเป็นไพร่อีกต่อไป แต่มันจะตามมาด้วยการต่อสู้ที่ทารุณ และเหี้ยมโหดกว่าเดิมเท่านั้น ตามสภาพของสงครามที่เคยปรากฎมาแล้วในการต่อสู้เพื่อปฎิวัติสังคมในประเทศต่างๆ
มีบางคนบอกว่า "พื้นที่ราชประสงค์" เป็นแค่จุดเล็กๆ จุดเดียวในความขัดแย้งครั้งนี้ จะถอนหรือจะถอยก็ไม่ใช่สาระสำคัญเท่าใดนักในสงครามที่ใหญ่กว่า หรือในภาพรวมของสงครามทั้งหมด
สำหรับความเห็นอันนี้ในทางยุทธศาสตร์ผมเห็นด้วย แต่ในด้าน "จิตใจแห่งการต่อสู้" ของชาวบ้านเสื้อแดงทั้งหลายที่ผมได้สัมผัสมา การทิ้งยุทธภูมินี้ไปอย่างง่ายดายจะทำให้คนเสื้อแดงรากหญ้าไม่พอใจ เพราะพวกเขาได้ต่อสู้มาอย่างยาวนาน จนเสียเลือดเสียเนื้อ เสียน้ำตาไปมากแล้ว พวกเขาต้องการชัยชนะ แม้มันจะยากแค้นแสนเข็ญอย่างไรก็ตาม หรือมันอาจจะพ่ายแพ้ก็ตาม แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะต่อสู้
นั่นคือ จิตใจของนักสู้ชาวรากหญ้าที่ผมสัมผัสได้ ในแนวหน้าในราชประสงค์บริเวณแนวปะทะที่สีลม พวกเขาสู้แม้จะมีพรรคพวกเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม พวกเขาตอบผมว่าวันนี้มันพ้นความกลัวตายไปแล้ว เพราะเขายินยอมตายมากกว่าที่จะยอมแพ้ เพื่อให้ลูกหลานของเขาต้องเป็นไพร่ต่อไป
ดังนั้นในด้านจิตใจ การต่อสู้ให้ถึงที่สุด จึงเป็นสิ่งจำเป็นเช่นเดียวกัน เพราะหากยอมแพ้โดยง่าย โดยไม่มีความพยายาม ความฮึกเหิมของมวลชนก็จะหายไป
หากโดนสลายที่ราชประสงค์ จะเกิดอะไรขึ้น
อย่างแรกคงมีความสูญเสียล้มตายกันมากพอดู สังคมไทยแม้จะมีความพยายามจากพวกอำมาตย์ที่จะปลอบประโลมและทำโปรประกันดา แต่ผมไม่คิดว่าจะมีชาวบ้านคนใดยอมรับการโปรประกันดานั้นอีก แกนนำบางคนอาจโดนจับ บางส่วนอาจหนีลงใต้ดิน และไปต่างประเทศ การต่อสู้อาจชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง
แต่ในทางตรงกันข้าม ในทางยุทธศาสตร์แล้ว นปช. แดงทั้งแผ่นดิน มีเครือข่ายที่กว้างขวางและใหญ่โตแบบใยแมงมุม เครือข่ายนี้ผ่านการทำงานหนักและทำงานในสนาม สามารถบริหารจัดการเครือข่ายสนับสนุนการต่อสู้ กว่า 40 วัน ของ นปช. เสื้อแดงทั้งราชประสงค์ และผ่านฟ้าได้อย่างดี เครือข่ายและแกนนำเหล่านี้ คือ "กองทัพ" หรือ "พรรคการเมืองมวลชนที่จัดตั้งอย่างสมบูรณ์ ทั้งด้านเครือข่าย และ "อุดมการณ์ทางการเมือง" และผ่านการ "กล่อมเกลา" ทางอุดมการณ์แล้วเป็นอย่างดี จากการต่อสู้กว่า 40 วันในการประท้วงใหญ่ที่กรุงเทพฯ และเครือข่ายทั่วประเทศ ในเดือน มีนาคม-เมษายน 2553 นี้
นี่คือ พลังทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัว และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาติไทย เป็นการจัดตั้งมวลชนอย่างมหาศาล แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในอดีตก็ยังไม่อาจทำได้
สิ่งมหัศจรรย์ที่ผมเห็นอีกอย่างหนึ่งในการต่อสู้ครั้งนี้คือ มีประชาชนจำนวนมาก ยืนเข้าแถวยาวกว่า ครึ่งกิโลเมตร เพื่อรอคิวทำบัตร "นปช.แดงทั้งแผ่นดิน" ต้องถ่ายสำเนาบัตรประชาชน และเสียเงินค่าทำบัตรสมาชิกถึง 50 บาท ขณะนี้ผมทราบว่ามีการทำบัตรสมาชิก นปช. ไปแล้วกว่า 14 ล้านใบ
ในทางการเมืองนี้คือ Voters ที่มีคุณภาพและมีความตั้งใจที่ "แน่วแน่" ดังนั้น นปช. จึงกลายเป็นพรรคการเมืองแบบมวลชนไปแล้วโดยปริยาย พรรคเพื่อไทย ต่างหากที่เป็นพรรคนอมินี ในสภาของ พรรค.นปช. ซึ่งภายใต้กฎหมายของอำมาตย์พรรคเพื่อไทย จะโดนยุบเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ นปช. ไม่อาจโดนยุบได้ เพราะไม่ได้เป็นพรรคการเมือง แต่เป็น "กลุ่มพลังทางการเมือง" ที่มีพลังอย่างแท้จริง
ผมยังมองเห็นความ "โชติช่วงชัชวาล"ของพลังประชาธิปไตย ในอนาคต เห็นพลังการต่อสู้ที่มีแต่พัฒนาและเข็มแข็งขึ้น
แม้ว่าในสมรภูมิเฉพาะหน้า คือราชประสงค์ ยังไม่รู้จุดแพ้ชนะก็ตาม
สำหรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ การสลายม็อบที่ราชประสงค์ ผมไม่ได้ถือว่าพวกเขาได้ชัยชนะ แต่ในทางการเมืองจะกลายเป็น "รัฐบาลมือเปื้อนเลือด" ไม่ว่าจะมีโวหารดีขนาดไหน แต่ยุคนี้ คลิป ภาพ วิดีโอ มีมากมายเกินกว่าที่ "คำโกหกคำโตของใครจะปิดบังได้"
การสลายม็อบที่ราชประสงค์ของ พรรคประชาธิปัตย์ จะทำให้พรรคนี้กลายเป็น พรรคการเมืองมือเปื้อนเลือด ที่จะล้างไม่ออกตลอดประวัติศาสตร์การเมืองไทยอีกยาวนานหากพรรคนี้ยังคงยืนอยู่บนถนนสายการเมือง
พรรคประชาธิปัตย์จะกลายเป็น พรรคฆาตรกรมือเปื้อนเลือดไป
ขณะนี้ก็เป็นแล้วจากการฆ่าคนเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553
ไม่มีใครบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ พรรคนี้จะไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไปในอนาคต