โดย คุณ วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เวบไซต์ vattavan
5 กรกฎาคม 2552
..... ตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์ได้สมคบคิดกับพันธมาร ทหาร และอำมาตย์ที่ไม่ยอมวางมือจากการเมือง จนช่วงชิงจากรัฐบาลเดิมได้สำเร็จแล้ว รัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ก็จำต้องตั้ง “นายกษิต ภิรมย์” คนของฝ่ายพันธมาร เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
นับแต่นั้นมา การดำเนินกิจการต่างประเทศ ของรัฐบาลนายมาร์ค มุกควายนั้น ไม่ผิดอะไรกับพวก “มือใหม่หัดขับ” กลายเป็นประเด็นที่ให้ผู้คนได้พูดถึงกัน ด้วยความไม่พอใจอย่างสม่ำเสมอ เพราะดูจะล้มเหลวไปแทบทุกด้าน
เช่น ร.ต.อ.นิติภูมิ นาวรัตน์ ตชด.เก่า นี่ต้องขัดเคืองขนาดหนัก เขียนบทความอัดเอาหลายครั้งในคอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลก เช่น
บทความชื่อ กระด้าง กะล่อน อ่อนแอ แต่ปากกล้า ขาสั่น! เมื่อ อังคาร ๗ เมษายน ๒๕๕๒ ถึงกับวิจารณ์ว่า กระทรวงการต่างประเทศของไทยนั้น ใช้ภาษาน่าทุเรศ “ถ่อย” และ “เถื่อน” ที่สุดในโลก!
ผู้กองนิติภูมิย้ำว่า แม้แต่ประเทศทวีปแอฟริกา ที่ตั้งอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพรอย่าง แองโกลา บูร์กินาฟาโซ โตโก หรือ กาบอง ฯลฯ ผู้นำประเทศของเขา ก็ยังมีสติปัญญา ไม่แต่งตั้ง “เสนาบดีบ๊องๆ” มาดูแลกิจการงานด้านต่างประเทศ
ใช่แต่แค่นั้น คุณนิติภูมิยังได้วิพากษ์วิจารณ์เอาอย่างไม่เกรงใจว่า ผู้ดำเนินงานการต่างประเทศของไทยในปัจจุบัน อยู่ในสถานะ “ปากกล้า ขาสั่น” มีใครเอาไมค์มาใกล้ปากไม่ได้ ร้ายที่สุดคือ การพูดของแก... สร้างศัตรูให้ประเทศไทย แทบจะทุกทีไป!!
ดังนั้น จึงไม่มีคณะผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านประเทศไหน ชอบขี้หน้ามิสเตอร์ “ฝีคัณฑสูตร” คนนี้ และความสัมพันธ์อันเลวที่ก่อกันไว้กับกัมพูชานี้เอง เป็นเหตุให้ทหารไทย ตายไปแล้วสามคน
แถมมาถึงวันนี้ ก็ยังมีข่าวว่า เขมรสร้างทางถนน รุกเข้ามาในดินแดนของไทยแล้ว 250 เมตร แต่เจ้ากระทรวงบัวแก้ว กลับไม่ยอมแถลงให้ชาวบ้านอย่างเราๆ ท่าน ได้ทราบกันบ้าง ดันอมพะนำเก็บเงียบไว้ เหมือนอมสากกระเบือ ไม่ยักกะเหมือนอีตอนที่ “หาเหาเข้าประเทศ” เพราะเป็นต้องร้องแรกแหกทวารทุกทีไป!
คุณนิติภูมิบอกว่า นโยบายต่างประเทศของไทยเรา ที่ควรจะ “นุ่มนวลแต่แข็งแรง” กลายเป็นนโยบาย “กระด้าง กะล่อน อ่อนแอ!”
ยิ่งกว่านั้น พอเขมรเขาจะเอาจริง รบกันจริงๆ ไอ้คนที่มันก่อเรื่อง กลับหงอยและหายจ้อยไปเลย!!
ใช่แต่แค่นั้น นะครับ...
เมื่อวันอังคารที่แล้ว ตชด.เก่าอย่างนิติภูมิฯ ยังตะบันเข้าอีกดอกหนึ่ง ด้วยบทความชื่อฟังแล้วครึกครื้น คือ รอง นรม.ไทย กำตดที่เขมร
คุณนิติภูมิได้บรรยายถึงความอัดอั้นตันใจว่า ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับชาติต่างๆ ในอาเซียนนั้น เหลวแหลกเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมืองขะแมร์นั้น ตชด.เก่าเล่าอย่างถึงพริกถึงขิงว่า
หากใครเอ่ยถึงชื่อ เจ้ากระทรวงบัวแก้วของไทยแล้ว ประชาชนคนเขมร เขาจะผรุสวาทออกมาอย่างไม่ต้องยับยั้งกันเลย
ผมว่าไม่ต้องไปคิดอะไรมากหรอกครับ แค่นายกษิตฯ เรียกท่านนายกฮุนเซนว่า “กุ๊ย” แค่นั้น ชาวขะแมร์ก็ฉุนขาดแล้ว
แล้วอย่างนี้นายมาร์ค มุกควาย ก็ยังดันตั้งเข้ามากินตำแหน่งใหญ่ เพราะเกรงกลัวพันธมารขาดใจ แม้จะมีผู้คัดค้านทั้งชาวไทยและคนต่างประเทศ แต่นายมุกควายแกก็ไม่กล้าถอดถอนเจ้าหมอนี่ออกจากตำแหน่งเสนาบดี คงเก็บไว้เป็นฝีคัณฑสูตรในรูตูดต่อไป ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเพื่อนบ้าน จะเสื่อมโทรมลงอย่างไร ก็ช่างหัวมัน!
นี่เอง เจ้าของคอลัมน์เปิดฟ้า-ส่องโลก ถึงได้จั่วหัวบทความเอาไว้ได้แสบสัน ว่า รอง นรม.ไทย กำตดที่เขมร
คือ การไปเยือนเมืองเขมรของ นิติภูมิฯมองว่านายเทพเทือก กำได้แค่ “ตด” หรือคว้าได้แค่ลมๆ ที่ขับเคลื่อนออกจากทวารของท่านสมเด็จฯ ฮุนเซ็นเท่านั้นเอง สาระหรือ “ขี้” อันพอจะเป็นกากของเสียของท่านสมเด็จ นายกฯ อันพอจะเป็นประโยชน์ได้บ้างนั้น นายเทือกแกกลับ “กำ” ไม่ได้เลย การไปกราบกรานท่านฮุนเซ็น จึงหาประโยชน์ไม่ได้แต่อย่างใด ไม่เหมือนกับวลีฮิตของคนไทย ที่สั่งสอนกันมาว่า “กำขี้ ดีกว่ากำตด” นั่นเอง!
ขอกราบเรียน กับท่านผู้อ่านที่เคารพ ว่า ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางการค้าชายแดนกับเขมร เป็นจำนวนเงินถึง 70,000 ล้านบาท (เจ็ดหมื่นล้านบาท) ต่อปี
ไม่น่าเชื่อว่า เมืองไทยเราได้ดุลการค้าเขมร ถึง 63,000 ล้านบาทต่อปี ...น้อยอยู่เสียเมื่อไหร่กันล่ะ!?
ดังนั้น ถ้ามีสถานะศึกสงครามระหว่างไทย-กัมพูชา ประเทศของเราจะสูญเสียเงินตราต่างประเทศ ไปอีกหลายหมื่นล้านเห็นๆ อยู่
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธไอ้รัฐบาลโลซก ของนายกฯมุกควายยิ่งนัก เพราะมัน “สิ้นคิด” ถึงกับ เปลี่ยนสนามการค้า...เป็นสนามรบ...ดูมันทำ!!
ที่น่าอับอายขายหน้าหนักเข้าไปอีก คือการส่งนายสุวิทย์ คุณกิตติ ไปที่เสปน แล้วกลับมาคุย
คุยโม้ลั่น ในทำนองว่า ได้รับชัยชนะจากการไปครั้งนี้ ในเรื่องการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก และบัดนี้ ได้เวลาดีเหมือนการแข่งขันครึ่งหลัง ไทยเรากลับพลิกมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ ยิงประตูตีเสมอได้ ...ว่าเข้านั่น!
ผมไม่รู้ว่าอีตาสุวิทย์นั้น แกพูดอย่างนี้ออกมาได้อย่างไร เพราะวันต่อมา เพราะข่าวที่ออกมา กลายเป็นอย่างนี้ครับ กล่าวคือ...
เมื่อวันอังคาร (30 มิ.ย.) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สมเด็จฯ ฮุนเซน ได้ออกเตือนไทยอย่างแข็งกร้าวอีกครั้งหนึ่งนัยว่า หากไทยคิดจะบุกยึดปราสาทพระวิหารกลับคืน จะต้องสู้รบกับทหารเขมรที่กรำศึกมาตลอด และฝ่ายไทยอาจจะต้องใช้ทหาร 30,000-50,000 คน เพื่อการศึกครั้งนี้
ข่าวบอกว่า สมเด็จฯ ฮุนเซนกล่าวว่า ได้เตือนเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมากับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาแล้วครั้งหนึ่ง วันเสาร์ ( ที่ 27 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ณ. บ้านพักเมืองตาขะเมา (Ta Khmao) ชานกรุงพนมเปญ
เว็บไซต์ข่าวภาษาเขมรยอดนิยม Everyday.com.kh ฉีกหน้ารัฐบาลของนายมาร์ค มุกควาย ได้ตีพิมพ์เผยแพร่คำเตือนและคำขู่ของผู้นำกัมพูชา เมื่อวันอังคาร โดยกล่าวว่า นายกฯฮุนเซนประกาศเรื่องนี้ ระหว่างปราศรัยที่สถาบันการศึกษาแห่งชาติ (National Education Institute) ในตอนเช้า
"ถ้าหากทหารไทยจะทำศึกเพื่อเอาคืนปราสาทพระวิหาร กองทัพบกไทยจะต้องเตรียมพร้อมที่จะใช้กำลังพลอย่างน้อย 30,000-50,000 "
สมเด็จฯฮุนเซ็น เล่าว่า ก่อนหน้านี้ ได้เตือนนายสุเทพ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กับ พล.อ.ประวิตร รัฐมนตรีกลาโหม ที่ไปเยือนกัมพูชาอย่างไม่เป็นทางการ ระบุว่า ไทยจะต้องใช้ทหาร 3-5 หมื่นคน เพื่อรบกับทหารกัมพูชาราว 10,000 คน แต่ทั้งหมดเป็นทหารที่มีประสบการณ์ในสงคราม และกรำศึกมาตลอด
นายกฯ กัมพูชากล่าวด้วยว่า ประเทศไทยมีประชากร 66 ล้านคน และกองทัพกำลังพลกว่า 300,000 คน แต่กัมพูชา ประชากรแค่ 14 ล้าน กับกำลังพลในกองทัพ 100,000 คน แต่ฝ่ายไทยจะต้องใช้กำลังพล 3-5 หมื่น สู้กับทหารกัมพูชา 10,000 คน
ท่านผู้อ่านครับ อ่านข่าวแล้ว ก็ปลงสังเวช ที่ได้เห็นว่า รัฐบาลโลซกของคนหนีทหารอย่างนายอภิแสบ ต้องโดนชาติที่เล็กกว่า แต่มีผู้นำที่เข้มแข็ง แถมเป็นทหารเก่าชำนาญการศึกโชนโชก ไล่โขก ไล่สับ ...เอาตามใจชอบ!
แม้เกียรติภูมิของชาติเสียหาย รัฐบาลโลซกก็ยังมีหน้าออกมาสะตะบอแหลชาวบ้านเขาไปวันๆ ยิ่งไปกว่านั้น สื่อต่างๆ ในกัมพูชา พากันตีพิมพ์ข่าวเกี่ยวกับข้อเสนอของไทย ถูกคณะกรรมการมรดกโลกปัดปฏิเสธ ไม่นำขึ้นพิจารณาในการประชุมประจำปี
สื่อยักษ์ใหญ่ขะแมร์ คือหนังสือพิมพ์ดืมอัมปึล (Deum Ampil) รายงานว่า คณะกรรมการมรดกโลก ได้ปิดการประชุมที่เมืองเซวิลล์ (Seville) ประเทศสเปน ในวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีการนำข้อเสนอของไทยที่ ขอให้ทบทวนการพิจารณาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ดืมอัมปึลถึงกับพาดหัว ด้วยความเริงร่าว่า "ประเทศไทยปราชัยอย่าง ‘น่าอดสูที่สุด’ ในการเรียกร้องให้ทบทวนการขึ้นทะเบียนพระวิหารเป็นมรดกโลก.."
นี่ไง... หน้าแหกกันเป็นริ้วๆไปเลย!
ดังนั้น ในทัศนะของ “วาทตะวัน” แล้ว การที่ได้นายฝีคัณฑสูตรอย่าง “กษิต” มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ อันเป็นผลพวงจากการตั้งรัฐบาลผสม ที่โง่เขลาเบาปัญญาของนายมาร์ค มุกควาย แต่กระทำไปยำเกรงขบวนการพันธมาร จนต้องเอานายคนนี้ มาเป็นรัฐมนตรีพัวพันต่างประเทศ จึงไม่น่าแปลก ที่ชาวบ้านเขาไม่ชอบขี้หน้ารัฐมนตรีต่างประเทศนายนี้
สำหรับข้าราชการในกระทรวง ก็ได้ข่าวว่า แอนตี้เจ้ากระทรวงกันมาก เลยพาลชิงชัง รัฐบาลปัจจุบันเข้าไปด้วย!
ต้องขอบอกกันไว้ชัดๆ ตรงนี้เลยว่า มาถึงวันนี้แล้ว ช่างเป็น “เคราะห์กรรม...ของประเทศไทย” จริงๆ ที่ได้ผู้นำคุณภาพต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
และถ้าหากเมืองไทยยังมีนายมาร์ค มุกควาย เป็นหัวหน้ารัฐบาลโลซก และนายฝีคัณฑสูตร “กษิต”เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอีกต่อไป ...
เหตุฉิบหายจะเกิดขึ้นกับเมืองไทยได้...ไม่ยากเลย!!!