เมื่อไม่กี่วันมานี้ "สวนดุสิตโพล" ได้สำรวจความเห็นของประชาชน ใน กทม.และปริมณฑลจำนวน 2,241 คน เกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
มีอยู่ 2 ประเด็นที่ผมเห็นว่าน่าสนใจและน่าจะนำมาขยายความต่อ เพื่อแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ประเด็นแรกได้แก่ ประเด็นที่ว่า...การตัดสินในวันที่ 26 ก.พ. จะก่อให้เกิดเหตุการณ์บานปลายหรือไม่?
ร้อยละ 41.20 ตอบว่า...เกรงว่าจะบานปลาย...ร้อยละ 35.67 ตอบว่าไม่แน่ใจ และร้อยละ 23.13 เชื่อว่าไม่บานปลาย
จากประเด็นนี้จะเห็นได้ว่า ถ้าเทียบระหว่างบานปลายกับไม่บานปลาย... คนที่ห่วงว่าเหตุการณ์อาจจะบานปลายหลังการตัดสินมีมากกว่า
ซึ่งก็น่าจะสอดคล้องกับความรู้สึกนึกคิดเท่าที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะจากที่เราพูดคุยกันเองโดยไม่ต้องทำโพลอะไรที่ไหน...ส่วนใหญ่ก็มักจะแสดงความห่วงใยเกรงว่าจะเกิดบานปลายกันอยู่แล้ว
ครั้นเมื่อสวนดุสิตโพลถามต่อว่า จะทำอย่างไรไม่ให้เหตุการณ์ บานปลาย? ก็ได้คำตอบกลับมาดังนี้
ร้อยละ 35.16 ซึ่งเป็นร้อยละที่มากที่สุดเห็นว่า ทุกฝ่ายควรหยุด การตอบโต้และรอฟังคำสั่งศาล
ร้อยละ 34.03 บอกว่า ไม่ควรนำความเห็นส่วนตัวออกมาพูด
ร้อยละ 16.23 เห็นว่าควรว่ากันไปตามกฎหมาย และร้อยละ 14.58 เห็นว่าสื่อต้องนำเสนอข่าวตามข้อเท็จจริง
ผมเห็นด้วยกับผลสำรวจในประเด็นหลังเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในข้อแรกที่บอกว่า ทุกฝ่ายควรหยุดการตอบโต้และรอฟังคำสั่งศาล
เพราะการโต้กันไปโต้กันมา หรือนำความคิดเห็นส่วนตัวออกมาพูดก็รังแต่จะทำให้เกิดอารมณ์ เกิดความขัดข้องหมองใจ ทำให้การเผชิญหน้ารุนแรงเกินเหตุ
การรอฟังคำตัดสินของศาลและเชื่อมั่นในศาลจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
ดังที่ผมเคยเขียนไว้บ้างแล้วว่า การตัดสินคดียึดทรัพย์ครั้งนี้ ดำเนินการโดยศาลฎีกา แผนกคดีอาญานักการเมือง
เป็นศาลหรือนักกฎหมายที่เป็นผู้พิพากษาโดยอาชีพมาตั้งแต่แรกเริ่ม
จึงมีขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีปฏิบัติและหลักในการปฏิบัติในกรอบของศาลสถิตยุติธรรมดั้งเดิม
ใช้กฎหมายเป็นหลัก ว่ากันไปตามตัวบทและตามพยานหลักฐาน
องค์คณะของผู้พิพากษาล้วนเติบโตมาจากผู้พิพากษาที่ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆตามสายการปฏิบัติงานของตุลาการ
ดังนั้น การตัดสินคดียึดทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 26 ก.พ.นี้ จึงเป็นเรื่องของระบบศาลดั้งเดิมที่แท้จริง
ประกอบกับคดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน มีผู้ติดตามซึ่งถ้าจะใช้ภาษาชาวบ้านก็คือ มีผู้ลุ้นหรือเอาใจช่วยด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
การเขียนคำพิพากษาจึงจะต้องเขียนด้วยความละเอียดรอบคอบมีเหตุมีผลและผูกโยงกันเป็นเปลาะๆ
หากมีการเขียนแบบกลอนพาไปหรือไม่ชัดเจน หรือไม่มีข้อสนับ สนุนที่แข็งแรงก็จะถูกกองเชียร์ของแต่ละฝ่ายหยิบยกขึ้นมาจับผิดได้
ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าทุกๆคำตัดสินจะต้องมีเหตุมีผลที่อธิบายได้ และเป็นที่ยอมรับของผู้ที่มีใจเป็นธรรมและเป็นกลาง
ผมเชื่อของผมมาตลอดว่า คนที่มีใจเป็นธรรมและเป็นกลางนั้นน่าจะเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทย
ไม่เชียร์ใครและไม่ชังใครโดยไร้เหตุไร้ผล
ประชาชนกลุ่มนี้แหละครับที่จะออกมาชี้ขาดหลังการตัดสิน
หากประชาชนกลุ่มนี้เห็นว่า การตัดสินของศาลฎีกาชอบแล้วตามเหตุตามผลที่เขียนบรรยายไว้...ใครที่ไม่เห็นด้วยจะออกมาก่อเหตุบานปลายใดๆก็ตาม และไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ตาม
ประชาชนชาวไทยที่เคยแสดงพลังอย่างบริสุทธิ์อย่างยุติธรรมมาหลายครั้งหลายหน จะออกมาแสดงพลังของเขาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อไม่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างบานปลายออกไปอย่างไร้สติสัมปชัญญะ
ผมเชื่อว่าพลังดังที่ผมกล่าวมานี้ยังมีอยู่ในประเทศไทยของเราครับ.
"ซูม"