โดย prainn
วันที่ 13 เมษายน 2553
ใครที่อยู่ในเหตุการณ์ทหารสลายการชุมนุมพี่น้องประชาชนคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เมายน 2553 ที่ผ่านมา ก็คงได้รับทราบรู้ซึ้งถึงแก่นความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้เมืองนี้ว่าปกครองด้วยระบบอะไรกันแน่ถึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้
ผมมีโอกาสได้เข้าไปอยูในวงในของกลุ่มทหารตั้งแต่ช่วงบ่ายก่อนเริ่มการสลายการชุมนุมจึงได้มีโอกาสรับรู้ถึงความคิดความรู้สึกของเหล่าทหารทั้งหลายที่ถูกส่งเข้ามาประจำการในการสลายการชุมนุมครั้งนี้ด้วยความรู้สึกที่หดหู่เป็นยิ่งนัก
นายทหารท่านหนึ่งที่เป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยๆหนึ่งได้กล่าวกับผู้ใต้บังคับบัญชาก่อนเริ่มปฏิบัติการสลายการชุมนุมด้วยเสียงอันดุดันและก้าวร้าวว่า “การปฏิบัติการครั้งนี้ทุกคนพร้อมที่จะต้องปฏิบัติการเพื่อรักษาราชบัลลังค์ ลุยให้ถึงที่สุด”
ผมไม่ทราบว่านายทหารท่านนั้นทำไมต้องกล่าวเช่นนั้นด้วย แต่สิ่งที่ทำให้คิด คือ มันเป็นการสื่อให้เห็นชัดเจนว่าคนเสื้อแดงไม่ได้จงรักภักดีต่อราชบัลลังค์เช่นนั้นหรือ ถึงได้ทำให้ทหารเหล่านี้ต้องออกมาปกป้องราชบัลลังค์ ทั้งที่การชุมนุมครั้งนี้เป็นการเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาและผู้ชุมนุมมีสิทธิที่จะชุมนุมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ได้บัญญัติไว้
หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จะเห็นได้ว่าปฏิบัติการกล่าวหาเรื่องไม่จงรักภักดีถูกจุดประเด็นขึ้นโดยสนธิ ลิ้มทองกุล เรื่องการทำบุญในวัดพระแก้วของ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นออร์เดิฟแรก
ซึ่งเป็นเรื่องราวหลายเรื่องที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำลายอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ให้ย่อยยับดับไปคามือแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงหันมาใช้แผนชั่วร้ายโดยอาศัยสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือในการทำลายล้าง ซึ่งเคยประสบความสำเร็จมาแล้วเมื่อครั้งก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
เมื่อย้อนรอยอดีตมาถึงปัจจุบันจะมองเห็นอย่างเด่นชัดว่าการใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างกันในทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งเกิดจากกลุ่มนักการเมืองกันเองที่เล่นการเมืองแบบสกปรกโสโครก และเกิดจากกลุ่มนักธุรกิจเชื้อสายขุนนางอำมาตย์เก่าหรือกลุ่มอนุรักษ์นิยมนั่นเอง
อีกทั้งยังรวมไปถึงกลุ่มนายทหารซึ่งมักใหญ่ใฝ่สูงในอำนาจและบารมีเนื่องด้วยมีกองกำลังติดอาวุธอยูในมือจึงทำให้กลุ่มนายทหารบ้าอำนาจเหล่านี้ ทำตัวอยู่เหนืออำนาจใดๆในบ้านเมืองนี้ ได้ทำการต่อสายเชื่อมโยงสืบทอดอำนาจกันมาอย่างป็นขบวนการด้วยความร่วมมือกับกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการครอบครองทรัพยากรภายในประเทศด้วยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์โดยการยังประโยชน์ซึ่งกันและกัน
ความหายนะและความตกต่ำของประเทศจึงกลายเป็นเครื่องมือให้คนเหล่านี้ได้ฉกฉวยโอกาสทุกสิ่งทุกอย่างไปจากประชากรคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร และมนุษย์เงินเดือนที่หาเช้ากินค่ำ หรือหาถึงค่ำยันเช้าแล้วก็ยังไม่พอกิน
สังคมที่ศิวิไลไฮโซเปรียบเสมือนแดนสวรรค์ในโลกมนุษย์ของกลุ่มคนเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นรองรับให้กับกลุ่มคนเพียงไม่กี่ตระกูลได้ใช้เป็นเทวสถานวิมานแมนแดนสุขาวดี ในขณะที่คนส่วนใหญ่ในประเทศขาดแคลนแม้กระทั่งบางตำบล-อำเภอ ก็ยังไม่มีไฟฟ้า-น้ำประปาจะใช้ รวมถึงสาธารณูประโภคอันจำเป็นแก่ชีวิตที่มนุษย์ควรจะได้รับการเอาใจใส่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแล
อำนาจวาสนาบารมีเป็นเรื่องที่แข่งขันกันไม่ได้ก็จริงอยู่ แต่ลมหายใจของมนุษย์ทุกคนที่ใช้ร่วมกันอยู่ ณ จักรวาลแห่งนี้เป็นลมหายใจเข้าออกที่มนุษย์ทุกคนต้องการไม่ต่างกันนั่นก็คือ[อิสระภาพ เสรีภาพ และภราดรภาพ ที่ทุกคนใฝ่ฝันหาไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่งจะเข้ามามีสิทธิครอบครองเพียงฝ่ายเดียวด้วยการกระทำย่ำยีอีกฝ่ายหนึ่งดั่งไม่ใช่คน
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงน่าจะซาบซึ้งถึงเรื่องราวเหล่านี้ดีว่าการที่ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นมีสาเหตุความเป็นมาอย่างไร และที่ต้องทนกลืนไม่ได้คลายไม่ออกเพราะอะไรและทำไมถึงต้องยอมจำนนกับอำนาจนั้นเพราะอะไร
ทั้งหมดนั้นคือคำตอบว่าความกล้าของความเป็นผู้นำประเทศในอันที่จะทำให้ประชาชนพ้นบ่วงแห่งความชั่วร้ายที่สั่งสมมาอย่างยาวนานภายในประเทศนี้ให้หลุดพ้นไปได้นั้นอย่าได้หวังเลยกับนายกรัฐมนตรีที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
วันนี้ ประชาชนทั้งหลายเขาจึงมาทวงนายกรัฐมนตรีของเขาคืน นายกรัฐมนตรีที่เคยให้โอกาสกับชนชั้นรากหญ้าอย่างพวกเขาที่ไม่เคยมีใครให้โอกาสเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งคนที่เขาคิดว่าจะให้โอกาสกับเขาได้ก็เป็นได้แต่เพียงฝันลมๆแล้งๆไปวันๆเท่านั้น เพราะมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงอย่างพวกเขาคงไม่กล้าสะเออะร้องขอหรือเอ่ยปากแม้กระทั่งเทวดาที่พวกเขานับถือ
ไม่รู้ว่าจะต้องตายกันอีกกี่ศพ ไม่รู้ว่าจะต้องหายนะไปอีกสักเท่าไรก็คงไม่สะทกสะท้านความรู้สึกของพวกเขามากนัก ตราบใดที่อำนาจแห่งความไร้ธรรมและโหดเหี้ยมอำมหิตยังครอบงำจิตใจของผู้ที่บ่งบอกว่าตัวเองคือสัญญลักษณ์แห่งความดี ตราบนั้นความชั่วทั้งหลายทั้งปวงที่พวกเขาก่อกรรมทำเข็ญมาตลอดนั้นก็ไม่สามารถสำนึกได้
วีรชนผู้กล้าเอ๋ย เจ้าไม่ตายเปล่าดอกในครั้งนี้ เพราะศึกครั้งนี้ยิ่งใหญ่นักยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะคาดคิดได้ว่าการหักงวงไอยรานั้นมันไม่ง่ายหรอก แต่การที่จะทำให้ไอยราหมอบราบคาบแก้วอยู่ตรงหน้าได้นั้นกลับเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าอย่างที่คาดไม่ถึง
ขอเพียงมวลมหาประชาชนผู้ยิ่งใหญ่จงยึดมั่นและเดินหน้าในภาระกิจอันศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ด้วยหัวใจอันแข็งแกร่ง ด้วยจิตใจอันหนึ่งอันเดียวกัน เกาะเกี่ยวรวมพลังให้เหนียวแน่นและบุกฝ่าฟันไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใดพร้อมทั้งยึดมั่นในคาถาเดียวกันว่า!อำนาจอธิปไตยต้องเป็นของราษฎรทั้งหลาย!
พระอินทร์
ภาระกิจศักดิ์สิทธิ์ของคนเสื้อแดง
ใครที่อยู่ในเหตุการณ์ทหารสลายการชุมนุมพี่น้องประชาชนคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เมายน 2553 ที่ผ่านมา ก็คงได้รับทราบรู้ซึ้งถึงแก่นความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้เมืองนี้ว่าปกครองด้วยระบบอะไรกันแน่ถึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้
ผมมีโอกาสได้เข้าไปอยูในวงในของกลุ่มทหารตั้งแต่ช่วงบ่ายก่อนเริ่มการสลายการชุมนุมจึงได้มีโอกาสรับรู้ถึงความคิดความรู้สึกของเหล่าทหารทั้งหลายที่ถูกส่งเข้ามาประจำการในการสลายการชุมนุมครั้งนี้ด้วยความรู้สึกที่หดหู่เป็นยิ่งนัก
นายทหารท่านหนึ่งที่เป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยๆหนึ่งได้กล่าวกับผู้ใต้บังคับบัญชาก่อนเริ่มปฏิบัติการสลายการชุมนุมด้วยเสียงอันดุดันและก้าวร้าวว่า “การปฏิบัติการครั้งนี้ทุกคนพร้อมที่จะต้องปฏิบัติการเพื่อรักษาราชบัลลังค์ ลุยให้ถึงที่สุด”
ผมไม่ทราบว่านายทหารท่านนั้นทำไมต้องกล่าวเช่นนั้นด้วย แต่สิ่งที่ทำให้คิด คือ มันเป็นการสื่อให้เห็นชัดเจนว่าคนเสื้อแดงไม่ได้จงรักภักดีต่อราชบัลลังค์เช่นนั้นหรือ ถึงได้ทำให้ทหารเหล่านี้ต้องออกมาปกป้องราชบัลลังค์ ทั้งที่การชุมนุมครั้งนี้เป็นการเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาและผู้ชุมนุมมีสิทธิที่จะชุมนุมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ได้บัญญัติไว้
หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จะเห็นได้ว่าปฏิบัติการกล่าวหาเรื่องไม่จงรักภักดีถูกจุดประเด็นขึ้นโดยสนธิ ลิ้มทองกุล เรื่องการทำบุญในวัดพระแก้วของ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นออร์เดิฟแรก
ซึ่งเป็นเรื่องราวหลายเรื่องที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำลายอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ให้ย่อยยับดับไปคามือแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงหันมาใช้แผนชั่วร้ายโดยอาศัยสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือในการทำลายล้าง ซึ่งเคยประสบความสำเร็จมาแล้วเมื่อครั้งก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
เมื่อย้อนรอยอดีตมาถึงปัจจุบันจะมองเห็นอย่างเด่นชัดว่าการใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างกันในทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งเกิดจากกลุ่มนักการเมืองกันเองที่เล่นการเมืองแบบสกปรกโสโครก และเกิดจากกลุ่มนักธุรกิจเชื้อสายขุนนางอำมาตย์เก่าหรือกลุ่มอนุรักษ์นิยมนั่นเอง
อีกทั้งยังรวมไปถึงกลุ่มนายทหารซึ่งมักใหญ่ใฝ่สูงในอำนาจและบารมีเนื่องด้วยมีกองกำลังติดอาวุธอยูในมือจึงทำให้กลุ่มนายทหารบ้าอำนาจเหล่านี้ ทำตัวอยู่เหนืออำนาจใดๆในบ้านเมืองนี้ ได้ทำการต่อสายเชื่อมโยงสืบทอดอำนาจกันมาอย่างป็นขบวนการด้วยความร่วมมือกับกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการครอบครองทรัพยากรภายในประเทศด้วยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์โดยการยังประโยชน์ซึ่งกันและกัน
ความหายนะและความตกต่ำของประเทศจึงกลายเป็นเครื่องมือให้คนเหล่านี้ได้ฉกฉวยโอกาสทุกสิ่งทุกอย่างไปจากประชากรคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร และมนุษย์เงินเดือนที่หาเช้ากินค่ำ หรือหาถึงค่ำยันเช้าแล้วก็ยังไม่พอกิน
สังคมที่ศิวิไลไฮโซเปรียบเสมือนแดนสวรรค์ในโลกมนุษย์ของกลุ่มคนเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นรองรับให้กับกลุ่มคนเพียงไม่กี่ตระกูลได้ใช้เป็นเทวสถานวิมานแมนแดนสุขาวดี ในขณะที่คนส่วนใหญ่ในประเทศขาดแคลนแม้กระทั่งบางตำบล-อำเภอ ก็ยังไม่มีไฟฟ้า-น้ำประปาจะใช้ รวมถึงสาธารณูประโภคอันจำเป็นแก่ชีวิตที่มนุษย์ควรจะได้รับการเอาใจใส่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแล
อำนาจวาสนาบารมีเป็นเรื่องที่แข่งขันกันไม่ได้ก็จริงอยู่ แต่ลมหายใจของมนุษย์ทุกคนที่ใช้ร่วมกันอยู่ ณ จักรวาลแห่งนี้เป็นลมหายใจเข้าออกที่มนุษย์ทุกคนต้องการไม่ต่างกันนั่นก็คือ[อิสระภาพ เสรีภาพ และภราดรภาพ ที่ทุกคนใฝ่ฝันหาไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่งจะเข้ามามีสิทธิครอบครองเพียงฝ่ายเดียวด้วยการกระทำย่ำยีอีกฝ่ายหนึ่งดั่งไม่ใช่คน
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงน่าจะซาบซึ้งถึงเรื่องราวเหล่านี้ดีว่าการที่ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นมีสาเหตุความเป็นมาอย่างไร และที่ต้องทนกลืนไม่ได้คลายไม่ออกเพราะอะไรและทำไมถึงต้องยอมจำนนกับอำนาจนั้นเพราะอะไร
ทั้งหมดนั้นคือคำตอบว่าความกล้าของความเป็นผู้นำประเทศในอันที่จะทำให้ประชาชนพ้นบ่วงแห่งความชั่วร้ายที่สั่งสมมาอย่างยาวนานภายในประเทศนี้ให้หลุดพ้นไปได้นั้นอย่าได้หวังเลยกับนายกรัฐมนตรีที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
วันนี้ ประชาชนทั้งหลายเขาจึงมาทวงนายกรัฐมนตรีของเขาคืน นายกรัฐมนตรีที่เคยให้โอกาสกับชนชั้นรากหญ้าอย่างพวกเขาที่ไม่เคยมีใครให้โอกาสเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งคนที่เขาคิดว่าจะให้โอกาสกับเขาได้ก็เป็นได้แต่เพียงฝันลมๆแล้งๆไปวันๆเท่านั้น เพราะมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงอย่างพวกเขาคงไม่กล้าสะเออะร้องขอหรือเอ่ยปากแม้กระทั่งเทวดาที่พวกเขานับถือ
ไม่รู้ว่าจะต้องตายกันอีกกี่ศพ ไม่รู้ว่าจะต้องหายนะไปอีกสักเท่าไรก็คงไม่สะทกสะท้านความรู้สึกของพวกเขามากนัก ตราบใดที่อำนาจแห่งความไร้ธรรมและโหดเหี้ยมอำมหิตยังครอบงำจิตใจของผู้ที่บ่งบอกว่าตัวเองคือสัญญลักษณ์แห่งความดี ตราบนั้นความชั่วทั้งหลายทั้งปวงที่พวกเขาก่อกรรมทำเข็ญมาตลอดนั้นก็ไม่สามารถสำนึกได้
วีรชนผู้กล้าเอ๋ย เจ้าไม่ตายเปล่าดอกในครั้งนี้ เพราะศึกครั้งนี้ยิ่งใหญ่นักยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะคาดคิดได้ว่าการหักงวงไอยรานั้นมันไม่ง่ายหรอก แต่การที่จะทำให้ไอยราหมอบราบคาบแก้วอยู่ตรงหน้าได้นั้นกลับเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าอย่างที่คาดไม่ถึง
ขอเพียงมวลมหาประชาชนผู้ยิ่งใหญ่จงยึดมั่นและเดินหน้าในภาระกิจอันศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ด้วยหัวใจอันแข็งแกร่ง ด้วยจิตใจอันหนึ่งอันเดียวกัน เกาะเกี่ยวรวมพลังให้เหนียวแน่นและบุกฝ่าฟันไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใดพร้อมทั้งยึดมั่นในคาถาเดียวกันว่า!อำนาจอธิปไตยต้องเป็นของราษฎรทั้งหลาย!
พระอินทร์