บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คนชื่อ“ทักษิณ”ทำอะไรก็ผิดหมด (16 ก.พ. 53)

ที่มา โลกวันนี้

คอลัมน์
คำต่อคำ..ทักษิณ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 11 ฉบับที่ 2740 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2010
โดย -

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เล่าในรายการ “เล่าสู่กันฟัง” (ทอล์ค อะราวนด์ เดอะ เวิลด์) วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2553 ถึงการเข้าสู่ถนนการเมืองจนตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมาได้ ส.ส. มาเป็นอันดับหนึ่งจนเป็นนายกรัฐมนตรี ทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ ปลดหนี้ประเทศจากกองทุนไอเอ็มเอฟ แต่กลับถูกกล่าวหาว่าซุกหุ้น แม้จะหาช่องทางชี้แจงอย่างไรก็ถูกกลั่นแกล้งตลอด ซึ่งอ่านรายละเอียดได้ดังนี้

ไปประเทศคองโก

พี่น้องที่เคารพรักครับ วันนี้เป็นวันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ ผมขอเวลาวันอังคารเป็น 1 ชั่วโมงเหมือนเดิม แต่วันอื่นๆครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ผมอยู่ที่ประเทศคองโก พักที่โรงแรม โอ้โห แม่น้ำคองโกใสและเป็นแม่น้ำใหญ่มาก ประเทศนี้มีการสู้รบกันมานาน มีประชากรประมาณ 69 ล้านคน พื้นที่ใหญ่กว่าประเทศไทยนิดหน่อย สิ่งที่น่าเสียดายคือว่ามีความขัดแย้งกันเองในหมู่ชนเผ่า การเมืองบ้าง ฆ่ากันไปเยอะ แต่สิ่งที่พระเจ้าให้ไว้คือทรัพยากรธรรมชาติ มีเยอะจริงๆ วันนี้ผมมีนัดทั้งวัน พบประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี วิ่งเข้าวิ่งออกเกรงว่าจะจัดสรรเวลาไม่ทันเลยขออัดเทปไว้ ใจอยากจะออกสดๆแต่เวลาไม่ให้

มีทรัพยากรมากมาย

ที่นี่มีสิ่งที่น่าสนใจ คองโกเป็นประเทศยากจน ตังค์ไม่มีแต่มีทรัพย์สินในดินเยอะมาก เพราะพื้นที่เดิมเป็นภูเขาไฟ แต่ที่ผมบินมาถึงที่นี่เป็นพื้นที่ราบหมดแล้ว เป็นแอ่งในหุบเขา เหมือนจะมีภูเขาอยู่ข้างใต้พื้นราบนั้น ถือว่าเป็นภูมิศาสตร์ที่สวยงามจึงทำให้มีทรัพยากรธรรมชาติอยู่เยอะและก็มีราคามาก แต่สิ่งที่ยังเป็นปัญหาคือที่นี่ยังเป็นประเทศที่ลำบาก คนก็ยากจน สิ่งที่ท้าทายมากขณะนี้คือทำอย่างไรที่จะเอาทรัพย์สินเหล่านี้มาสร้างความเจริญให้ประเทศ ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ถือเป็นสิ่งท้าทายรัฐบาลนี้มาก อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านประธานาธิบดีว่าจะทำอย่างไร ใช้เศรษฐกิจสมัยใหม่เข้ามาช่วยประกอบกันน่าจะเป็นไปได้

การเมืองเรื่องทำมาหากิน

กลับมาเรื่องของเราดีกว่า ผมจะเล่าถึงตอนที่ว่าทำไมผมถึงตั้งพรรคไทยรักไทย แต่ละช่วงเป็นยังไง แล้วจะพูดถึงเรื่องราวต่างๆว่าถูกกล่าวหาอะไรมาบ้าง และความคิดของผมกับความคิดที่ไม่ตรงกันกับอีกฝ่ายหนึ่ง พี่น้องจะได้เข้าใจไม่ใช่ว่าไปคิดเอาเอง

ตอนตั้งพรรคไทยรักไทยผมมีบทเรียนครับ ตอนผมอายุ 25 ผมจบปริญญาโทมาใหม่ๆมาช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาล เห็นการเมืองอย่างใกล้ชิดเวลากฎหมายสำคัญๆเข้าสภา ตอนนั้นรัฐบาลมีเสียงค่อนข้างหมิ่นเหม่กับฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านก็มีการเอาสตางค์ไปแจกกัน ซึ่งผมเห็นเองหมด ผมก็คิดว่าเออ...การเมืองเป็นแบบนี้เองหรือ ผมดูไปก็คิดไป ตอนเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมก็เห็นสภาพพรรคพลังธรรมว่าพยายามวางตัวให้เหนือการเมืองปรกติ คือถ้าเขาทำขวาพรรคเราก็จะไปซ้าย เป็นคนละขั้ว ก็เลยทำให้พรรคพลังธรรมทำตัวเหมือนเทวดา ไม่สุงสิงกับใคร ส่วนอีกพรรคหนึ่งจะเป็นแบบคล้ายๆหากินกับพรรคการเมืองเลย สร้างอาชีพให้เป็นเศรษฐีกันเป็นคนๆไป

พรรคหน้าเทวดาตัวเปรต

อันนี้ผมเปรียบเทียบ ขอโทษที่ใช้คำพูดที่แรงหน่อย เพื่อฟังแล้วจะได้เข้าใจ มีพรรคการเมืองอยู่ 3 ประเภทขณะนั้น พรรคหนึ่งจะทำตัวเป็นพรรคเทวดา อีกพรรคทำตัวเป็นเปรต อีกพรรคก็ฉลาดรู้ว่าเทวดาก็ไม่ดี เปรตก็ไม่ดี ขอเป็นหน้าเทวดาแต่ทำตัวเป็นเปรต มันก็ยังไม่เป็นมนุษย์อยู่ดี อย่างเทวดามนุษย์จะพูดด้วยต้องจุดธูปกว่าจะได้คุย ส่วนเปรตก็ต้องใช้องค์อินทร์พูด ส่วนหน้าเทวดาตัวเปรตก็ไม่รู้จะพูดคุยกันยังไง นั่นคือสิ่งที่การเมืองไทยเป็นอยู่

ผมเลยคิดว่าเอ๊ะ...จะตั้งพรรคการเมืองยังไงที่จะเป็นพรรคที่เป็นมนุษย์ เพราะว่าพรรคการเมืองต้องมาบริหารมนุษย์ ต้องมาทำงานช่วยมนุษย์ เพราะฉะนั้นต้องคุยกับมนุษย์รู้เรื่องสิ แล้วจะทำยังไงถึงจะคุยกับมนุษย์ได้ แล้วมนุษย์คือยังไง หมายความว่าไม่ใช่เทวดาหรือเปรต แน่นอนนั่นคือมีความดีมากกว่าความไม่ดี ทำไมเราต้องคิดว่าจะเป็นคนดีมากกว่าคนไม่ดี เหมือนในร่างกายมนุษย์ที่มีเชื้อโรคอยู่ 18 ชนิด ถ้ามีเชื้อมากร่างกายจะสึกหรอ ถ้ามีน้อยเกินไปร่างกายจะติดโรคง่าย ทำยังไงจะเป็นมนุษย์ให้ได้ เป็นคำถามที่เป็นยุทธศาสตร์ในการตั้งพรรคการเมือง ที่สำคัญคือต้องเป็นพรรคที่เข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อจะได้เข้าใจอนาคตว่าโลกของความเป็นจริง โลกของอนาคตเป็นอย่างไร เพื่อประเทศไทยประสบความสำเร็จได้

ตั้งพรรคเหมือนเกมแข่งขัน

เราก็มาคิดว่าจะตั้งพรรคยังไงตอนนั้น ยังไม่ได้ตั้งชื่อ แต่มีไอเดียว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนหลังเชิญเพื่อนๆมาตั้งพรรคก็ชวนคนที่เคยทำงานด้วยกันมาก่อนตั้งแต่ที่พรรคพลังธรรม อย่างคุณสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แต่ก็ยังมาไม่ได้เนื่องจากเป็น ส.ส. คนเดียวของพรรคพลังธรรม รวมถึงคุณพงษ์เทพ (เทพกาญจนา) คุณสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ตอนที่ผมเชิญมาร่วมตั้งพรรคเขาก็บอกว่าแน่ใจหรือ ผมจะเอาจริงหรือ จะชักเข้าชักออกหรือเปล่า เป็นเพราะผมมองเห็นแล้วว่าพรรคพลังธรรมดำเนินงานทางการเมืองแบบนี้ไปรอดยาก โอกาสชนะยากไปหน่อย การบริหารพรรคก็ยาก ทำก็ยาก ผมเลยบอกว่าผมไม่ชักเข้าชักออกหรอก ผมเปรียบการตั้งพรรคเป็นเกมการแข่งขัน ถ้าแข่งแล้วแพ้ก็คงไม่ไปแข่งแน่ๆ มองเห็นว่าถ้าเข้าแข่งขันครั้งนี้จะแฮปปี้ เป็นการต่อสู้ทางการเมือง แต่ถ้าถูกรังแกนิสัยผมคือไม่ยอมเหมือนกัน

จุดเริ่มต้นพรรคไทยรักไทย

ผมเล่าให้เพื่อนๆฟังว่านิสัยผมเป็นอย่างนี้จริงๆ ที่สุดก็โน้มน้าวคนที่เคยทำงานร่วมกันมาจัดพรรคร่วมกันได้ ร่วมกันต่อสู้ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมา การมีส่วนร่วมของประชาชนก็เป็นเรื่องสำคัญ จึงเชิญให้ประชาชนมามีส่วนร่วมในการตั้งชื่อพรรคแล้วมาคัดว่าจะเอาชื่ออะไร เอาชื่อที่เรามีอยู่เดิมไปให้เลือก ปรากฏว่าทุกคนเห็นชอบไทยรักไทย อีกอย่างผมว่าความหมายลึกซึ้ง เพราะวิกฤตเศรษฐกิจขณะนั้นอะไรๆก็ยกยอเยินยอต่างชาติจนไม่มีหลักของตัวเอง ไม่มีปรัชญาของตัวเอง แล้วก็วิ่งตามเขา เราเลยคิดว่าใช้ไทยรักไทยจะสะท้อนความเป็นชาตินิยม ย้ำชัดว่ารักชาติกันเถอะครับ เรารักชาติแต่ไม่ได้คลั่งชาติ ถ้าคลั่งชาติอาจจะพาประเทศล่มจมได้ ก็เป็นที่มาสำหรับพรรคไทยรักไทย งานเปิดตัวพรรคไทยรักไทยในวันที่ 14 กรกฎาคม 2542 มีผู้ก่อตั้ง 22-23 คน ผมไม่แน่ใจ ผู้ก่อตั้งก็มีทั้งนักการเมืองหน้าเก่าหน้าใหม่มาจากพรรคพลังธรรมเดิมบ้าง

ลุยงานพบรากหญ้าทันที

ผมถือเวลาผมจะทำอะไร จะเปิดงานอะไรก็จะทำให้เป็นความมงคลของตัวเอง คือเอาวันเกิดคนในครอบครัวเป็นหลัก บางทีวันเกิดไม่ตรงเอาเดือนเป็นหลัก อย่างไทยรักได้ได้ฤกษ์สะดวกเป็นวันที่ 14 กรกฎาคม แต่ได้ใบทะเบียนหลังจากนั้น วันเปิดตัวผมก็แถลงนโยบาย ทุกคนก็งงๆกันบ้าง แต่ว่าเรามีการจัดนิทรรศการเพื่อบอกแนวนโยบาย แนวคิดการตั้งพรรค จากนั้นก็ไปให้ประชาชนมีส่วนร่วม ถามความคิดเห็นประชาชนว่าเขาคิดอย่างไร

ช่วงตั้งพรรคใหม่ๆไปลงพื้นที่ที่ขอนแก่น ไปนั่งคุยกับประชาชนในศาลาวัด เชิญประชาชนมานั่งคุยกัน ถกกัน จากนั้นก็ไปดูไร่นาสวนผสม ไปดูว่าโครงการตามแนวพระราชดำริของในหลวงที่ทรงสอนให้คนไทยรู้จักการทำไร่นาสวนผสมเป็นอย่างไร ได้ผลอย่างไร ก็ได้เห็นว่าเขาใช้ที่ดินแปลงเล็กๆขุดบ่อน้ำเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ปลูกข้าว ก็ดูดีครับ ให้เขามีรายได้ มีกินตลอดทั้งปี ถ้าช่วงไหนของเยอะก็เอาไปขาย ปลา ไก่ ผัก ข้าว แปลงเล็กๆก็สำเร็จดี จึงเอาแนวคิดนั้นมาเป็นนโยบายด้วย

มองหาแหล่งเงินทุน

จากนั้นก็ไปเยี่ยมศูนย์ศึกษาพระราชดำริที่ปักษ์ใต้ ไปดูโครงการแก้มลิง นำมาใช้บริหารประเทศ แล้วก็ไปเชียงใหม่ ภูเก็ตบ้าง เพื่อที่จะซักไซ้ถามความเป็นอยู่ของประชาชน ตอนนั้นไม่ได้ออกนโยบายที่ชัดเจนแต่มีแนวคิดที่ชัดเจน เป็นนโยบายกว้าง การลงพื้นที่ภาคใต้ก็ได้คุยกับประชาชน คุยกันว่าการเมืองใต้เป็นยังไง เขาก็บอกว่าจะสู้จริงหรือเปล่า คนใต้ชอบสู้จริง ใจสู้ วันนี้ก็คงเห็นว่าผมสู้จริงหรือเปล่า อยากให้คนใต้ได้เห็นบ้าง เปลี่ยน พ.ศ. ใหม่เปลี่ยนใจด้วยนะ

พี่น้องจำได้มั้ยตอนที่มีภาพเก่าๆในนิทรรศการที่ผมขึ้นกระดานมีรูปวาดเป็นสามเหลี่ยมขีดเป็นชั้นๆ เป็นพีระมิดกลับหัว ผมซักซ้อมกับนักวิชาการเพื่อสื่อให้เห็นถึงระดับชนชั้นทางเศรษฐกิจของไทยที่มีหลายชั้น รายได้ต่างกัน เนื่องจากว่าประเทศเราเป็นทุนนิยม ระบบเศรษฐกิจเสรี มีฐานรายได้ต่างกัน แต่ทุกฐานต้องการเงินทุนสร้างความมั่งคั่งของตัวเอง เราก็ดูว่าเงินทุนมาจากที่ไหนได้บ้าง ช่องไหนบอดอยู่เราก็มาเสริมแหล่งทุนตรงนั้นไป ช่วงนั้นไปดูงานที่ประเทศออสเตรเลีย ประธานาธิบดีก็พาไปดูการทำงานการเมือง ที่นั่นจะทำอะไรเป็นวิชาการทั้งหมด ผมเลยติดการทำงานการเมืองแบบวิชาการมาจากประเทศนั้น

ผุดโครงการเอสเอ็มอี

มาถึงการออกปราศรัย ตอนแรกยังพูดไม่เป็น ใครก็ว่าผมปราศรัยแบบแกงจืด แต่อันนี้หลายคนก็สงสัยว่าทำไมพรรคไทยรักไทยถึงเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยุบเร็วด้วย น่าเสียดายที่ 14 ล้านสมาชิกที่หายไป นี่เป็นสิ่งที่ทำลายประชาธิปไตยทางอ้อมภายใต้รัฐธรรมนูญ 50 เนื่องจากช่วงนั้นเราเป็นพรรคใหม่เลยต้องลงพื้นที่ต่างจังหวัดบ่อย มีการจัดสัมมนา มีการบรรยายให้ประชาชนบ้าง ซึ่งเราจะเห็นการบริหารจัดการในหมู่บ้านต่างๆก็เลยผุดแนวคิดเรื่องเอสเอ็มอีขึ้นมา ตอนนั้นมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล คุณชวน (หลีกภัย) เป็นนายกฯ ก็เลยมาเน้นเอสเอ็มอีทั้งที่ไม่เคยพูดถึง พอเราออกนโยบายนี้ก็ตื่นเต้นกัน แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีนะ ถ้าไม่ดีเขาคงไม่เลียนแบบ ถือว่าเป็นประโยชน์ ผมไม่มีความลับเรื่องนี้ เป็นประโยชน์ให้กับสังคม วันนี้บางนโยบายที่โดนด่ามาตลอดแต่รัฐบาลเอาไปเลียนแบบก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคม

ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร

จากวิกฤตเศรษฐกิจช่วงนั้นหลายคนอยากรู้ว่าตั้งตัวแบบไหน จะเป็นเถ้าแก่ใหม่ เป็นผู้ประกอบการใหม่อย่างไร ช่วงนั้นผมศึกษาเยอะ ขณะนั้นพรรคก็มีคนใหม่หมด เหมือนปลาที่เปลี่ยนน้ำ บางคนได้ไปสังกัดพรรคอื่นก็เลยออกจากพรรคไป บางคนอาจมีเหตุผลส่วนตัว อย่างธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ก็มาช่วยงานพักหนึ่งแต่ลาออกไปช่วยงานสนธิ ลิ้มทองกุล มันก็วนไปวนมาแบบนี้ วงการการเมืองมันแคบ อยู่ด้วยกันเป็นมิตรกันบ้าง บางทีก็เป็นศัตรู เราเป็นองค์กร เป็นหลักก็ต้องมีกระทบกันธรรมดา จะโกรธบ้างก็ไม่เป็นไร ถ้าประชาชนอยู่ดีก็พอใจ

วันนี้ผมเองก็เจ็บปวดเนื่องจากการทำงานเพราะสร้างศัตรูไว้เยอะ ไม่เป็นไร สู้ต่อไป บ้านเมืองอยู่ดีมีสุข ผมอยากทราบว่าพวกที่กล่าวหาผมว่าทำบ้านเมืองเสียหาย พวกนี้กล่าวหาได้ทุกอย่าง ผมทำประเทศนี้เปลี่ยนสภาพจากลูกหนี้ไอเอ็มเอฟเป็นประเทศเจ้าหนี้ อันนี้เขาคิดว่าผมทำประเทศเสียหาย ผมไม่รู้ว่าเอาอะไรมาพูดมาคิด ผมเป็นมนุษย์คนหนึ่งก็ต้องมีทั้งผิดและถูก แต่โดยรวมไม่มีใครถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ ประเทศได้ประโยชน์จากผมเยอะ พูดได้ยังไงว่าเสียหาย ผมมีผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา แต่การผิดพลาดต้องขึ้นอยู่กับว่าผิดพลาดบนพื้นฐานของอะไร ถ้าคนทำแล้วผิดพลาดถือว่าธรรมดา คนที่ไม่เคยผิดเลยคือคนที่ไม่ทำอะไร

ลองของสนามผู้ว่าฯ กทม.

ผมใช้ปรัชญาขนมชั้น ก่อนที่จะวางเราต้องทำเตาให้ได้ความร้อนพอดี มีน้ำมันพอดีจะได้ไม่ติดกระทะ ในการดำเนินการทางการเมืองนั้นต้องวางระบบในพรรค การวางนโยบาย วัฒนธรรมขององค์กร ให้คนในพรรคซึมซับวัฒนธรรมก่อนค่อยเอาคนนอกเข้ามาให้วัฒนธรรมกลืนเขา ไม่ให้เขากลืนองค์กร เราอยากให้องค์กรถูกกลืนเราก็ไม่ได้วัฒนธรรมให้ตรงเป้าของเรา นั่นคือสิ่งที่เป็นการตั้งใจทำที่ไทยรักไทยทำมา

ระหว่างช่วงที่กำลังดำเนินการรอการเลือกตั้ง กทม. ก็มีเลือกตั้งผู้ว่าฯ เราอยากดูว่าพรรคกระแสดีหรือไม่ก็ส่งคุณสุดารัตน์ลงแข่งขันด้วย เมื่อเราทำโพลเห็นชัดว่าเราแพ้คุณสมัคร สุนทรเวช แต่ก็พยายามปรับกระบวนการ เราทำโพลจนรู้ว่าเราแพ้ก็ต้องสู้ไปในเมื่อเกมแข่งขันเริ่มแล้ว ก็สู้กันไป ต้องยอมรับว่าคุณสมัครมีความเป็นนักการเมืองสูง มีฐานใน กทม. เป็นหลัก คุณสุดารัตน์มีไม่เท่าคุณสมัคร การเลือกตั้งครั้งนั้นเราแพ้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนบอกว่าจะไม่เอาไทยรักไทยนี่ แต่หลายคนก็บอกว่าจะแย่ ผมไม่ตกใจเพราะเป็นคนทำอะไรตามหลักวิชาการ แพ้ก็ลงเลือกตั้งงวดหน้าแน่นอน

คนเยอะคัดตัวลำบาก

ที่สุดการเลือกตั้งก็มาถึง พรรคไม่ได้บอกว่าจะให้ใครลงทุกคน ก็ไปแย่งกันลง ทำให้คนรู้จักพรรค ช่วงนั้นถ้าท่านจำได้มีการทำคัตเอาต์ติดทั่วประเทศ ใช้เงิน 4 ล้านกว่าบาท ช่วงที่ผมคัดผู้สมัครอยากเล่าให้ฟัง มีคนเก่าคนใหม่มาเยอะมาก คนใหม่เราใช้ระบบให้ไปแนะนำตัว จัดสัมมนาให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น คนเก่าก็นั่งหัวเราะกันไป คนใหม่ทำงานไปเรื่อย เราใช้ลูกขยันที่สุดก็คัดหน้าเก่าหน้าใหม่ลง ผมตั้งใจจะลงพื้นที่ที่เชียงใหม่แต่พรรคพวกบอกว่าอย่าลงเลยเดี๋ยวโดนแกล้งใบแดงจะไม่มีคนเป็นนายกฯ ผมก็บอกทำไมต้องแกล้ง ไม่เดินตามกติกา

เรื่องนี้มีมานานแต่มาชัดเจนวันนี้ องค์กรอิสระประกาศเป็นเสื้อเหลืองหมดแล้ว เป็นเรื่องที่น่าทุเรศ คนเป็นองค์กรกลางต้องเป็นกลางชัดเจน กติกาต้องเป็นกติกา ก็อยู่ในพื้นที่เขาดูกัน ที่สุดไม่รู้จะทำยังไงเลยเอาคุณเยาวภา (วงศ์สวัสดิ์) ไปลง ก็ไม่มีใครยอมใคร นี่คือธรรมเนียม เนื่องจากคนมาอยู่เยอะก็เลยต้องเอาคนกลางๆมาเป็นประธานภาคเหนือแทน เยาวภาก็เลยกลายมาเป็นประธานภาคเหนือทั้งๆที่ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมือง

เอาธรรมะเข้าข่ม

ตอนก่อนที่จะเลือกตั้งผมเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ช่วงนั้นมีเวลาก็ไปเรื่อย ต่างจังหวัดก็ไปทำงาน ว่างปุ๊บก็ไปต่างประเทศ พอดีกับโอ๊ค (พานทองแท้ ชินวัตร) เรียนที่นิวซีแลนด์เลยไปอยู่เป็นเพื่อน ขนหนังสือธรรมะของท่านพุทธทาสไปเต็มกระเป๋า บังเอิญว่าโอ๊คไปอยู่เงียบมาก ตีห้าก็ตื่นแล้ว ห้าโมงเย็นก็ไม่มีอะไร เงียบหมด ได้มีเวลาอ่านหนังสือ ไม่งั้นตอนนี้ผมตายไปเรียบร้อยแล้วเนื่องจากเครียด ปล่อยวางไม่เป็นก็ตายแน่ การนั่งสมาธิก็ช่วยได้ ที่พูดอย่างนี้คือผมไม่ท้อ เป็นอะไรที่ต้องสู้ แต่ถามว่าสู้แบบไหน สู้แบบมีสติ สันติ ไม่สู้ด้วยวิธีอันธพาล

ผมอ่านหนังสือเยอะ เดินทางเยอะ มีอยู่ครั้งหนึ่งพาโอ๊คไปถ่ายรูป ตอนนั้นมีทูตไทยคนหนึ่งชื่อกษิต ภิรมย์ เป็นคนที่เคยรับใช้กันมา พอผมมาตอนนั้นยังไม่ได้เป็นนายกฯนะ คุณกษิตก็มาบริการ พอดีเราไปพบคุณสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ นักถ่ายรูปที่สะสมกล้อง มีพิพิธภัณฑ์ด้วย ผมก็ไปเดินซื้อกล้อง ตอนนั้นยังไม่เลือกตั้ง จนเลือกตั้งกษิตมาขออยู่หน้าห้อง จากทูตเยอรมนีมาเป็นทูตประจำกระทรวง

ได้ ส.ส. เกินครึ่งสภา

พอมาถึงช่วงเลือกตั้งเราคัดผู้ลงสมัคร เรามีหลักการว่าผู้แทนต้องลงทุกเขต ผมต้องส่งทุกเขต เราก็ต้องคิดว่าแต่ละคนมีฝีมือก็ต้องให้ลงด้วยกัน บางคนพอได้มาอยู่ปาร์ตี้ลิสต์อันดับท้ายๆร้องไห้ร้องห่ม ผมเลยบอกว่าคุณได้เป็น ส.ส. แน่ บางคนชัดเจนว่าเป็นรัฐมนตรีแน่นอนก็ลาออกจาก ส.ส. ช่วงนั้นดูแล้วว่าเราจะได้ครึ่งหนึ่ง ผมก็ตกใจ หลายคนบอกไม่เชื่อ เพราะว่าเหลือเชื่อ เป็นไปได้ยังไง คุณเสนาะ (เทียนทอง) ก็เห็นด้วยว่าจะได้ไม่ถึงนาดนั้น แต่มีคนๆหนึ่งเป็นคนทำนายได้ใกล้เคียงกับโพลมาก ผมมองแบบวิทยาศาสตร์ แกทำแบบคนโบราณออกมาใกล้เคียงกัน แกไปเล่นการพนันก็ได้เยอะ ระหว่างการปฏิวัติถูกกราดยิงตายทั้งผัวทั้งเมียไม่รู้เพราะอะไร

ทุกคนมองว่าผมมีตังค์ ใช้ตังค์ทำร้ายคนอื่น ความจริงไม่เกี่ยวเลยครับ ผมเดินทุกอย่างตามกติกา เงินก็ใช้บริหารจัดการ ค่าโฆษณา แต่ใช้ซื้อเสียงไม่นิยมเลย เพราะผมเห็นมาหมดแล้ว เห็นแม้กระทั่งว่าค่ายกมือผู้แทนสมัยเก่า ทั้งหมดลงไปที่ประชาชนทั้งๆที่เราทำแบบมีขั้นตอน รับไม่ได้ จะทำชั่วข้ามคืนยังไม่ได้ ผมยอมรับว่าเราต้องใช้เวลาในทุกๆเรื่อง ก็เลยถูกใจคนกลุ่มหนึ่งแต่อีกกลุ่มก็ไม่ นานาจิตตังครับ ผมดูรายการหนึ่งเป็นรายการตกปลา 3 ชั่วโมงนี่ก็นั่งคุยเรื่อยๆ ผมโทร.ไปด่าว่าทำไมเอารายการแบบนี้มาออก ลูกน้องบอกว่าแสดงให้เห็นว่าคนเรามีความชอบไม่เหมือนกัน มากน้อยก็แล้วแต่

ถูกตัดสินซุกหุ้น

ช่วงนั้นก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับนักหนังสือพิมพ์ หลายคนบอกว่าตอนนี้ปัญหาเศรษฐกิจจะแก้ยังไง ผมบอกว่าวันนี้เศรษฐกิจเหมือนไฟที่มอดแต่ยังมีเชื้อไฟอยู่ ต้องรีบจุดใหม่ ต้องรีบสุมฟืนไม่งั้นจะดับสนิท ผมก็บอกว่าคนพูดง่ายกว่าคนทำเยอะ แน่นอนครับ ผมไม่ได้เป็นคนทำ วิจารณ์ในฐานะคนดู เหมือนดูไทเกอร์ วู้ด ตียังไงให้ตกน้ำ ถ้าเราไปทำเองก็ทำไม่ได้ เหมือนกันครับ เวลาผมทำแน่นอนว่าไม่ถูกใจคนทุกคน แต่ผมคิดว่าผมจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวมอย่างไร แต่แน่นอนไม่ได้มีกลไกอิสระในตัวเอง ทำไงให้สมดุลกับตรงนั้นตรงนี้

ผมถือว่าเรื่องแล้วไปแล้ว เสร็จแล้วคนที่ลงมือแกล้งผมก็ยังอยู่ ไม่อยากให้ผมเข้าการเมืองนั่นเอง สุดท้ายป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ลงมติว่าผมมีความผิดว่าซุกหุ้น เหมือนกับตอนนี้ใครมาเข้าข้างผมเสียคนหมด อยู่ฝั่งตรงข้ามจากเลวยังไงก็ดีหมด ถึงแม้ว่าจะมีประวัติไม่ดียังไงก็ดีเหมือนกันหมด แต่ผมก็สู้ไม่ถอย ผมถือว่าวันที่ ป.ป.ช. ตัดสิน พี่น้องจำได้ไหมว่าวันนั้นสื่อมวลชนเต็มตึกชินฯ 3 มาสัมภาษณ์ว่าผมจะออกอาการยังไง แต่ผมก็กลับบ้าน ผมนอนเลยครับ หลับไปชั่วโมงกว่าตื่นมาอาบน้ำ มาเขียนว่าเราจะพูดอะไร ผมบอกว่าพร้อมแล้วหลังจากเขียนเสร็จ เป็นไงเป็นกัน ผมก็ไปแถลงข่าว ผมยินดีที่จะให้คนในไทยรักไทยเป็นนายกฯต่อหากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง แล้วก็อย่างน้อยผมไปถึงก็ทำงานหนักเลย เพราะไม่รู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะทำยังไง

ตั้งใจทำงานแต่ถูกรังแก

วันนั้นผมถือว่าได้ออกทีวี.ทุกช่องเหมือนถ่ายทอดสด ช่วงนั้นเราก็หาวิธีทำอย่างไรให้ออกอากาศ รัฐบาลก็กันเราเหมือนวันนี้เลยครับ เหตุการณ์ที่ใช้องค์กรต่างๆเล่นงานผมก็เหมือนวันนี้เลย แต่ว่าวันนี้ดีกรีแรงกว่า หนักกว่า ยังสงสัยถึงทุกวันนี้ครับ ผมโดนอาการเดียวกัน ป.ป.ช. ก็อาการเดียวกัน สงสารที่ถูกรังแก ตั้งใจทำงานให้ประชาชนแต่ถูกรังแก

วันนี้ต้องขอพอแค่นี้ก่อน ค่อยมาเล่าอีกวันว่าผลการเลือกตั้งเป็นยังไง ตั้งรัฐบาลอย่างไร การบริหารประเทศยากง่ายยังไง เจออะไรบ้าง จะได้เล่าให้ฟังเรื่องราวทั้งหมดของประเทศ สมควรอย่างยิ่งที่ต้องรู้ ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่มีความลับอะไร ที่ถูกกล่าวหาว่าไปขายความลับให้กับประเทศกัมพูชา โปรดติดตามต่อไปครับ พรุ่งนี้พบกันวันละครึ่งชั่วโมง สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker