บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เจาะ"รถกันกระสุน" Range Rover คีย์แมนรัฐบาล "มาร์ค-สุเทพ-กรณ์-บิ๊กดีเอสไอ" คันละ 6 ล้าน

ที่มา มติชน



นับแต่รัฐบาลประกาศตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) รับมือการเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บทบาทกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สังกัดกระทรวงยุติธรรม โดดเด่นเป็นพิเศษ


ด้วยเพราะต้องรับผิดชอบคดีสำคัญที่มีการกระทำเข้าข่ายลักษณะการก่อการร้ายกว่า 100 คดี อาทิ ลอบวางระเบิด เผาสถานที่ราชการ คดีสังหารพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) รวมทั้งคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้อื้อฉาว ถูกศาลอาญาออกหมายจับเมื่อหลายวันก่อน


แน่นอนคีแมนย์อย่าง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ อาจตกเป็นเป้าสังหาร


ล่าสุดศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ส่งรถยนต์กันกระสุนหุ้มเกราะ ยี่ห้อ LAND ROVER รุ่น Range Rover มาให้นายธาริตใช้เป็นประจำตำแหน่ง


"มติชนออนไลน์"ตรวจสอบพบว่า รถกันกระสุนคันดังกล่าว เป็น 1 ใน 20 คันที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สั่งซื้อยกลอตจากบริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จำกัด (กลุ่มบริษัท มาสด้า ซิตี้ จำกัด) ผ่านศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ราคา 122.8 ล้านบาท (คันละ 6 ล้านบาทเศษ)

"ที่มา"ของการจัดซื้อ มาจากเหตุการณ์มุ่งเอาชีวิตนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่กระทรวงมหาดไทย เมื่อเดือนเมษายน 2552 และมีความพยายามปองร้ายนายกฯและบุคคลสำคัญหลายครั้ง

ประกอบกับการผสมโรงของ "ผู้ก่อการร้าย" แฝงตัวมาพร้อมกับการชุมนุมทางการเมือง ทำให้นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ ต้องหันมาใช้บริการรถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุน


ถ้าจำกันได้นายสุเทพก็เคยนั่งโชว์เข้าทำเนียบรัฐบาลประมาณตุลาคม 2552

นายสุเทพ บอกว่า ได้ทดลองนั่งแล้วรู้สึกสบายดี สมรรถนะของรถทั่วไปก็ดี แต่อาจจะลำบากหน่อยสำหรับสุภาพสตรี เพราะอาจจะขึ้น-ลงยาก เพราะรถสูง แต่สำหรับสุภาพบุรุษไม่เป็นไร และหลังจากเสร็จงานประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนแล้ว ได้นำรถนี้ไว้ใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองหรือผู้นำประเทศต่อไป โดยจะให้ศูนย์รักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีเป็นคนดูแล


ผู้นำอาเซียนที่เดินทางมาประชุมอาเซียนซัมมิทที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธุ์ จึงได้ใช้บริการ Range Rover


นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็เป้นอีกคนหนึ่งที่ใช้บริการของรถรุ่นนี้ ล่าสุดในการเดินทางไปร่วมเปิดงานถนนคนเดินสีลม เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็ใช้รถรุ่นนี้ด้วยเหมือนกัน


อาจรวมทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)

ทั้งนี้ บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จำกัด (ชื่อเดิมบริษัท กัววาอินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย จำกัด) เป็นของกลุ่มทุนต่างชาติ จดทะเบียนเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2548 ทุนจดทะเบียน 40 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 283/74 อาคารโฮมเพลสออฟฟิศ บิลดิ้ง ชั้น 15 ซอยสุขุมวิท 55 (ทองหล่อ 13) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ราย


1.บริษัท คลิปเปอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (สัญญาชาติฮ่องกง) 49% 2.นายเควิน รอเบิร์ต วิทคร๊าฟท์ 25.5 % และ 3. นายธอมัส อาร์เตอร์ วิทคร๊าฟท์ 25.5 % รวม 400,000 หุ้น ๆ ละ 100 บาท โดยนายเควินรอเบิร์ต วิทคร๊าฟท์ นายธอมัส อาร์เตอร์ วิทคร๊าฟท์ และนายมาร์ค อิงเกิ้ล วิทคร๊าฟท์ เป็นกรรมการ


นักลงทุนกลุ่มนี้ทำธุรกิจหลายแห่ง อาทิ


บริษัท ทับละมุ รีสอร์ท ดีเวลลอปเม้นท์ส จำกัด ร่วมกับ ม.ร.ว. พีรานุพงศ์ ภาณุพันธ์ ,บริษัท อาร์เอ็มเอ ออโตโมทีฟ จำกัด (ส่งออก) ,บริษัท โกลบอล อาร์เมอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ,บริษัท แคล ไซด์ (ประเทศไทย) จำกัด ,บริษัท เดอะ นิวดอร์ จำกัด ,บริษัท เรือใบไทย จำกัด ,บริษัท สัตหีบ ดีเวลลอปเม้นท์ส จำกัด , บริษัท อาร์เอ็ม เอเซีย คอนซัลแตนท์ส จำกัด ,บริษัท นาคา ชิปปิ้ง ไลนส์ จำกัด ,บริษัท นาคา ฟิล์มส จำกัด ,บริษัท เปเปอร์ โพเอ็ทส์ จำกัด ,บริษัท พีเคซีอาร์ แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นต้น


ภายใต้สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ไม่รู้คีย์แมนเหล่านี้จะต้องทนใช้ชีวิต (ปลอดภัย?) ใน Range Rover อีกนานเท่าไร?


อนาคตประชาธิปัตย์กับคดียุบพรรครอบสอง

ที่มา มติชน


โดย ศุภณัฐ ศุภชลัสถ์ น.บ. (เกียรตินิยม) จุฬาฯ ผู้ช่วยนักวิจัย สถาบันพระปกเกล้า

แม้รัฐบาลจะผ่านพ้นศึกจากที่สามารถสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงไปได้โดยนายกฯไม่ต้องยุบสภา และไม่ต้องประกาศลาออกก่อนกาลอันควร แต่ก็เดาไม่ออกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะถูกระดมพลกลับเข้ามาเขย่ารัฐบาลที่อาจนำทัพโดยพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยนี้หรือสมัยหน้าๆ อีกเมื่อไหร่


แต่ในระยะเวลาอันไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้ พรรคสีฟ้าที่มีตราพระแม่ธรณีบีบมวยผมเป็นสัญลักษณ์แห่งนี้คงจะโล่งได้ไม่นาน เพราะจำต้องเตรียมรับศึกหนักครั้งใหม่ในคดียุบพรรครอบสองไว้ให้ดี เนื่องจาก กกต. ได้ส่งสำนวนคดีของพรรคประชาธิปัตย์ให้อัยการสูงสุดรับลูกต่อ และอัยการสูงสุดได้ส่งสำนวนคดีขาหนึ่งขึ้นไปจ่อไว้บนเขียงของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว และดูท่าว่าประชาธิปัตย์ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงศึกนี้ได้เลย แม้จะมีกองทัพสีใดแกร่งแค่ไหนที่จะคอยระวังหลังให้อยู่ก็ตาม


ศึกคดียุบพรรคครั้งนี้แยกออกเป็นสองขา ขาหนึ่งคือการนำทัพให้รอดพ้นจากข้อกล่าวหาที่พรรคประชาธิปัตย์รับเงินบริจาคจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด(มหาชน) ผ่านทางบริษัท เมซไซอะ บิสิเนสแอนครีเอชั่น จำกัด จำนวน ๒๕๘ ล้านบาท โดยถูกกล่าวหาว่า เจตนาปกปิด ทำนิติกรรมอำพรางว่าเป็นสัญญาว่าจ้างทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆ แทน เพื่อมิให้ต้องรายงานจำนวนเงินดังกล่าวต่อ กกต.อันเป็นความผิดตามกฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๔๑ ซึ่งบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น ในมาตรา ๖๖ (๒) ที่กล่าวว่า กระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ และ “(๓) กระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” (ที่ดูมีนัยยะกว้างมากจนกล่าวได้ว่า หากกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมืองใดจับกลุ่มกันในพรรคเล่นไพ่ป๊อกกินตังค์กันขึ้นมา พรรคก็ส่อว่าจะขัดอนุมาตรานี้) และกำหนดให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคได้ทันควัน ซึ่งกฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบัน(ปี๒๕๕๐)ยังคงบัญญัติฐานความผิดดังกล่าวไว้ในมาตรา ๙๔ (๓) (๔) และ(๕) ด้วยเช่นกัน โดยสำนวนนี้อยู่ระหว่างอัยการสูงสุดพิจารณาส่งสำนวนสั่งฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ


ส่วนอีกขาหนึ่ง พรรคประชาธิปัตย์ก็ถูกกล่าวหาในคดีที่มีโทษยุบพรรคเช่นกันและคดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญรับฟ้องเรียบร้อยแล้ว ในกรณีที่ว่า เมื่อพรรคได้เงินสนับสนุนจากกองทุนสนับสนุนพรรคการเมืองที่ กกต. จัดสรรให้แล้ว ซึ่งพรรคจะต้องนำไปใช้จ่ายตามที่กฎหมายบัญญัติ (เช่น การบริหารพรรค สาขา หรือหาสมาชิก ตามม.๕๙ กฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๔๑) แต่ประชาธิปัตย์หาได้ทำไม่


แต่กลับจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองอันเป็นเท็จรายงานต่อ กกต. อันเป็นการขัดต่อกฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๔๑ ซึ่งบังคับใช้อยู่ในขณะนั้นในมาตรา ๖๒ ที่กล่าวว่า “พรรคการเมืองที่ได้รับเงินสนับสนุนต้องใช้จ่ายเงิน สนับสนุนให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในส่วนนี้ และจะต้องจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงิน สนับสนุนของพรรคการเมืองในรอบปีปฏิทินให้ถูกต้องตามความเป็นจริง...” และอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคได้ตามมาตรา ๖๕ ที่บัญญัติว่า “พรรคการเมืองย่อมเลิกหรือยุบด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังต่อไปนี้” และใน (๕)ระบุไว้ว่า “ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตาม...มาตรา ๖๒”ซึ่งกฎหมายพรรคการเมืองในปัจจุบัน (ปี ๒๕๕๐) ยังคงบัญญัติฐานความผิดไว้ในมาตรา ๘๒ และ ๙๓ ตามลำดับอีกเช่นกัน


อันเป็นที่ประจักษ์ว่าศึกทั้งสองขานี้มีสถานะของพรรคประชาธิปัตย์เป็นเดิมพันแพ้ชนะทั้งสองทาง


แต่หากพิจารณาบทลงโทษในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ที่จะต้องโดนจากการฝ่าฝืนบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องข้างต้นแล้ว หากท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคนี้ให้มลายลง ก็คงยังเบาใจได้มากกว่าพรรคอื่นๆในอดีต ไม่ว่าจะเป็นไทยรักไทย พลังประชาชน ชาติไทย หรือมัฌชิมาธิปไตยก็ตาม เพราะหากพิจารณาดูจากตัวบทกฎหมายแล้ว เมื่อเทียบกับครั้งที่มีการวินิจฉัยคดียุบพรรคไทยรักไทย


นอกจากบทบัญญัติในกฎหมายพรรคการเมืองขณะนั้น จะบัญญัติให้การกระทำดังกล่าวอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคตามกฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๔๑ มาตรา ๖๖ (๓) ตามบทบัญญัติเดียวกันกับกรณียุบพรรคประชาธิปัตย์ขาแรกแล้ว ก็ยังมีประกาศคณะปฏิรูปการปกครอง ฯ ฉบับที่ ๒๗ ข้อ ๓ เน้นไว้อีกว่า“ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอื่นที่ทำหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใดเพราะเหตุกระทำตามต้องห้ามตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมืองพุทธศักราช ๒๕๔๑ ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นมีกำหนด ๕ ปี นับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งให้ยุบพรรค” มัดไว้อีกชั้นหนึ่งให้พรรคที่ถูกยุบตามกฎหมายพรรคการเมืองแล้ว หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยจึงถูกศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนสิทธิทางการเมือง ๕ ปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ส่วนกรณียุบสามพรรคร่วมรัฐบาล คือ พลังประชาชน ชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตยนั้น ก็เป็นที่ประจักษ์เช่นกันว่านอกจากกฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๕๐ มาตรา ๙๔ (๒) และ (๔) จะบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจยุบพรรคได้แล้ว รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ยังติดดาบประหารอนาคตการเมืองของหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคไว้ในมาตรา ๒๓๗ (มาตราอันเลื่องชื่อที่มีที่มาจากประกาศ คปค. ฉบับที่ ๒๗ที่ใช้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง บ้านเลขที่ ๑๑๑ เมื่อคราวยุบไทยรักไทย) อีกเช่นกัน ในการมัดให้หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นๆต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลา ๕ ปีไปด้วยทันที


แต่ส่วนของคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ กกต.ส่งไปยังอัยการสูงสุดเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ หากดูข้อกฎหมายทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ประวัติศาสตร์คงจะไม่ซ้ำรอยตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๓๗ แบบพรรคการเมืองทั้งสามเป็นแน่ เพราะมาตรา ๒๓๗ มีขอบเขตจำกัดที่จะต้องปรับใช้เฉพาะในความผิดที่เกี่ยวการทุจริตตามกฎหมายเลือกตั้งเท่านั้น

แต่ไม่รวมถึงข้อกล่าวหาทั้งสองข้อที่พรรคสีฟ้าแห่งนี้ถูกร้องซึ่งจะต้องไปว่ากันตามกฎหมายพรรคการเมืองอีกฉบับหนึ่งที่มีบทลงโทษเป็นต่างหากไป


เมื่อพิเคราะห์ตัวบทต่างๆแล้วจึงพบว่า ในกฎหมายพรรคการเมืองทั้งฉบับเก่าในปี ๒๕๔๑ และฉบับปัจจุบันคือปี ๒๕๕๐ นี้ ที่หากศาลรัฐธรรมนูญท่านวินิจฉัยว่าผิดจริงตามข้อกล่าวหาข้อใดซักข้อ ก็คงจะหนีการถูกยุบพรรคไม่พ้นอยู่ดี


แต่การพิจารณาโทษที่พ่วงมากับการยุบพรรคที่ประชาธิปัตย์อาจต้องเผชิญในครานี้ ต้องพิจารณาดูทั้งกฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่เกิดการกระทำผิดประกอบกับกฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๕๐ ที่เป็นกฎหมายปัจจุบันควบคู่กันไป เพื่อนำมาเลือกใช้ให้ต้องตามหลักพื้นฐานกฎหมายที่ว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด”


ถ้าไปดูกฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๕๐ที่บังคับใช้ในปัจจุบัน มาตรา ๙๘ เขียน ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่มีส่วนร่วม รู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำดังกล่าวแล้วมิได้ยับยั้งหรือแก้ไขการกระทำดังกล่าวมีกำหนดเวลา ๕ ปี ไว้ซึ่งจะหมายความว่า เฉพาะผู้ที่รู้เห็นเกี่ยวข้อง ถ้าไม่รู้เห็นเกี่ยวข้องก็รอด คือไม่เหมาเข่งกรรมการบริหารพรรคทั้งกระบิแบบกรณีทุจริตเลือกตั้งครั้งก่อนๆ


แต่ถ้าไปดูกฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๔๑ มาตรา ๖๙ บัญญัติเพียงว่า “ในกรณีที่พรรคการเมืองต้องยุบไปเพราะไม่ดำเนินการ ตาม...มาตรา ๖๒ หรือกระทำการตามมาตรา ๖๖ ผู้ซึ่งเคยดำรง ตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ต้องยุบไปจะขอจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารของพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการขอจัดตั้งพรรค การเมืองขึ้นใหม่ตามมาตรา ๘ อีกไม่ได้ ทั้งนี้ ภายในกำหนดห้าปี...” ซึ่งดูจะเป็นคุณแก่หัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคมากกว่าเพราะเพียงมิให้สิทธิจัดตั้งพรรคใหม่แต่ไม่ได้ประหารสิทธิเลือกตั้งซึ่งถือเป็นแก่นสารัตถะของความเป็นนักการเมืองไป


แต่ถ้าดูสภาวะแห่งกฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๔๑ พิเคราะห์พร้อมไปกับประวัติการณ์ของคดียุบพรรคในอดีตแล้ว ก็จะลืม ประกาศ คปค. ฉบับที่ ๒๗ ไปไม่ได้ เพราะกำหนดไว้ว่าจะต้องใช้ประกอบกับโทษยุบพรรคในกฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๔๑ โดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งหมายความว่า หากใช้กฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๔๑ ซึ่งถือเป็นกฎหมายที่มีอยู่ในขณะกระทำความผิด หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคจะต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ๕ ปีแบบยกเข่งเฉกเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคไทยรักไทย


จึงอาจสรุปในส่วนของผลทางกฎหมายได้ว่า ในกรณีร้ายแรงที่สุดหากพรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบขึ้นมาจริงๆ ผลทางกฎหมายที่พ่วงตามมาศาลก็คงต้องนำกฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๕๐ มาใช้เสียมากกว่า เพราะผู้ที่เป็นหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคเฉพาะที่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดเท่านั้นที่จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง แต่ในกฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๔๑ ที่พ่วงประกาศ คปค. ฉบับที่ ๒๗ มาด้วยนั้นเหมารวมยกเข่งหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดโดยไม่ยกเว้นผู้ใด


กฎหมายพรรคการเมืองปี ๒๕๕๐ ในมาตรา ๙๘ จึงดูเป็นคุณเสียมากกว่าในท้ายที่สุดที่จะต้องนำมาใช้กันกรณีนี้


กระนั้นก็ตาม เมื่อดูจากทั้งรัฐธรรมนูญ และกฎหมายทั้งปวงแล้ว แม้การยุบพรรคที่อาจเกิดขึ้นนี้จะมีผลเพียงเฉพาะตัวพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่จะมลายไป โดยกรรมการบริหารพรรคไม่จำจะต้องติดร่างแหถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไปด้วยทั้งหมด ดั่งเช่นกรณียุบพรรคอื่นๆที่เคยเกิดมาก่อนเพราะการทุจริตเลือกตั้ง เพราะ กฎหมายยังเปิดโอกาสให้กรรมการบริหารพรรคพิสูจน์หักล้างได้ และจะมีผลเป็นการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสำหรับคนที่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดเท่านั้น ซึ่งถ้าดูกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดในขณะนั้นมีอยู่ ๔๙ คน โดยมีนายบัญญัติ บรรทัดฐานเป็นหัวหน้าพรรค นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรองหัวหน้าพรรค รวมทั้งรัฐมนตรีหลายคนใน ครม.ชุดปัจจุบันซึ่งเป็นคีย์แมนสำคัญ ๆ


คนเหล่านี้จึงมีภาวะเสี่ยงต่อการติดร่างแหถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไปด้วย หากพิสูจน์ความบริสุทธิ์หักล้างกันในชั้นศาลไม่ขาดเพียงพอ


แต่ลำพังความเป็นพรรคเก่าแก่และมีประวัติอันยาวนานทางการเมืองที่สุดในประเทศ ก็หนักหนาสาหัสเพียงพอที่จะทำให้ศึกครั้งนี้ขุนพลทางกฎหมายในพรรคประชาธิปัตย์ที่นำทัพโดยอดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย ต้องต่อสู้อย่างหนักไม่แพ้ครั้งใด

เพื่อพยายามธำรงไว้ซึ่งความเป็นตำนานแห่งพรรคการเมืองไทยของพรรคสีฟ้าที่มีตราพระแม่ธรณีบีบมวยผมเป็นสัญลักษณ์แห่งนี้ให้อยู่รอดต่อไป และท่าจะให้แพ้ไม่ได้เลย


ความจริงจากปากชาวบ้านตกเป็นเหยื่อกระสุนบอกถูก"ทหารยิง"

ที่มา มติชน


นายกิตติชัย แข็งขัน

นายภัสพล ไชยพงษ์

นายเสกสิทธิ์ ช้างทอง




โดย ชฎา ไอยคุปต์

ชาวบ้าน 3 คนที่ถูกลูกหลงในเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารส่งกำลังเข้ากระชับพื้นที่การชุมนุมของจากกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 บอกเล่านาทีถูกกระสุนพุ่งเข้าใส่จนต้องหามส่งโรงพยาบาล 1 รายสูญเสียตามองไม่เห็นทั้งสองข้างกระสุนยังคาอยู่ใต้ตา

อีกรายหนึ่งรอดมาจากกระสุนถล่มยิงวัดปทุมวนารามฯเล่านาทีหลบอยู่ใต้ท้องรถกระสุนเข้าที่หลังและมือ

และรายสุดท้ายรอดชีวิตมาได้หวุดหวิดจากกระสุนที่ทะลุกะโหลกคนข้างๆมาปักที่ต้นคอเฉียดเส้นเลือด


ที่ชั้น 9 โรงพยาบาลกลางในห้องพักผู้ป่วยชายมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์กระชับพื้นที่เข้ารักษาตัว 4 ราย ชายวัย 40 ปี นายกิตติชัย แข็งขัน ชาวขอนแก่นถูกเข็นไปล้างแผลตั้งแต่บ่ายโมงกลับมาอีกทีตอนบ่าย 4 โมง ด้วยสภาพอิดโรยบอกกับผู้สื่อข่าวว่าเหนื่อยหน้ามืดคุยไม่ไหวแต่ยังแข็งใจตอบคำถาม


"ผมพูดในสิ่งที่ตัวเองประสบมาเห็นมากับตาถ้าไม่เห็นแบบนี้ก็พูดไม่ได้" คำตอบจากนายนายกิตติชัย ในฐานะชาวบ้านคนหนึ่งไม่ใช่ผู้มาร่วมชุมนุมแต่มาทำงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ช่วยหลานเดินสายไฟฟ้าใน สตช. แต่จะแวะเวียนไปร่วมกินข้าวกับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงชาวขอนแก่นในฐานะคนบ้านเดียวกันไม่คิดว่าจะถูกยิงปางตายเช่นนี้


นายกิตติชัย นอนซมอยู่บนเตียงคนป่วยโดยมีผ้าพันแผลติดอยู่ที่ด้านหลังเหนือเอวขึ้นมาและบริเวณมือขวา มีสายน้ำเกลือโยงไปที่แขน นอนหายใจเหนื่อยหอบอยู่บนเตียงท่าทางอิดโรยนอนหงายไม่ได้ เล่าถึงนาทีที่ถูกยิงบาดเจ็บว่า ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ 1 ทุ่ม หลังจากที่ผมออกมาจาก สตช.เพื่อไปหาผู้ชุมนุมชาวขอนแก่นตามปกติเพราะคิดว่าแกนนำได้มอบตัวหมดแล้ว จึงคิดว่าเหตุการณ์น่าจะสงบแล้ว แต่พอไปถึงถูกไล่มาเรื่อยๆจากแยกศาลาแดงมาจนถึงแยกราชประสงค์ การ์ดเสื้อแดงบอกให้วิ่งเข้าไปหลบในวัดจะปลอดภัยที่สุดผู้คนแตกกระจายวิ่งหลบเข้าไปในวัดปทุมฯบ้าง สตช.บ้าง


"ผมมาจากทางศาลาแดงมาเป็นกลุ่มสุดท้ายพอดีกับเวทีสลายหมดแล้ว การ์ดก็ให้วิ่งเข้าไปในวัด พอไปถึงผมก็พักผ่อนนอนเล่นกันอยู่ตั้งนานถึงได้ยินเสียงปืนดังมาอีก จึงเข้าไปหลบใต้ท้องรถ ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ 1 ทุ่ม เขายืนอยู่บนทางรถไฟฟ้ายิงเข้ามาในวัดต่างคนต่างหลบกัน ผมโดนยิงข้างหลังกับมือ พวกเราไปหลบอยู่ใต้ท้องรถ 5-6 คน


ตอนที่ผมโดนยิงทหารก็ให้ออกมาจากใต้ท้องรถ เขายิงมาจากบนสะพานรถไฟฟ้า ผงกหัวขึ้นไม่ได้เลย พอโดนลูกปืน มันร้องให้ออกมา แต่ไม่มีใครออกไป พอผมโดนยิง ผมบอกว่ายอมแล้วๆมันก็ยิงใส่มืออีก มันโกหกบอกให้ออกมายิง แต่ผมไม่ไหวแล้วเลือดออกเยอะ พอออกมามันบอกให้ผมถอดเสื้อออกแล้วยกมือขึ้น แล้ววิ่งไป ผมก็วิ่งไปหาพยาบาลทำแผลให้ ผมยืนหันหน้าเห็นทหารเขาเล็งมาใส่ผม แต่ตอนนั้นเขาไม่ยิงใส่แล้ว เพราะเห็นว่าผมถูกยิง บอกให้ถอดเสื้อ ยกมือขึ้น ผมก็ยกมือขึ้นสองข้างแล้วก็วิ่งไปเลย" นายกิตติชัยกล่าวและยืนยันอีกครั้งว่า


"ผมเห็นเขายิง ผมยืนยันไม่มีใครหรอกนอกจากทหารใส่ชุดพรางใส่หมวก เขาก็ตะโกนให้ผมออก ผมก็ตะโกนออกแล้วครับ ผมก็บอกยอมแล้วครับเห็นยืนเล็งใส่ผมอยู่ ถ้ามันยิงตอนผมถอดเสื้อคงตายแล้ว แต่มันก็บอกให้ผมวิ่ง ผมก็วิ่งไปหาพยาบาลไปอ่อนแรงตรงนั้น พอทำแผลใกล้เสร็จห้ามเลือดเขาก็ยิงมาใส่หลายนัด โดนฝรั่งที่กำลังถ่ายรูปผมอยู่ จากนั้นผมก็สลบไปเลย"


นายกิตติชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "ผมนอนเจ็บอยู่หลายชั่วโมงทหารไม่ให้ออกมา ไม่ให้รถพยาบาลเข้าไปเอาออกมาด้วย ผมสลบอยู่หลายรอบเพราะเสียเลือดมากกว่าจะมาถึงโรงพยาบาล 5 ทุ่มแล้วถูกยิงตั้งแต่ 6 โมงเย็น พยาบาลที่ไปนำตัวผมออกมาจากในวัดต้องหามออกมาใส่รถด้านนอกเพราะไม่ให้เอารถเข้าไปรับ"

นายกิตติชัย กล่าวอีกว่า เพื่อนที่หมอบอยู่ใต้ท้องรถด้วยกันมาเยี่ยมบอกว่า มีคนที่แอบอยู่ใต้ท้องรถด้วยกันถูกยิงเสียชีวิต และยิงมาจากสะพานรถไฟฟ้า มีคนไม่น้อยๆไปหลบในวัดประมาณ 4-5 พันคน บางคนวิ่งไปที่โรงพยาบาลตำรวจบางคนวิ่งเข้าไปหลบในวัดก็นึกว่ารอดแล้วแต่ก็ยังโดนจนได้ในวัดที่คิดว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว


"เสียใจกับผู้ชุมนุมเหมือนกันคงจะเจ็บเหมือนกัน ขนาดผมโดนแค่นี้ยังเจ็บ คนที่ไม่ไหวเขาคงโดนหนักกว่าผม สลบในวัด 2-3 รอบกว่าจะมาถึงนี่" นายกิตติชัยกล่าว


ทางด้านนายเสกสิทธิ์ ช้างทอง อายุ 28 ปี มีอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้างประจำอยู่แถวโพผธิ์สามต้นมีคนจ้างให้มาส่งที่พรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 19 พ.ค. เวลาประมาณ 10.00 น. ถูกกระสุนปืนยิงเข้าที่ใต้ตาซ้ายทะลุตาขวาตัดเส้นประสาททำให้ตาบอดทั้งสองข้างเล่านาทีก่อนทุกอย่างรอบกายจะมืดสนิทว่า


"เสียงปืนดังไม่หยุด ยิงมาเป็นชุดๆ ต้นไม้ กิ่งไหม้ข้างถนนปลิว กิ่งไม้ร่วง เห็นว่ายิงมาจากทางยกระดับจากข้างบน แค่นั้นก็กลัวแล้ว นั่งอยู่กับที่ จังหวะนั้นก็หันซ้ายหันขวาหาทางหนี แต่ก็ไม่ทันกระสุนกระแทกเข้าตา พยายามลืมตาอีกข้างแต่ลืมไม่ได้ หลังจากนั้นก็ลืมไม่ได้อีกเลย ลืมได้ก็มองไม่เห็น จึงยกมือบอกให้ช่วยและนำมาส่งที่โรงพยาบาล"


นายเสกสิทธิ์ กล่าวถึงเหตุการณ์วันนั้นทีไรยังผวาจนถึงทุกวันนี้ว่า เสียงปืนสนั่นรอบด้านเป็นอะไรที่ผวาได้ทุกวันนี้ ได้ยินเสียงของหล่นตอนกลางคืนนอนหลับอยู่ลุกขึ้นมานั่งได้ง่ายๆ 1-2 วันแรกเป็นแบบนั้นแต่ตอนนี้ดีขึ้น


"จังหวะที่ประชาชนขนยางมาทำเป็นบังเกอร์ทหารจึงเริ่มยิงสนั่นหวั่นไหว เป็นภาพที่ติดตาจนถึงตอนนี้" นายเสกสิทธิ์ย้ำอีกครั้ง


"หมอบอกว่า โดนยิงที่ตาข้างซ้ายไปตุงที่ตาข้างขวา ทำลายเส้นประสาทตาทั้งสองข้างมองไม่เห็น" นายเสกสิทธิ์บอกเล่าอย่างสิ้นหวังก่อนจะเล่าต่อถึงสาเหตุที่ต้องสูญเสียดวงตา


"ตรงนั้นมีคนมามุงเยอะ ผมก็จอดดูแล้วก็มีเสียงปืนดังเป็นชุดๆ แล้วก็มาเข้าที่หน้าผม 1 นัด ดังมาจากทางฝั่งทหารเพราะตอนที่ผมส่งลูกค้าก็เข้าไปข้างในพื้นที่ชุมนุมไม่ได้ คนก็มาออกันอยู่ตรงนั้นเผชิญหน้ากับทหารมีประชาชนมาเยอะเต็มสองฝั่งเหมือนปิดถนน มีประชาชนโห่ไล่ทหาร มีคนกลุ่มหนึ่งเอายางมากั้นทำเป็นบังเกอร์ จากนั้นทหารยิงปืนขึ้นฟ้าไปตกตรงไหนไม่รู้แต่มาตกใส่ตาผมนัดหนึ่งกระสุนมาจากทางทหาร" นายเสกสิทธิ์กล่าวยืนยันวิถีกระสุนที่พุ่งเข้ามาทำลายประสาทตา

แม้นายเสกสิทธิ์ ต้องสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างไปเขายังหวังจะกลับมามองเห็นอีกครั้งเพื่อทำมาหากินเลี้ยงลูกและเมียได้ตามเดิม เพราะเขาคือหัวหน้าครอบครัวที่ขับรถรับจ้างเพื่อแลกเงิน แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้วเขายังคงเป็นห่วงลูกชายที่เพิ่งจะเข้าเรียนชั้น ป.1 และบ้านที่ผ่อนไปได้แค่เดือนแรก แล้วลูกกับเมียจะทำอย่างไรต่อไปหากเขาต้องมาสูญเสียดวงตาไป


"ผมก็มั่นใจว่าผมจะมองเห็นอีกครั้งลูกเมียผมกำลังรออยู่ ขอให้ผมหายเหมือนเดิม ขอให้ไปหาเงินผ่อนบ้านเลี้ยงลูกเหมือนเดิม ถ้าผมไม่หายขอให้ลูกเมียผมได้อยู่อย่างที่ผมหวังไว้เท่านั้นเอง" เสียงความหวังปนกับคำร้องขอจากนายเสกสิทธิ์ที่เขาเองก็ไม่รู้จะทำอะไรได้ไปดีกว่าการให้กำลังใจตนเอง แม้หมอจะบอกว่ามีโอกาสน้อยมากที่จะมองเห็นหากผ่าก็อันตรายเสี่ยงที่จะติดเชื้อและน็อคไปเลย ทางที่ดีที่สุดคือปล่อยไว้อย่างนี้ดีกว่า

ความช่วยเหลือที่เป็นความหวังเดียวจากชายตาบอดผู้นี้คือหวังจะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วอย่างน้อยก็ช่วยให้ลูกชายได้เรียนต่อและภรรยาของเขาได้มีที่พักอาศัย ส่วนตัวเขาเองก็ก้มหน้ารับอยู่ในโลกมืดต่อไป


"ที่ไปไม่คิดว่าจะเจอกับตัววเอง ไม่ได้ตั้งใจจะโดนกับตัวเอง แต่จะไปหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แต่ชะตากรรมมันเลี่ยงไม่ได้ "


นายภัสพล ไชยพงษ์ อายุ 40 ปี พ่อค้าใส่เสื้อสีดำเข้าไปขายของในพื้นที่ชุมนุมกลายเป็นอาสาสมัครขับรถมอเตอร์ไซต์เปิดทางส่งคนเจ็บไปรักษาพยาบาลเล่านาทีรอดชีวิตหวิดหวิดจากกระสุนปืนไม่ทราบทิศทางพุ่งมาเจาะกะโหลกคนข้างๆล้มทับกระสุนทะลุเข้าที่ต้นคอของเขาและกระสุนนัดนั้นต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตเพราะแพทย์ไม่แนะนำให้ผ่าออกเนื่องจากมันเฉียดกับเส้นเลือดดำไปนิดเดียว


"ผมขับมอไซต์เอาของไปเก็บไม่ได้ขายของวันนั้นไปเก็บที่สยาม แล้วจังหวะนั้นมีคนโดนยิงมูลนิธิขออาสาให้ผมขับรถเปิดทางขับไปช่วยคนเจ็บได้ 3 เที่ยว กำลังยืนคุยกันอยู่สักพักมีเสียงเปรียะดังขึ้น ผู้ชายคนหนึ่งโดนยิงหัวทะลุท้ายทอยมาล้มทับผมกระสุนทะลุมาเจาะคอผมต่อไม่ทราบว่าใครยิงเห็นหทารกับรถถังอยู่ลิบๆ ที่เข้ามาทางโรงพยาบาลจุฬาฯ ตอนนั้นได้ยินแต่เสียงกระสุนมากระทบหนังเรา ชาไปหมด พอคลำดูมีเลือดไหลออกมาจึงรู้ว่าถูกยิง"


พท.กลัวเล่ห์ปชป.ขอดูหลักฐาน ปัดส่งกก.3ฝ่าย ทำนาย4รมต.ไม่ถูกปรับพ้นเก้าอี้หลังเสร็จศึก

ที่มา มติชน

พท.กลัวเล่ห์ปชป.ขอดูหลักฐาน


นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรค พท.หนึ่งในคณะกรรมการ 3 ฝ่ายกล่าวว่า ถ้าไม่กำหนดกติกาให้ชัดก่อนว่าหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างไร วัตถุแบบไหนที่สามารถนำไปแสดงในสภาได้บ้าง ฝ่ายค้านก็จะยังไม่ส่งหลักฐานทั้งหมดให้คณะกรรมการ 3 ฝ่ายพิจารณา เพราะจะตกเป็นเหยื่อให้พรรคประชาธิปัตย์เล่นเล่ห์ขอดูหลักฐานของฝ่ายค้าน เพื่อไปเตรียมหลักฐานมาตอบโต้ ส่วนตัวเห็นว่าหากเป็นคลิปจริงที่ไม่มีการตัดต่อ และไม่มีเนื้อหาก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ก็น่าจะยอมให้เปิดในสภาได้แล้ว


นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษก พท.แถลงว่า รัฐบาลได้สกัดกั้นการนำเสนอข้อมูลของพรรคฝ่ายค้าน เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากกองทัพห้ามมีการเปิดคลิปการใช้กำลังปราบปรามประชาชน จึงเป็นที่มาของการตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่าย เพื่อตรวจสอบคลิปและภาพถ่ายรวมถึงหลักฐานที่จะเสนอเข้าสู่การอภิปราย กรณีดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ และแทรกแซงการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน หากปล่อยให้มีการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้น ก็เท่ากับรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหารได้ยึดอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรไปเรียบร้อยแล้ว เพราะสามารถที่จะตรวจสอบเซ็นเซอร์การปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติได้ ซึ่งขัดกับหลักการทำหน้าที่ของผู้แทนราษฎร ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ที่บัญญัติให้ผู้แทนราษฎรเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย การปฏิบัติหน้าที่ต้องไม่อยู่ในความครอบงำหรือความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใด ๆ


ทำนาย4รมต.ไม่ถูกปรับตกเก้าอี้


นายพร้อมพงศ์กล่าวกรณีนายเทพไทระบุ พท.แตกเป็น 4 ก๊ก ว่า พท.ไม่มีแตกกัน เมื่อเป็นฝ่ายค้านยิ่งต้องรักกัน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สองก็รักกัน อีกทั้ง พ.อ.อภิวันท์ก็เสนอชื่อ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปแนบญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายวิทยาก็สนับสนุน และนายมิ่งขวัญก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด ดังนั้น พรรคยังรักกันยังทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ที่นายมิ่งขวัญไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแม่ทัพในการอภิปรายประเด็นเศรษฐกิจในครั้งนี้ ก็เพราะว่านายมิ่งขวัญจะคอยทำหน้าที่สนับสนุนเนื้อหาและช่วยติวให้ผู้อภิปรายเท่านั้น


"ผมขอฟันธงว่าหลังจากเสร็จศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่จะไม่ถูกปรับออกมีดังนี้ 1.นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 2.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี 3.นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 4.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะ พล.อ.ประวิตร แน่นปึ๊กกับผู้นำรัฐบาล ดังนั้น รัฐบาลอย่ามาปล่อยข่าวแย่งพื้นที่เพื่อกลบเกลื่อนผู้เสียชีวิต 88 ราย" นายพร้อมพงศ์กล่าว


เน้นซักฟอกสลายชุมนุม-ทุจริต


นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พท. กล่าวว่า ในเวลา 11.00 น. วันที่ 30 พฤษภาคม นายวิทยา บุรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (ประธานวิปฝ่ายค้าน) ได้มอบหมายให้ตนและนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พท.ไปหารือกับวิปรัฐบาล เพื่อจัดสรรเวลาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ทั้งนี้ รัฐบาลควรให้เวลาฝ่ายค้านในการอภิปรายอย่างเต็มที่ ซึ่งฝ่ายค้านหวังว่าจะได้ใช้เวลาในการอภิปราย 26 ชั่วโมงของ 2 วัน แบ่งเป็นวันละ 13 ชั่วโมง และให้รัฐบาลชี้แจงอีก 6 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เกรงว่ารัฐมนตรีบางคนจะให้ ส.ส. 2 คนช่วยกันอภิปรายและลุกขึ้นประท้วงการอภิปรายของฝ่ายค้าน


"มีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ กรณีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ที่นำโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน และแกนนำ นปช. และ 2.กลุ่มอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรณีบริหารงานล้มเหลว การทุจริต นำโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย รวม ส.ส.ที่จะขึ้นอภิปรายไม่เกิน 15 คน โดยนายวิทยาจะเป็นผู้อภิปรายเปิดในวันที่ 31 พฤษภาคม ส่วนนายจตุพรจะเป็นผู้กล่าวสรุปประเด็นการสลายการชุมนุม โดยการอภิปรายครั้งนี้จะเน้นเหตุการณ์การสลายชุมนุมเป็นหลัก ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิมจะสรุปประเด็นทั้งหมดในภาพรวมเรื่องการทุจริตของรัฐบาลในวันที่ 1 มิถุนายน" นายสุรพงษ์กล่าว


ดักคอลิ่วล้อปล่อยตัวจริงแจงดีกว่า


นายสุรพงษ์กล่าวว่า กลุ่มที่ 2 จะมีการซักซ้อมให้ ส.ส.ที่จะอภิปรายนำเสนอข้อมูลเหมือนอภิปรายจริงวันที่ 30 พฤษภาคม ในเวลา 13.00 น. เพื่อพิจารณาว่าต้องปรับปรุงข้อมูลอะไรเพิ่มเติมบ้าง อีกทั้งข้อสอบอาจรั่วไปถึงรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายได้ เพราะทราบว่า นายชวรัตน์มีติวเตอร์ค่อยบอกข้อสอบให้ตลอด และในเวลา 14.00 น. พรรคได้เรียกประชุม ส.ส.นัดพิเศษด้วย เพื่อกำชับให้ทุกคนเข้าร่วมประชุมสภา เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล


"ขอให้ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะ ส.ส.ที่รับจ๊อบปกป้องเจ้านายชอบประท้วงที่ไม่มีเหตุผลขอให้หยุด แล้วเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาชี้แจงดีกว่า เช่น กล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งฆ่าประชาชน เป็นทรราช อำมหิต ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจะลุกขึ้นประท้วงไม่ได้ ต้องให้นายกฯชี้แจงเหตุผลเองว่าไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวหา หรือกรณีที่ฝ่ายค้านจะนำข้อมูลอีกด้านที่เป็นคลิปที่อาจแตกต่างจากข้อมูลของรัฐบาลนำเสนอผ่านสื่อ ขออย่าให้ลิ่วล้อประท้วง ให้นายกฯและนายสุเทพชี้แจงดีกว่า ให้หักล้างด้วยเหตุด้วยผล" นายสุรพงษ์กล่าว


นายสุรพงษ์กล่าวว่า คาดว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจคงไม่มีการพลิกขั้ว พรรคร่วมยังกอดคอบริหารประเทศต่อไป รัฐบาลเสียงไม่แตก และรัฐมนตรีที่ถูกซักฟอกจะได้คะแนนเสียงไว้วางใจเท่ากันหมดอย่างแน่นอน สังเกตได้จากการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ที่กระจายงบฯให้กระทรวงที่พรรคร่วมรับผิดชอบ ดูทุกพรรคมีความสุข แต่ต้องดูว่าประชาชนจะรับได้หรือไม่ที่จะชี้ขาดตัดสินในวันเลือกตั้งใหญ่ ฝ่ายค้านหวังแค่นี้

"มาร์ค"พับเลือกตั้ง เลิกเคอร์ฟิว

ที่มา ข่าวสด

สังคมการเมือง



....ชัดเจนจากปาก นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ในปีนี้ เพราะต้องรอให้สถานการณ์บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ มีกฎ กติกาการเลือกตั้ง ที่ทุกฝ่ายยอมรับก่อน

แล้วมันจะปกติมั้ยล่ะทั่น

....อีกเรื่องที่มีความชัดเจน นายกฯ ระบุยกเลิกเคอร์ฟิวใน 24 จังหวัด รวมกรุงเทพฯ แต่ยังคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ เป็นไปตามเหตุผลที่หน่วยงานความมั่นคงเสนอมา ส่วนมท.1 ชวรัตน์ ชาญวีรกูล ยังเป็นห่วงพื้นที่ขอนแก่น

ผู้ว่าฯใหม่ จัดการด่วน

....สื่อต่างประเทศตั้งคำถาม จะลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นหรือไม่ นายกฯ อภิสิทธิ์ ตอบว่า หากภายหลังการสืบสวน หรือมีหลักฐานบ่งชี้ว่าตัวเองมีความผิด ก็พร้อมจะยืดอกรับผิดชอบ

สัญญาว่าจะไม่เดินหลังค่อม

....ธาริต เพ็งดิษฐ์ เผยเตรียมขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายเพิ่มเติมอีกกว่า 20 ราย ตอนนี้รอขั้นตอนนำเข้าที่ประชุมเพื่อให้พนักงานอัยการเห็นชอบก่อนนำไปขออนุมัติต่อศาล ข่าวว่า 1 ในนั้นมีชื่อ การุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย รวมอยู่ด้วย

ออกข่าวก่อนเดี๋ยวแกก็หนีตามพี่กี้ร์ ไปหรอก

....การอภิปรายไม่ไว้วางใจเริ่มวันนี้ วันแรก ข่าวกระฉอกจากพรรคประชาธิปัตย์ คัดเลือกส.ส.ฝีปากดี 10 คน ทำหน้าที่ประท้วงการอภิปรายของฝ่ายค้าน จับผิดเรื่องผิดข้อบังคับ และคอยขัดจังหวะหากมีการอภิปรายนอกประเด็น หรือหลอกด่า

จะแตกอย่างที่เพ่เหลิมแกว่ามั้ย

.... นายกฯอภิสิทธิ์ ท้าให้ถอนสัญชาติไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทวีตโต้ยาวเหยียด "ผมเกิดเมืองไทย ผมรักแผ่นดินเกิด ผมจะให้ถอนได้อย่างไร ตัวคุณน่าจะถอนมากกว่าเพราะคุณเกิดอังกฤษ... เพื่อจะจับหนูตัวเดียวเผาทั้งบ้านฆ่าทั้งคนคุ้มหรือ?"

คุณหนูก็ช่างขยันแหย่ทั่นแมว จังเลย

....นพดล ปัทมะ บอกรธน.ให้ความคุ้มครองความเป็นคนไทย จะถูกเนรเทศออกจากประเทศไม่ได้ และไม่มีกฎหมายไหนให้ถอนสัญชาติได้ เทพไท เสนพงศ์ เห็นต่างบอกกางพ.ร.บ.สัญชาติ ปี 2508 มาตรา 22 คนที่มีสัญชาติไทยแต่แปลงเป็นสัญชาติอื่น สลับสัญชาติ ถูกเพิกถอนสัญชาติ จะถือสัญชาติไทยต่อไปมิได้

โปรดใช้วิจารณญาณ

....สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ระบุหากรัฐบาลต้องปรับครม. เพื่อความกระฉับกระเฉงก็คงต้องพิจารณา แต่ น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรครวมชาติพัฒนา ระบุที่ผ่านมา รัฐมนตรีของพรรคทำงานไม่มีปัญหา จึงไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร

ไม่ได้นัดกันก่อน ชัวร์

วิกฤตซึมลึก "มาร์ค"ลากยาว

ที่มา ข่าวสด


บรรยากาศประเทศไทยหลังสลายม็อบ 19 พฤษภาคม เน้นไปที่การเยียวยาผู้เสียหายจากเหตุการณ์

ฟื้นฟูสภาพของกรุงเทพฯ และจังหวัดที่ถูกเผาศาลากลางและสถานที่ราชการ

ดำเนินคดีกับแกนนำเสื้อแดงหลายระดับ

เป็นการเยียวยาและฟื้นฟูในเรื่องของทรัพย์สิน อาคารสถานที่ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณมหาศาล ทั้งภาครัฐและเอกชน

และใช้เวลาอีกนับเดือนนับปี กว่าจะกลับเข้าสู่ปกติ

แต่ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงกันมากนัก ก็คือการเยียวยาและฟื้นฟูในทางการเมือง

การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิป ไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือนปช.ที่ยุติลงด้วยการสลายม็อบและเผาเมืองเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ส่งผลเสียหายทางใจยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าความเสียหายทางทรัพย์สิน

ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจระหว่างพี่น้องร่วมชาติถูกลดทอนลงไป ความคิดเห็นที่แตกต่างขยายกลายเป็นความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์

เพิ่มความรู้สึกเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างคนต่างฐานะ และระหว่างคนเมืองกับชนบท

ทั้งหมดเป็นโจทย์ที่ยากยิ่งสำหรับรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

แม้นายกฯ อภิสิทธิ์ได้ประกาศว่า จะเดินหน้าแผนปรองดอง เพื่อแก้ไขความขัดแย้งแตกแยก

เตรียมตั้งคณะกรรมการ คณะทำงานกันหลายชุดอย่างใหญ่โต

แต่ก็ยังไม่มีใครมั่นใจว่ารัฐบาลจะแก้โจทย์นี้ได้สำเร็จ

เพราะโจทย์การเมืองระดับนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการพูดการอภิปราย

แต่จะต้องแก้ด้วยการลงมืออย่างจริง จัง ลดละอคติ ผลประโยชน์ทางการเมือง

และมีจิตใจที่เปิดกว้างอย่างแท้จริง

**********

สิ่งหนึ่งที่จะนำไปสู่การปรองดอง ลดรอยร้าวของคนในชาติได้ ก็คือการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการชุมนุมของนปช.

ประเด็นปริศนาทั้งหลาย จะต้องตีแผ่ออกมาอย่างเสมอภาคและตรงไปตรงมา

หากพบว่ามีการกระทำผิด มีการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายตามแนวของ "นิติรัฐ" ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศแนว ทางไว้

ใครคือ "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" ที่ยิงเอ็ม 79 สังหารเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยซุ่มยิงที่สังหารผู้ชุม นุมนปช., มือมืดที่สังหารชาวสีลม, มือสังหารที่ยิงทหารกองพล 9 ที่ดอนเมือง

หน่วยซุ่มยิงที่สังหาร พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล, กองกำลังที่ยิงเอ็ม 79 และขว้าง ระเบิดใส่ทหารเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม และใครคือผู้สังหารนปช. 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม

รวมถึงมือเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โรงภาพยนตร์สยาม ห้างเซ็นเตอร์วัน และสถานที่อื่นๆ ฯลฯ

จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย และจะเป็น ผลเสียต่อรัฐบาลด้วยซ้ำ หากรัฐบาลตั้งกรรม การสอบสวน แต่ผลออกมาไม่มีความน่า เชื่อถือ

เพราะไม่ได้กระทำอย่างตรงไปตรงมาหรืออาจใช้วิธีการ 2 มาตรฐาน

เหมือนกับที่รัฐบาลใช้ข้อหาก่อการร้ายเล่น งานผู้ชุมนุมนปช. เร่งรัดคดีให้คืบหน้าได้อย่างรวดเร็ว

แต่กลับเตะถ่วงคดียึดสนามบินสุวรรณ ภูมิอย่างน่าเกลียด

ปัญหาคือ รัฐบาลมีความพร้อมที่จะให้มีการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างอิสระและตรงไปตรงมาหรือไม่

เพราะเพียงแค่สื่อนำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็ยังโดนข่มขู่คุกคามเสียแล้ว

หรือว่ารัฐบาลต้องการใช้กรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง มาฟอกตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องเท่านั้นเอง

เพื่อจะได้ลากยาว อยู่ในอำนาจต่อไป

******

ในแวดวงพรรครัฐบาล ทราบกันทั่วไปแล้วว่า พรรคแกนนำจะ "ลากยาว" ต่อไป

เฉพาะหน้าจะต้องผลักดันร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2554 ให้ ผ่านไปให้ได้ และขณะนี้ผ่านวาระ 1 ขั้นรับหลักการไปแล้ว อีกเรื่องคือการโยกย้ายข้าราชการ

แต่ประเมินได้ว่า เส้นทางของการลากยาวจะไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน

โดยเฉพาะหากรัฐบาลยังไม่วางตัวเป็น "คนกลาง" ในความขัดแย้ง แต่ลงไปเป็นคู่ขัดแย้ง เสียเอง

การเยียวยา การฟื้นฟูที่ดำเนินการขณะนี้ ยังมีเสียงวิจารณ์ว่า มีการเลือกปฏิบัติ เลือกเยียวยา

วิกฤตทางการเมืองของประเทศไทยขณะนี้ เกิดจากความผิดพลาดหลายประการ

เริ่มจากการบริหารแบบเหลิงอำนาจในยุครัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร, การรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549, การแทรกแซงการเมืองโดยกลุ่ม ผู้มีบารมีและกองทัพ ฯลฯ

กลายเป็นความไม่เป็นธรรมที่ผลักไสผู้คนให้หันไปเข้าร่วมกับนปช.จนเติบใหญ่แข็งกล้า

ความผิดพลาดล่าสุดคือ การใช้ทหารเข้าสลายการชุมนุม จนเกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

และรัฐบาลซึ่งเป็นผู้สั่งการพยายามอยู่ในอำนาจต่อไป แทนที่จะพิจารณาตนเอง เพื่อเปิดทางให้มีการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านปลายเดือนนี้ น่าจะทำให้รัฐบาลได้มองเห็นข้อ เท็จจริงมากขึ้น และได้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์

หรืออาจจะกลายเป็นสงครามน้ำลายในสภาอีกครั้ง

ที่แน่นอนก็คือ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ได้กลายเป็นวิกฤตที่จะ "ซึมลึก" ไปเรื่อยๆ

จะเกิดการปะทุแตกหักเมื่อไหร่ หรือระเบิดออกมาอีกครั้งหรือไม่

สวิตช์และชนวนล้วนแต่อยู่ในมือรัฐบาลนั่นเอง

ปริศนาเอ็ม79ลึกลับ สน.ลุมพินี-ตึกเคี่ยนหงวน

ที่มา ข่าวสด


การ "กระชับพื้นที่" ระหว่างวันที่ 14-19 พ.ค. ยังมีปมประเด็นที่รอการสะสางอีกมากมาย

รวมถึงกรณียิงเอ็ม 79 ใส่สน.ลุมพินี, และกองกำลังบนตึกเคี่ยนหงวน ที่ทางราชการ ระบุเป็นจุดยิงถล่มสน.ลุมพินี

นักข่าวรายหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ 2 กรณีไว้ดังนี้

1. กรณีสน.ลุมพินี


เช้ามืด 19 พ.ค. ผมวนเวียนทำข่าวในจุดต่างๆ ที่มีการปะทะกันระหว่างกลุ่ม นปช. กับทหาร ในจุดบ่อนไก่ และถนนวิทยุ เป็นพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายให้ไปติดตามสถานการณ์บ่อยที่สุด

มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้อาวุธของการ์ด นปช. ซึ่งทางทหารใช้เป็นเหตุผลว่าทำให้ทหารต้องใช้ปืนสงครามและกระสุนจริงในการปฏิบัติการ

หลังทหารปะทะกับผู้ชุมนุมบนถนนวิทยุ หน้าสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ในวันที่ 14 พ.ค. หนึ่งวันหลังจากนั้น ผมได้พูดคุยกับชาวบ้านหลังสน.ลุมพินี และตำรวจจากมุกดา หาร ซึ่งถูกส่งมาช่วยภารกิจปราบจลาจล จำนวน 1 หมวด

คำบอกเล่าของตำรวจมุกดาหารน่าสนใจมาก

ก่อนหน้าทหารเข้ากระชับวงล้อม พวกเขา ปักหลักอยู่ภายในสวนลุมพินีบริเวณเวทีลีลาศ แต่ในวันที่ทหารเข้ากระชับวงล้อม 14 พ.ค. และปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมหน้าสน.ลุมพินี พวกเขาถูกขับไล่ออกจากสวนลุมพินี

ตำรวจมุกดาหารหนึ่งหมวดต้องเก็บกระ บองและโล่ ออกจากสวนลุมพินี

ตอนแรกบอกว่าด้วยความน้อยใจ จะเดินทางกลับมุกดาหาร แต่ไม่มีคำสั่งให้กลับ จึงไปขออาศัยอยู่บริเวณรอบๆ สน.ลุมพินี


อาศัยอยู่ได้เกือบหนึ่งวันเต็มก็มาเกิดเหตุขึ้นกับสน.ลุมพินี

ราวห้าโมงกว่า วันที่ 15 พ.ค. ระเบิดเอ็ม 79 ถูกยิงมาโดยไม่ทราบทิศทาง เข้าใส่ สน. ลุมพินี 3 ลูก ลูกแรกตกในสวนลุมพินี ใกล้กำแพง ลูกที่สอง ตกหน้าหอพักชายโสดของ สน.ลุมพินี แต่ไม่ระเบิด และลูกสุดท้ายตกใส่แฟลตตำรวจ จนมีตำรวจและครอบครัวบาดเจ็บ 4 คน

หลังเกิดเหตุ ตำรวจเข้าตรวจสอบจุดที่กระสุนตกลงมา เพื่อดูทิศทาง พบว่าระเบิดเอ็ม 79 ถูกยิงออกมาจากสวนลุมพินี ตำรวจจำนวนมากที่อยู่บริเวณนั้น สบถด่าพวกที่ยิงให้ผมและนักข่าวคนอื่นได้ยิน

ผ่านไปราว 3 ชั่วโมง เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันก็เกิดขึ้นกับสน.ลุมพินีอีก เวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่า มีระเบิดเอ็ม 79 ถูกยิงเข้าใส่สน.ลุมพินี และบริเวณรอบๆ อีก 8 นัด ตำรวจทั้งที่อยู่ภายในสน. และแฟลตรอบสน. หนีกันจ้าละหวั่น

กระทั่งเช้า เหตุการณ์นี้ถูกตั้งคำถามจากนักข่าว ตำรวจชั้นผู้ใหญ่และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ให้ข่าวทิศทางเดียวกันว่า กลุ่มผู้ชุมนุม หรือผู้ก่อการร้ายพยายามสร้างสถานการณ์ให้ตำรวจและทหารเกิดความแตกแยกและระแวงกันเอง

แต่ศอฉ. กับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ก็ไม่เคยแถลงต่อนักข่าวว่าระเบิดเอ็ม 79 ถูกยิงมาจากทิศทางใด

ข่าวระเบิดเอ็ม 79 ถล่มสน.ลุมพินี หายไปกับข่าวความรุนแรงในจุดอื่นๆ

2. กรณีบ่อนไก่

ความมืดมนของเหตุการณ์ยิงระเบิดเอ็ม 79 ลึกลับ เริ่มปรากฏรายละเอียดชัดเจนขึ้นมาบ้าง ก็ต่อเมื่อวันที่ทหารตัดสินใจเข้าสลายการชุมนุมเช้ามืด 19 พ.ค.

แต่ละจุดที่ทหารเข้าปฏิบัติการ โดยเฉพาะบนถนนวิทยุตลอดทั้งสาย ห้ามไม่ให้นักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศเข้าใกล้

ผมพร้อมกับนักข่าวโทรทัศน์ไทย โทรทัศน์ต่างประเทศกลุ่มหนึ่ง หลบอยู่ในสน.ลุมพินี เก้าโมงกว่าจึงสามารถเข้าไปดูการปฏิบัติของทหารที่บริเวณถนนวิทยุตัดแยกสารสินได้

จุดนี้ เป็นแนวบังเกอร์แรกของการ์ดนปช. ถูกทหารบุกยึดพื้นที่ได้เป็นจุดแรกในบรรดาแนวบังเกอร์ที่ถูกทหารบุกทั้งหมด

เดินสำรวจต่อไปพบว่าทหารจำนวนมากกำลังค้นอาคารเคี่ยนหงวน มุมถนนวิทยุ-สารสิน เมื่อผมและนักข่าวสำนักอื่นๆ ไปถึงพบว่า ทหารได้จับกุมการ์ดนปช. ที่หลบหนีจากบังเกอร์แยกสารสินมาหลบใน อาคารเคี่ยนหงวนได้ 15 คน เป็นผู้ชาย 13 คน ผู้หญิง 2 คน

มีอาวุธที่ทหารยึดได้จากบรรดาการ์ดนปช. หลายรายการ ประกอบด้วย กระสุนปืนลูกซอง 3 นัด พลุ ประทัดยักษ์ และตะไล 63 ลูก ระเบิด ขวด 67 ขวด ระเบิดปิงปอง 8 ลูก มีดดาบ 1 เล่ม มีดปอกผลไม้ 1 เล่ม ถังน้ำมันเชื้อเพลิง วิทยุสื่อสาร หนังสติ๊ก และเหล็กท่อนอีก 2-3 ท่อน

ทหารพยายามค้นอาคารทั้งอาคาร และสอบเค้นการ์ดนปช. ทั้ง 15 คน เพื่อหาอาวุธปืน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบ พวกการ์ดบอกว่าอาวุธที่ใช้ต่อต้านทหาร มีเท่าที่ทหารจับได้

สุดท้ายทหารเรียกตำรวจมารับตัวการ์ดนปช.ทั้งหมดไป จากนั้นทหารจับการ์ดนปช.จุดนี้ได้อีก 2 คน นี่คือสิ่งที่ผมเห็นได้ตลอด 2-3 ชั่วโมงที่เข้าไปทำข่าวในจุดนั้น

น่าสังเกตว่า จุดแยกถนนสารสิน-วิทยุ เป็นจุดหนึ่งที่กลุ่มการ์ดนปช. วาง แนวป้องกันทหารอย่างเต็มที่ แต่ถูกทหารบุกแตกกระ เจิงอย่างง่ายดายเป็นจุดแรก และอาวุธที่ใช้สู้กับทหาร ก็เป็นอาวุธที่ตรวจพบข้าง ต้น ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีปืนสงคราม หรือเอ็ม 79 ในจุดนี้ แม้ทหารจะตรวจ ค้นอย่างละเอียดแล้วก็ตาม

ภายหลังทหารยึดพื้นที่ได้ทั้งหมด และประกาศเคอร์ฟิวในคืนแรก 19 พ.ค. ต่อมาวันที่ 20 พ.ค. ศอฉ.แถลงพบอาวุธล็อตแรกของนปช. จำนวนมาก

ในจุดอื่นที่ ศอฉ.บอกว่าเจออาวุธของนปช. ผมไม่อาจทราบได้ว่าจริงเท็จแค่ไหน

แต่ในจุดที่ผมได้เห็นกับตาคือที่ถนนวิทยุ-สารสิน และอาคารเคี่ยนหงวนนั้น ก็มีอาวุธและการ์ดนปช.ถูกจับกุมเท่าที่ผมแจกแจงไปแล้ว

แต่ศอฉ. แถลงว่า บนอาคารเคี่ยนหงวนเป็นจุดซุ่มยิงของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย และเป็นจุดที่กองกำลังเหล่านี้ระดมยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่สน.ลุมพินี นับสิบลูก เมื่อวันที่ 15 พ.ค.

ผมฟังแล้ว ได้แต่สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร

เผยชีวิตเหยื่อสลายม็อบ-สดุดีลั่นงานศพ

ที่มา ข่าวสด

นาทีตาย โดนส่อง หัว-ท้อง

ร่วมอาลัย - ญาติและเพื่อนๆ ร่วมพิธีเผาศพนายพรสวรรค์ นาคะไชย อายุ 23 ปี ที่วัดป่าอัมไพรวัล จ.ร้อยเอ็ด ผู้ชุมนุมที่ถูกยิงตายระหว่างการสลายม็อบบริเวณบ่อนไก่ กทม. มีผู้ว่าฯ ส.ส. และกลุ่มนปช.ไปร่วมงานจำนวนมาก

สลดอีก 4 ชีวิตเหยื่อกระชับพื้นที่ รายแรกเป็นหนุ่มหนองคายทำงานเป็นหัวหน้ารปภ. ช่วงออกพื้นที่ตรวจลูกน้องถูกลูกหลงตายคาแยกมักกะสัน หนุ่มเมืองสองแควที่เข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณราชประสงค์ถูกยิง สำหรับพนักงานโรงแรมย่านสุขุมวิทถูกยิงเจาะท้องถูกตับฉีกขาดบริเวณบ่อนไก่ ส่วนหนุ่มเมืองช้างอาชีพขับแท็กซี่ถูกยิงเจาะหัวที่แยกศาลาแดง เป็นวันเดียวกับที่เสธ.แดงถูกยิง ญาติรับศพกลับบ้านเกิดระหว่างรดน้ำศพ เสื้อแดงเมืองช้างยกย่อง "วีรชนสุรินทร์" สละชีวิตเพื่อประชาธิปไตย

เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 133 ม.10 บ้านร่องายง ต.บ้านพร้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นบ้านของนายสุพจน์ ยะธิมา อายุ 37 ปี หนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมชุม นุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่บริเวณราชประสงค์ และถูกยิงเสียชีวิต ต่อมาได้มีพิธีเผาศพที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ภายในบ้านพบนางหลั่น สุขคำภา อายุ 77 ปี ซึ่งเป็นแม่ยายเฝ้าบ้านเพียงลำพัง

นางหลั่นกล่าวว่า นายสุพจน์เป็นลูกเขย แต่เดิมเป็นคนจ.ลำพูนได้มาแต่งงานอยู่กินกับนางสุมิตรา ยะธิมา อายุ 33 ปี ลูกสาวมานาน โดยมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านของตนหลังนี้ตั้งแต่แรก ปกติเวลาอยู่บ้านคนตายจะมีอาชีพทำไร่ทำนาและรับจ้างทั่วไป ก่อนหน้าที่ลูกเขยจะเสียชีวิตได้พาลูกชายตนไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านเกิดจ.ลำพูน และกลับมาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.

"ต่อมาวันที่ 30 เม.ย. ลูกเขยได้เดินทางไปหาน้าสาวที่กรุงเทพฯ โดยดิฉันไม่ทราบว่าไปทำ งานอะไรแต่มีญาติโทร.คุยกันทราบว่าไปเป็นยามเพิ่งไปอยู่ได้ประมาณ 1 ปีเท่านั้น กระทั่งมาเสียชีวิต ส่วนตัวไม่รู้มาก่อนว่าลูกเขยได้เข้าไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง โดยทางบ้านไม่มีใครทราบเลย

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบนาง สุมิตรา ยะธิมา อายุ 33 ปี ภรรยานายสุพจน์ ซึ่งทำงานอยู่ในร้านขายส่งขนมกิจทวี ภายในตลาด สดนครไทย ที่ยังสวมเสื้อสีดำไว้ทุกข์ให้กับสามี กล่าวว่า ตนทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่ร้านนี้มานานแล้ว ก่อนที่จะแต่งงานกับนายสุพจน์ หลังแต่งงาน อยู่กินด้วยกันจนมีลูกชาย 1 คนชื่อ ด.ช.ภูวดล ยะธิมา เรียนอยู่ชั้น ป.3 โรงเรียนบ้านป่าซ่าน ต.บ้านพร้าว ส่วนสามีเดินทางไปๆ มาๆ กรุง เทพฯได้ประมาณ 1 ปี ครั้งล่าสุดมาทำงานเป็นยาม และได้ส่งเงินมาให้ทางบ้านทุกเดือน เพราะเงินที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว และนำไปใช้หนี้ที่กู้ธ.ก.ส.มา 100,000 บาท นางสุมิตรากล่าวต่อว่า ตนไม่เคยทราบมาก่อนว่าสามีไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง กระทั่งมาทราบข่าวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาบอกที่บ้านในช่วงเช้าของวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมาว่าสามีถูกยิง หลังรับทราบ ช่วงเย็นจึงรีบเดินทางเข้ากรุงเทพฯพร้อมกับญาติทันที ส่วนศพสามีถูกยิงเข้าที่ศีรษะ หลังจากจัดพิธีเผาเสร็จ เบื้องต้นได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวังจำนวน 50,000 บาท ได้แบ่งเงิน 2 ส่วน ให้พ่อแม่สามี และตนกับลูก โดยแบ่งกันฝ่ายละ 25,000 บาท

เหยื่อปืน- นางพลอน ขบวนงาม และนางสุดารัตน์ จันทพันธ์ แม่และเมียนายชาติชาย ชาเหลา อายุ 25 ปี หนึ่งในผู้ชุมนุมนปช.ที่ถูกยิงตายบริเวณแยกศาลาแดง กรุงเทพฯ นั่งเศร้าหน้าศพที่นำกลับไปบำเพ็ญกุศลที่จ.สุรินทร์

"ส่วนจากนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาให้การดูแลและช่วยเหลืออีกเลย ซึ่งที่ผ่านมาได้ยื่นหลักฐานให้กับทางเจ้าหน้าที่บ้านราชวิถีเอาไว้เท่านั้น ก่อนเดินทางกลับบ้านเมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา วันนี้ได้มาทำงานที่ร้านขายส่งขนมที่เคยอยู่มานานนับ 10 ปี ได้ค่าจ้างวันละ 150 บาท ตอนนี้รอว่าจะมีหน่วยงานใดมาให้การช่วยอีกหรือไม่" ภรรเหยื่อปืน กล่าว

วันเดียวกัน นางสำลอง รูปคม อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63 หมู่ 5 บ้านนางาม ต.ศรีสำราญ อ.พรเจริญ จ.หนองคาย มีศักดิ์เป็นพี่ภรรยาของนายมนูญ ท่าลาด อายุ 44 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างมีการชุมนุมของคนเสื้อแดง กล่าวว่า นายมนูญบ้านเดิมอยู่ที่อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ได้เดินทางไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ และได้พบกับนางผ่องใสน้องสาวตนซึ่งไปทำงานโรงงานเย็บผ้าที่กรุงเทพฯ ต่อมาได้แต่งงานอยู่กินจนมีลูกด้วยกัน 2 คน คนโตเป็นชายอายุ 21 ปี ส่วนคนเล็กเป็นหญิงกำลังเรียนชั้นม.1 อยู่ที่อ.พรเจริญ ทั้งสองได้ฝากลูกไว้ให้ตนเลี้ยงดู ส่วนทั้งสองคนทำงานที่กรุงเทพฯ สำหรับนายมนูญเป็นหัวหน้ารปภ.ที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ส่วนน้องสาวทำงาน อยู่โรงงานเย็บผ้า พอช่วงเทศกาลสำคัญจะพากันกลับมาเยี่ยมลูก

นางสำลองกล่าวต่อว่า ได้เคยสอบถามน้องสาวเคยไปชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่ น้องสาวบอกว่าไม่เคยไป ส่วนนายมนูญไปหรือไม่นั้นไม่ทราบ เพราะทำงานกันคนละเวลา คนหนึ่งทำงานเช้าอีกคนทำงานกลางคืน จึงไม่ค่อยได้เจอกันต่างคนต่างทำงาน วันเกิดเหตุเป็นช่วงที่นายมนูญไปทำงานตามปกติ ได้ออกตรวจพื้นที่ดูลูกน้องบริเวณแยกมักกะสัน พอถูกยิงคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ร้องตะโกนว่าตำรวจถูกยิง เพราะนึกว่านายมนูญซึ่งแต่งเครื่องแบบรปภ.เป็นตำรวจ อีกทั้งเป็นวันเดียวกับที่เสธ.แดงถูกยิงด้วย

นางสำลองกล่าวอีกว่า ล่าสุดเมื่อเช้าตรู่วันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา นางผ่องใสได้โทรศัพท์มาบอกตนว่านายมนูญถูกยิงเสียชีวิต หลังรู้ข่าวแทบช็อก จึงได้พาญาติอีกจำนวนหนึ่งเดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่าศพนายมนูญถูกยิงเข้าที่ขมับซ้าย 1 นัด ขณะที่ยังสวมเครื่องแบบรปภ. จากนั้นเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ได้นำศพไปฌาปนกิจที่วัดจอมทอง เขตบางขุนเทียน ท่าม กลางความเสียใจของญาติพี่น้อง

"ในวันงานได้มีนายไตรรงค์ ติธรรม และนายยุทธพงศ์ แสงศรี ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย นำเงินมาช่วยเหลือจำนวนหนึ่ง ทางบริษัทที่นายมนูญทำงานได้มอบเงินมาช่วยอีก 20,000 บาท โรงงานเย็บผ้าของนางผ่องใสช่วยอีก 10,000 บาท นอกจากนี้ยังได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวัง และจากตัวแทนของพ.ต.ท.ทักษิณ อีกจำนวนหนึ่ง ขณะนี้ภรรยาผู้ตายอยู่ระหว่างเดินเรื่องขอรับเงินจากรัฐบาล และสำนักงานประกันสังคม โดยประมาณเดือนมิ.ย.จะนำกระ ดูกของนายมนูญมาทำบุญและเก็บไว้วัดที่บ้านนางามแห่งนี้ ส่วนน้องสาวหลังเสร็จงานจะกลับมาทำนาเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านเช่นเดิม"

วันเดียวกัน เวลา 13.30 น. ที่วัดป่าเจ้าคุณเพลินธรรมราม บ้านเจ้าคุณ หมู่ 3 ต.โชคนาสาม อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ได้มีชาวบ้านและกลุ่มนปช.คนเสื้อแดง ประจำท้องถิ่น 500 คน เดินทางมาร่วมรับศพนายชาติชาย หรือยศ ชาเหลา อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36 บ้านเจ้าคุณ ซึ่งเคลื่อนย้ายศพจากกรุงเทพฯกลับมาภูมิลำเนาบ้านเกิด เพื่อประกอบพิธีฌาปนกิจในวันจันทร์ที่ 31 พ.ค.นี้ โดยนายชาติชายเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงครามเสียชีวิต บริเวณศาลาแดง เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในพิธีได้มีนางพลอน ขบวนงาม อายุ 52 ปี มารดา และนางสุดารัตน์ จันทพันธ์ ภรรยาให้การต้อนรับแขกที่เดินทางมาร่วมงาน ก่อนจะนำศพนายชาติชาย ชาเหลา ขึ้นศาลาการเปรียญ พร้อมประกอบพิธีรดน้ำศพ โดยศพของนายชาติชายอยู่ในสภาพสวมเสื้อยืดนปช.สีแดง นุ่งกางเกงยีนสีน้ำเงิน มีผ้าพันรอบศีรษะ และพันที่ขาซ้าย ห่มด้วยผ้าแพรสีแดง โดยใช้ธงชาติคลุมร่าง สร้างความโศกเศร้าของหมู่ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ นอกจากนี้ทุกคนได้ส่งเสียงตะโกนว่า "วีรชนสุรินทร์ สละชีวิตเพื่อประชาธิปไตย"

นางพลอนกล่าวว่า ได้แต่งงานใช้ชีวิตคู่กับนายชัยยา ชาเหลา มีลูกด้วยกัน 3 คน นายชาติชายคนตายเป็นลูกคนโต ในระหว่างที่ลูกอายุได้ 2 เดือน สามีได้มาหย่าร้างแยกทางกัน โดยนายชาติชายเป็นลูกที่เลี้ยงง่าย อุปนิสัยโอบอ้อมอารี ชอบทำกับข้าวให้แม่และน้องทานบ่อยๆ ความฝันของลูกยศ คืออยากมีบ้าน และรถยนต์

ต่อมาลูกชายได้ทำงานรับจ้างขับรถแท็กซี่ที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2549 และได้แต่งงานอยู่กินกับนางสุดารัตน์ จันทพันธ์ อายุ 24 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ โดยฝ่ายภรรยาสาวทำ งานรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าที่กรุงเทพฯ

ด้านนางสุดารัตน์ กล่าวว่า หลังใช้ชีวิตคู่สมรส สามีได้เช่าซื้อรถแท็กซี่มา 1 คัน ราคา 900,000 บาท เมื่อช่วงปี 2551 สามีได้เข้าร่วมอุดมการณ์กับกลุ่มนปช.คนเสื้อแดง ร่วมชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าฯ และที่ราชประสงค์ นอกจากนี้ ตนยามว่างเว้นจะไปร่วมชุมนุมกับสามีเป็นครั้งเป็นคราว และเมื่อรัฐบาลประกาศขอคืนพื้นที่ จึงได้เตือนสามีให้ระวังตัว กระทั่งวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังจากเสธ.แดงถูกยิงที่ศาลาแดง แต่เวลาคนละช่วงในเวลา 21.00 น.สามีถูกยิงด้วยอาวุธปืนความเร็วสูงเจาะที่ขมับขวา 1 นัด และถูกยิงซ้ำเข้าที่ขาซ้าย 2 นัด สิ้นใจตายในที่เกิดเหตุ

"สำหรับการช่วยเหลือครอบครัวได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเงินช่วยเหลือจำนวน 50,000 บาท และจากพรรคเพื่อไทย 100,000 บาท พร้อมค่าขอย้ายศพ 20,000 บาท จากนปช. 15,000 บาท" ภรรยาเหยื่อปืนกล่าว

นางสุดารัตน์กล่าวต่อว่า จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือครอบครัว เนื่องจากสถานะความเป็นอยู่ยากจน สามีเป็นเสาหลักหาเงินมาเลี้ยงดูแม่ ตา ยาย วัย 85 ปี ซึ่งร่างกายพิการ อีกทั้งตอนนี้ตั้งท้องได้ 2 เดือนแล้ว ไม่รู้จะคิดถึงอนาคต แต่ต้องเข้มแข็งสู้ชีวิตเพื่อเลี้ยงลูกให้เติบโต

ทางด้านนางกาญจนา เพ็ชรวิเศษ ปลัดอาวุโสอำเภอปราสาท กล่าวว่า เป็นตัวแทนนายอำเภอปราสาท พร้อมปกครองอำเภอนำพวงหรีดร่วมงานบำเพ็ญกุศล จากการสอบถามครอบครัวทราบว่าทางครอบครัวได้ทำเรื่องขอความช่วยเหลือจากกรมพัฒนาสังคมแล้ว หากยังไม่ทำเรื่องทางอำเภอจะประสานให้

วันเดียวกัน ที่บ้านเลขที่ 3 หมู่ 18 บ้านหนอง โน ต.รอบเมือง อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านของนายพรสวรรค์ นาคะไชย อายุ 23 ปี ที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมบริเวณบ่อนไก่ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา มีนายหนึ่งฤดี นาคะไชย อายุ 25 ปีพี่ชาย ได้กล่าวว่า นายพรสวรรค์น้องชาย หลังจากจบชั้นม.3 จากโรง เรียนบ้านหนองโน ได้เดินทางไปหางานทำที่กรุงเทพฯในตำแหน่งพนักงานโรงแรมไฟวิ่งกรุง เทพโฮเต็ล ย่านสุขุมวิท โดยน้องชายชื่นชอบกลุ่มคนเสื้อแดงมากได้ใช้เวลาว่างหลังเลิกงาน และวันหยุดจะไปร่วมชุมนุมตลอดเวลากับเพื่อนๆ และนายเอกชัย นาคะไชย อายุ 28 ปี พี่ชายคน ที่สองซึ่งไปรับจ้างทั่วไปที่ตลาดบางบัวทอง จ.นนทบุรี โดยวันเกิดเหตุน้องชายได้ไปคนเดียวและถูกยิงเข้าที่ช่องท้องจนตับฉีกขาด และหน้า อกซ้าย ถูกนำตัวส่งร.พ.เลิดสินและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

นายหนึ่งฤดีกล่าวต่อว่า ญาติๆ ได้นำศพไปฌาปนกิจที่วัดป่าอัมไพรวัลย์ บ้านเกิด เมื่อวันเสาร์ที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา มีผู้มาร่วมงานจำนวนมาก อาทิ นายธวัชชัย ฟักอังกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายอำเภอหนองพอก กลุ่มนปช.แดงร้อยเอ็ด และแดงภาคอีสานกว่า 1 พันคน ทั้งนี้มีตัวแทนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นำเงินมาทำบุญด้วย 1 แสนบาท จากผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด 2 หมื่นบาท และกลุ่มนปช.แดงอีก 1 หมื่นบาท

"รู้สึกเสียใจมาก ไม่คิดว่าจะสูญเสียน้องชายไปเร็ว เห็นกันอยู่หลัดๆ เหมือนฝันไป ช่วงสงกรานต์กลับบ้านมาเล่นด้วยกัน และยังไปส่งที่กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 10 เม.ย. และเดินทางกลับบ้านในวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังรู้ข่าวแม่ถึงกับช็อกเป็นลมล้มพับ หลังโรงพยาบาลเลิดสินโทร.มาเมื่อเวลา 17.00 น. ว่าน้องถูกยิงอาการ 50-50 และครั้งที่สองเวลา 19.00 น.ได้เสียชีวิตแล้ว น้องชายเป็นคนดีรักครอบครัว ทำงานได้เงินมาจะแบ่งส่งมาให้ช่วยสร้างบ้านจนแล้วเสร็จและยังส่งค่าใช้จ่ายให้ทุกเดือน เดือนละ 2 พันบาท" พี่ชายเหยื่อปืน กล่าว

ด้านนางสะกัน นาคะไชย มารดา กล่าวว่า ได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวัง 5 หมื่นบาท รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หาที่สุดมิได้ สำหรับลูกชายคนนี้ตนเสียใจมากที่ต้องสูญเสียเขาไปเนื่องจากเป็นคนดี รักแม่ รักครอบครัว

มาร์คแจงสื่อนอก ชูสันติภาพ ยันไม่ใช่อำนาจ

ที่มา ไทยรัฐ

Pic_86147

ระบุไม่เคยต้องการอยากเห็นการสูญเสียเลือดเนื้อ การตัดสินใจที่มีออกมา ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่รู้สึกว่า ถูกต้องสำหรับประเทศ ยืนยันไม่ต้องการยึดติดกับอำนาจและจะจัดเลือกตั้งทันทีเมื่อเวลาเหมาะสม.....

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานเมื่อ 29 พ.ค.ว่า นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ระบุว่าการใช้มาตรการเด็ดขาดจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นไปเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ใช่เพื่ออำนาจทางการเมือง และไม่เคยต้องการอยากเห็นการสูญเสียเลือดเนื้อ การตัดสินใจที่มีออกมา ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่รู้สึกว่าถูกต้องสำหรับประเทศ ยืนยันไม่ต้องการยึดติดกับอำนาจและจะจัดเลือกตั้งทันทีเมื่อเวลาเหมาะสม และว่าตลอดช่วงเลาที่ผ่านมา รู้สึกเหนื่อยมาก เป็นการเหน็ดเหนื่อยที่ไม่เหมือนนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ และเป็นการเหนื่อยเพื่อแสวงหาหนทางสันติวิธีแก้วิกฤติการเมือง

นายกฯพร้อมรับผิดชอบหากผิดจริงสลายม็อบ

ที่มา ไทยรัฐ

Pic_86133

นายกฯ แจงผู้สื่อข่าวต่างชาติ แจงเหตุสลายม็อบแดง ย้ำ มีไอ้โม่งชุดดำคอยซุ่มยิงประชาชนอยู่จริง ซัด “ทักษิณ”เป็นอุปสรรคใหญ่ขวางกระบวนการปรองดอง ลั่นพร้อมรับผิดชอบเหตุสลายการชุมนุม หากผลการสอบสวนพบมีความผิด...

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 29 พ.ค. 2553 ที่ตึกสันติไมตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงเหตุการณ์สถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดงให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศประมาณ 100 กว่าคนฟัง โดยนายอภิสิทธิ์ ได้เล่าเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่วันที่ 10 เม.ย. และการกระชับวงล้อม ระหว่างวันที่ 14-19 พ.ค. รวมถึงความพยายามการเจรจาโรดแม็ปปรองดอง โดยยืนยันว่า รัฐบาลมีนโยบายยุติปัญหาให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด แต่เหตุการณ์ความสูญเสียทุกอย่างมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เช่น การเผาอาคารสถานที่ต่างๆ ขณะที่ผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ส่วนใหญ่เกิดนอกพื้นที่ชุมนุมสี่แยกราชประสงค์ หลังจากนี้จะเดินหน้าสร้างความปรองดองต่อไป โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องมาหารือ ควบคู่ไปกับการดำเนินคดีผู้กระทำผิด ส่วนตัวเชื่อว่า คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นผู้ใช้ความรุนแรง

จากนั้นนายกฯเปิดโอกาสให้ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้ตั้งคำถามสอบถามในประเด็นที่ข้องใจ โดยผู้สื่อข่าวรายหนึ่งถามว่า นายกฯจะขอโทษต่อความสูญเสียหรือไม่ ปรากฏว่า นายกฯเลี่ยงที่จะตอบคำถาม โดยกล่าวว่า เสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จะมีการสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อไป เมื่อถามว่า มีหลักฐานว่ามีผู้ก่อการร้ายในกลุ่มผู้ชุมนุมหรือไม่ เพราะนักข่าวต่างชาติหลายคนเห็นทหารยิงใส่ประชาชนมือเปล่า นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า เหตุที่เกิดขึ้นมีบางกลุ่มต้องการใช้ความรุนแรง ซุ่มยิงจากตึกสูง โดยมีประชาชนเป็นเป้า ซึ่งเรามีหลักฐานชัดเจน ถ้าทหารต้องการยิงใส่ประชาชนจริง จำนวนผู้เสียชีวิตคงมากกว่านี้ ทั้งนี้ การที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมไอ้โม่งชุดดำบางคนได้ และจากการเข้าไปตรวจค้นพื้นที่บางแห่ง ก็พบว่า มีอาวุธสงคราม แสดงว่ามีไอ้โม่งชุดดำอยู่จริง ส่วนการสอบสวนหาสาเหตุผู้เสียชีวิต 6 คนที่วัดปทุมวนาราม จะตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการยืนยันจากบุคคลที่ทาบทามมาเป็นประธาน คณะกรรมการชุดนี้ต้องได้รับจากทุกฝ่ายว่าเป็นกลางจริงๆ

ผู้สื่อข่าวต่างชาติ ยังถามด้วยว่า คิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการปรองดองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ที่ผ่านมา ก็เป็นอุปสรรคใหญ่ และเชื่อว่าจะเป็นอุปสรรคต่อไป แต่จากนี้ไป เราต้องก้าวข้ามอดีตนายกฯ คนนี้ไปให้ได้ ไม่ว่า ใครเรียกร้องอะไร เราต้องไปแก้ปัญหา อย่าไปสนใจเรื่องของคนๆเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะอยู่เหนือกฎหมาย เมื่อถามว่า นายกฯจะลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ตนพยายามทำทุกอย่าง โดยไม่ใช้ความรุนแรง อย่างไรก็ตาม หากภายหลังการสืบสวน หรือ มีหลักฐานบ่งชี้ว่า ตนมีความผิด ก็พร้อมจะยืดอกรับผิดชอบ ยืนยันว่าที่ทำงานทุกวันนี้ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

นายอภิสิทธิ์ ยังตอบคำถามกรณีการปรับ ครม.จะมีการปรับรัฐมนตรีบางคนที่มาจากกลุ่มเสื้อเหลือง ที่ถูกดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายออกไปหรือไม่ว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่กระทำผิดไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ทั้งนี้นายกฯใช้เวลาชี้แจง และตอบคำถามรวม 1 ชั่วโมง

ส.ส. ต้องสังกัดพรรค (ตอน 3)

ที่มา บางกอกทูเดย์

สมาชิกพรรคการเมืองที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี...ถ้าเป็น ส.ส.หรือเป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี อยู่ด้วยก็จะพ้นสภาพตามไปด้วยกรณีที่ศาลยุบพรรคทั้งสามไปเมื่อ 2 ธันวา 51 ก็เข้าลักษณะนี้แต่ ส.ส.ที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้น ยังมีข้อยกเว้นเอาไว้ในมาตรา 20 มีวรรคหกซึ่งเป็นวรรคท้ายของมาตรานี้อยู่ด้วย“วรรคหก” นี้เป็นประเด็นสำคัญที่หลายคนคงคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นนักกฎหมายหรือผู้เชี่ยวชาญกฎหมายที่อาจมองข้ามไปมาตรา 20 วรรคหก บัญญัติว่า “การสิ้นสุดสมาชิกภาพตามวรรคหนึ่ง (5) ถ้า

สมาชิกผู้นั้นดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย และไม่อาจเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นได้ภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่พรรคการเมืองยุบไป ให้สมาชิกภาพของผู้นั้นสิ้นสุดลงนับแต่วันถัดจากวันที่ครบหกสิบวันนั้น”ยกความใน มาตรา 20 วรรคหก มาเขียนให้อ่านทุกคำตามตัวอักษรแล้ว...พี่น้องลอง

พิจารณาตามไปด้วยกันนะครับในมาตรา 20 วรรคหกจะเห็นคำว่า “สมาชิก” กับคำว่า “สมาชิกภาพ” “สมาชิกภาพ” นั้นเขียนไว้ในมาตรา 20 วรรคหนึ่งว่า...สมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลงเมื่อ.....อ่านแล้วนำไปพิจารณารวมกับความหมายของคำว่า “สมาชิก”ก็จะได้ความว่า สมาชิกภาพของสมาชิกพรรคการ

เมืองสิ้นสุดลงเมื่อ.....ดังนั้น การสิ้นสุดสมาชิกภาพตามวรรคหนึ่ง (5) จึงหมายถึงการสิ้นสุดสมาชิกภาพตามมาตรา 20 วรรคหนึ่ง (5)แต่มาตรา 20 วรรคหก ได้ข้อยกเว้นไว้ให้...โดยยกเว้นให้สมาชิกของพรรคการเมืองที่เป็น ส.ส. มีสมาชิกภาพต่อไปการมีสมาชิกภาพของ ส.ส. สำหรับพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป

แสดงให้เห็นว่า กฎหมายนี้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ในเรื่อง ส.ส.ต้องสังกัดพรรคเพราะมาตรา 20 วรรคหก กำหนดให้ ส.ส. นั้นยังมีเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่ถูกยุบได้ต่อไปสมาชิกภาพของ ส.ส. ของพรรคที่ถูกยุบโดยคำสั่งศาลนั้น จึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 20 วรรคหกว่า ยังเป็น ส.ส. ที่มีพรรค

การเมืองสังกัดอยู่เช่น นายชัย ชิดชอบ ก็ยังคงถือว่าเป็น ส.ส. ในสังกัดพรรคพลังประชาชน ในวันที่ 15 ธันวา 51พอเข้าใจได้แล้วใช่ไหมครับว่า ส.ส. ต้องสังกัดพรรค ทีนี้มาพิจารณากันต่อว่า ส.ส. ของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไปนั้น จะทำหน้าที่ในสภาได้หรือไม่และถ้าเข้าไปทำหน้าที่ในสภาจะทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส.ที่

ไม่มีพรรคสังกัดได้หรือไม่หรือจะเข้าไปทำหน้าที่ในสภา โดยแสดงฐานะของพรรคการเมืองเดิมที่ถูกยุบไป เรื่องนี้คงพิจารณาได้ว่า ส.ส. ของพรรคพลังประชาชน ก็ยังคงเป็น ส.ส. ของพรรคพลังประชาชนต่อไป ตามกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 20 วรรคหก แต่พรรคการเมืองมีอยู่หรือไม่ ต้องไม่มีแล้ว ตั้งแต่วัน

ที่ศาลมีคำสั่งยุบพรรค ดังนั้นแม้ว่า กฎหมายพรรคการเมืองจะคุ้มครองให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรค แต่ ส.ส. ที่สังกัดพรรคที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบไปแล้ว จะเข้าไปทำหน้าที่ในสภาได้อย่างไรแต่เรื่องนี้เกิดขึ้นไปแล้ว โดยเฉพาะ ส.ส. ของพรรคพลังประชาชนเกือบทั้งหมดได้เข้าไปทำหน้าที่ในสภาไปเรียบร้อยแล้วรวมทั้ง

อีกสองพรรคที่ถูกยุบไปด้วย ดังนั้น ถ้าตัวแทนของพรรคพลังประชาชนได้รับเลือกเป็นนายกฯ ก็คงจะไม่ชอบไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง ดังที่กล่าวไปแล้วว่า...เป็นการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและในวรรคสองของ

มาตรา 68 ก็บัญญัติให้สิทธิคนทั่วไปที่ทราบการกระทำการดังกล่าวของ ส.ส. เหล่านี้ สามารถเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อยื่นคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้หยุดการกระทำดังกล่าวได้ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสาม ยังกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการ

เมืองใดเลิกการกระทำดังกล่าว และศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวต่อไปบังเอิญการเสนอชื่อว่าที่นายกฯ ของ ส.ส. พรรคพลังประชาชนนั้นไม่ได้รับเลือกโดยเสียงข้างมากในสภา แต่กลับกลายเป็นว่าที่นายกฯ อีกคนหนึ่งที่ได้รับการเสนอชื่อเช่นกันถ้ายึดถือตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและ

กฎหมายพรรคการเมือง การที่รายงานการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 15 ธันวา 51 นั้น ซึ่งปรากฏหลักฐานไว้ชัดว่า...มีการแสดงลำดับที่ หมายเลขที่ ชื่อ-นามสกุล พรรคการเมืองที่สังกัดไว้ชัดเชื่อหรือไม่? บันทึกการลงคะแนนเลือกว่าที่นายกฯ ทั้งสองคนนั้น ซึ่งต้องเปิดเผยให้ทราบนั้นปรากฏว่า...มีบันทึก

ไว้แปลกมาก แปลกจริงๆเพราะ ส.ส. ทั้งสามพรรคที่เข้าไปทำหน้าที่ในสภาวันที่ 15 ธันวานั้น “ไม่มีการระบุชื่อพรรค”เอาไว้เลยแสดงให้เห็นว่า ส.ส. เหล่านี้คงมีการเข้าใจว่า คนเหล่านี้เป็น ส.ส. อิสระอยู่อย่างนั้นหรือ เป็นเจ้าที่ไม่มีศาลใช่หรือไม่คงตอบได้ชัดว่า “ไม่ใช่”เพราะ ส.ส. เหล่านี้ยังต้องถือว่าเป็นสมาชิกพรรค

พลังประชาชนอยู่ต่อไปตามกฎหมายพรรคการเมืองเมื่อยังเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเดิมที่พรรคนั้นถูกศาลยุบไปแล้วการบันทึกรายงานการออกเสียง การลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่15 ธนั วา 51 ทงั้ สองคนน่าจะมีความไม่ชอบ!เพราะการบันทึกว่า ส.ส. ในขณะนั้นมีอยู่437 คน...ว่าที่นายกฯ ที่พรรคพลัง

ประชาชนสนับสนุนได้คะแนนเสียงน้อยกว่าว่าที่นายกฯ รูปหล่อจึงถือว่า “นายกฯ รูปหล่อ” ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่คงจะผิดพลาดกันไปแล้ว...แต่อาจจะมีความบังเอิญอย่างตั้งใจอีกเช่นกัน“นักร้องขาประจำ” ทั้งหลายไม่รู้หรือแกล้งโง่หรือไม่ มิทราบ...ไม่มีใครยอมหยิบประเด็นใหญ่โตอย่างนี้ขึ้นมาพูดคุย

หรือตรวจสอบกันเลยนี่หรือระบบการปกครองที่ยึดถือหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม ยึดถือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยคงต้องทบทวนกันหรือไม่?!ปัญหาที่เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่เคยมีมาก่อนก็จริง อาจจะส่งกระทบในวงกว้างก็เป็นได้!

โถ..ตำรวจ

ที่มา บางกอกทูเดย์

หัวปั่นที่สุดในวันนี้ คือ ตำรวจคำสั่งโยกย้ายนายตำรวจ..จากหัวเมืองใหญ่ในภาคอีสาน..จังหวัดที่มีการชุมนุมกันของประชาชน..จนกระทั่งมีการเผาสถานที่ราชการ..เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 คำสั่งให้..ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี..เป็นผู้ต้องหา..กระทำการเกินหน้าที่ในการสกัดกั้นการชุมนุมของประชาชนในวันที่ 7 ตุลาคม 2551โดยพฤติกรรมแห่งเหตุการณ์..จะให้ข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย ตัดสินใจอย่างไร..ในเมื่อป้องกัน

จนเป็นเหตุให้มีการปะทะก็มีความผิด..การหลีกเลี่ยงที่จะกระทำการรุนแรงก็มีความผิดแล้วจะให้ตำรวจทำอย่างไรแน่นอนว่า..เมื่อกำลังเจ้าหน้าที่น้อยกว่าไม่สามารถผลักดันผู้ชุมนุมที่มีจำนวนมากกว่า..เขาก็ต้องใช้แก๊สนํ้าตา..และในที่สุดก็คือการป้องกันด้วยอาวุธ..สมมติว่า..เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถป้องกันสถานที่

ราชการทั้ง 4 แห่งไว้ได้..โดยไร้การเผาไหม้หรือทำลายทรัพย์สิน..แต่ในการนั้นมีประชาชนผู้ชุมนุมจำนวนสิบจำนวนร้อยต้องบาดเจ็บล้มตาย..เรื่องไปถึง ป.ป.ช. เขาจะมีความผิดหรือไม่..ป.ป.ช. จะมีมติเช่นไรการบังคับบัญชาก็มีหลายระดับ..หากผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิเสธการทำตามคำสั่ง..เพราะมีตัวอย่างของการทำตาม

คำสั่งแล้วต้องออกจากราชการต้องตกเป็นผู้ต้องหา ก็เป็นเรื่องเป็นไปได้ประเทศจะเป็นอย่างไร..หากกฎหมายแกว่งไกวลู่ไปลู่มา..จนหาแก่นสารไม่เจอจะให้ตำรวจทำอย่างไร..ในเมื่อเรื่องแบบเดียวกันแต่มี 2 คำตอบ..ที่..ตรงกันข้ามเหมือนฟ้ากับเหว...จะให้ตำรวจปฏิบัติอย่างไร..หากว่าการป้องกันรัฐสภากับกอง

บัญชาการตำรวจนครบาลกลายเป็นการทำผิดกฎหมายในวันหนึ่ง..หากว่าการไม่ทำร้ายไม่ฆ่า..จนศาลากลางจังหวัดถูกเผาก็เป็นความบกพร่องจนถูกย้ายและสอบสวนหาความผิด..แต่เรื่องจริงก็คือ..มีผู้ชุมนุมถูกขัดขวางถึงตาย..และศาลากลางก็แค่ถูกเพลิงไหม้..ไม่ใช่ถูกเผาจนเหลือแต่ขี้เถ้าตอตะโก..

แนวโน้ม ‘ก่อการร้าย’ บทเรียนจากแกนใต้สู่เมืองกรุง (1)

ที่มา บางกอกทูเดย์


ความสงบที่คนกรุงอยากให้กลับคืนกำลังอยู่ในขั้นฟื้นฟูทั้งอาคารสถานที่และจิตใจของผู้คนในพื้นที่เมืองหลวงโดยเฉพาะการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มนปช.ไม่ว่าจะเป็นชุมชนบอ่นไก่ชุมชนหลังวัดปทุมวนารามฯนอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ต่างต้องเร่งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือกันทั้งสิ้นเมื่อบ้านเมือง

กำลังเข้าสู่การปรับตัวครั้งใหญ่ เช่นนี้ ดูเหมือนสถานการณ์โดยรวมภายในกรุงเทพฯ จะดูสงบลงบ้างแล้วแต่สิ่งหนึ่งที่จับอาการของรัฐบาลได้เป็นอย่างดีคือ การขยายเวลาเคอร์ฟิวจาก 25-28 พ.ค.ที่ผ่านมาการประกาศขยายเวลาดังกล่าว...รัฐบาลให้เหตุผลที่สร้างความกลัวให้คนกรุงอยู่ไม่น้อยว่า...จากนี้ไปยังมีกลุ่ม

คนที่ไม่หวังดีจะกลับมาสร้างสถานการณ์แบบ “ใต้ดิน”เฉกเช่นการก่อการร้ายในพื้นที่ภาคใต้!เมื่อวิเคราะห์จากสถานการณ์ในเวลามีโอกาสที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้...ส่วนที่เป็นไปได้นั้นอาจเป็นความคั่งแค้นที่ยังคงมีของ“กลุ่มคนเสื้อแดง” ที่ต้องการแก้แค้นทหารและรัฐบาล ซึ่งอาจยังคงมีอยู่ส่วนที่มองว่าอาจเป็น

ไปไม่ได้นั้น...เพราะการก่อการร้ายที่รัฐบาลประกาศไว้นั้น “ไม่มีตัวตนจริง” ดังคำกล่าวคำจำกัดความของคำว่า “ก่อการร้าย”ตามวิกิพีเดีย ระบุว่า...คำว่า การก่อการร้าย (Terrorism) เป็นคำที่มีการโต้เถียงอย่างกว้างขวาง และมีนิยามที่หลากหลาย โดยไม่มีความหมายใด ที่ได้รับการยอมรับโดยสมบูรณ์ ต้อง

การอ้างอิงวอล์เตอร์ ลาควอร์ แห่งศูนย์การศึกษายุทธศาสตร์และการต่างประเทศได้กล่าวว่า...“ลักษณะเฉพาะที่ยอมรับกันทั่วไปคือ การก่อการร้ายนั้น เกี่ยวข้องกับความรุนแรง หรือการข่มขู่ด้วยความรุนแรง” ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อการร้ายจำนวนมากมีความเห็นสอดคล้องกันว่า...การก่อการร้ายที่เกิดขึ้น จะแฝงไว้

ด้วยยุทธศาสตร์ไม่ว่าจะกระทำโดย การวางระเบิดการใช้ปืนยิง การจี้ (เครื่องบิน หรือรถโดยสาร) หรือ การลอบสังหารไม่ได้เป็นการลงมืออย่าง “เลือกสุ่ม”ไม่เกิดขึ้นเองโดยปราศจากความตั้งใจ และไม่ได้เกิดขึ้นอย่างมืดบอดแต่เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยตั้งใจที่จะใช้ความรุนแรง มุ่งประสงค์ต่อพลเรือนเพื่อหวังผล

ทางการเมือง หรือสนองความเชื่อทางศาสนาขณะที่ นายพอล พิลล่าร์ อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายของสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ให้ความเห็นในเชิงโต้เถียงว่า...การก่อการร้ายจะต้องมีองค์ประกอบรวม 4 ประการ คือ 1. ไม่ใช่การกระทำที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจเพียงชั่ววูบ แต่เป็น

การกระทำที่ผ่านการใคร่ครวญไตร่ตรอง และวางแผนไว้ล่วงหน้า 2. เป็นการกระทำที่หวังผลทางการเมืองไม่ใช่อาชญากรรม ดังเช่นกลุ่มองค์กรที่ดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น“กลุ่มมาเฟีย”ก่อเหตุรุนแรงเพื่อหวังเงินหรือทรัพย์สินเป็นรายได้แต่เป็นการกระทำ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากที่เป็นอย่างใน

ปัจจุบันไปสู้แนวทางที่ผู้ก่อการร้ายต้องการ 3. ส่วนใหญ่เป็นการกระทำที่มุ่งร้ายต่อเป้าหมายพลเรือน ไม่ได้พุ่งเป้าฝ่ายทหารหรือหน่วยทหารที่พร้อมรบ4. กระทำโดยกลุ่มองค์กรที่แฝงตัวอยู่ในประเทศ ไม่ใช่กำลังทหารของประเทศต้นกำเนิดขณะที่ นายปัญญศักดิ์ โสภณวสุนักวิจัยในโครงการความมั่นคงศึกษา

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)ประเมินสถานการณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงวา่ ...แม้การต่อสู้จะยุติลง แต่สงครามก็ยังไม่เลิก และคงจะยืดเยื้อต่อไป“การต่อสู้ใต้ดินเป็นกฎธรรมชาติของการต่อสู้อยู่แล้วในประวัติศาสตร์การต่อสู้ไม่ว่าประเทศไหน อารยธรรมใด หรือศาสนาไหนก็ตาม หากต่อสู้แบบเผชิญหน้า

อย่างเปิดเผยไม่ได้หรือเกิดความพ่ายแพ้ ก็ต้องหันไปใช้ รูปแบบการต่อสู้ใต้ดินส่วนจะทำได้แค่ไหนหรือมีประสิทธิภาพมากเพียงใด มันต้องอาศัยเวลา ไม่ใช่จะทำก็สามารถทำได้เลย ยังต้องมีการผ่านกระบวนการอีกมากมายหลายอย่างถึงจะทำได้สำเร็จ”สอดคล้องกับคำกล่าวของ นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิก

วุฒิสภา (ส.ว.) ที่เคยอภิปรายไว้ในสภาก่อนหน้านี้ว่า...ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะแก้ไขอย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจะไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วเพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มวลชนจากต่างจังหวัดเข้ามาต่อสู้อย่างยาวนานในกรุงเทพฯ และจบลงด้วยการใช้ความรุนแรงเข้าใส่กัน

(โปรดติดตามอ่านต่อฉบับหน้า)

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

4 นายกฯ 4 ยุคการสูญเสีย (ชีวิต)

ที่มา ไทยรัฐ

Pic_84859
จอมพลถนอม กิตติขจร - พล.อ.สุจินดา คราประยูร - สมชาย วงศ์สวัสดิ์ - อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยตั้งแต่ปี 2475 เกิดเหตุการณ์ให้ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้หลายต่อหลายเหตุการณ์ มีทั้งการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี และ เหตุการณ์ที่เลวร้ายสุดๆ ที่ไม่มีใครอยากเกิดขึ้นเลย โดยเฉพาะเหตุการณ์การต่อสู้ทางการเมือง ที่อ้างถึง "ประชาธิปไตย" ต่อสู้ ชุมนุม ยืดเยื้อ กระทั่งมีการปราบปรามจนมี "คนไทย" บาดเจ็บ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก

ท่ามกลางการบริหารประเทศของผู้นำสูงสุดของไทย มีทั้งคนที่เห็นด้วย ชื่นชม ทำตาม ขัดแย้ง ต่อต้าน ไม่ปฏิบัติตาม เป็นธรรมดาการทำงานในบรรยากาศชื่นชมที่เป็นไปอย่างราบรื่น แต่หลายต่อหลายครั้งการบริหารประเทศภายใต้บริบทที่ปกคลุมไปด้วยความขัดแย้ง รุนแรง ต้องจบลงด้วยความสูญเสีย ที่ยากจะลืมลง

"14 ตุลา" ยุค จอมพลถนอม กิตติขจร


เริ่มมาจากการที่ จอมพลถนอม กิตติขจร ทำการรัฐประหารตัวเองในวันที่ 17 พ.ย. 14 เหตุการณ์ครั้งนั้นนักศึกษา และ ประชาชนมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจตนเองจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ จอมพลประภาส จารุเสถียร บุคคลสำคัญในรัฐบาล ก็ไม่ได้รับการยอมรับเหมือนจอมพลถนอม แต่กลับต่ออายุราชการให้ตัวเอง ประกอบกับการทุจริตคอร์รัปชั่นจำนวนมาก สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน เป็นอย่างมาก กระทั่งวันที่ 6 ต.ค. 14 มีบุคคล 100 คน เช่น นักวิชาการ นักการเมือง นักคิด นักเขียน นิสิต นักศึกษา เป็นต้น ร่วมลงชื่อร้องขอรัฐธรรมนูญ

จากนั้นนักศึกษาได้เดินแจกใบปลิวเรียก ร้องรัฐธรรมนูญตามสถานที่ต่างๆในกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมประชาชน และ นักศึกษา ด้วยข้อหา "คอมมิวนิสต์" และ ถูกเรียกขานว่าเป็น "ขบถรัฐธรรมนูญ" สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งให้แก่ นักศึกษา ประชาชนอย่างมาก นำไปสู่การชุมนุมใหญ่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ยื่นคำขาดให้ทางรัฐบาลปล่อยตัวทั้งหมด แต่เมื่อถึงเวลาแล้วรัฐบาลก็กระทำการเดินขบวนครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ตามถนนราชดำเนิน สู่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีแกนนำเป็นนักศึกษาและมีประชาชนเข้าร่วมด้วยจำนวนมาก นำไปสู่การนองเลือดในเช้าตรู่วันที่ 14 ต.ค. เกิดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน จึงเกิดการปะทะกันกลายเป็นการจลาจล เฮลิคอปเตอร์ยิงปืนลงมาเพื่อสลายการชุมนุม

เหตุการณ์ยังไม่สงบลงง่ายๆ โดยกลุ่มทหารได้เปิดฉากยิงเข้าใส่นักศึกษาและ ประชาชนอีกครั้ง นักศึกษาพยายามพุ่งรถบัสที่ไม่มีคนขับเข้าใส่สถานีตำรวจ ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ประกาศท้าทายกฎอัยการศึก ประกาศว่าจะอยู่ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย กระทั่งวันที่ 15 ต.ค. ได้มีประกาศว่า จอมพลถนอม จอมพลประภาส และ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ได้เดินทางออกนอกประเทศแล้ว เหตุการณ์จึงค่อยสงบลง

เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 หรือ วันมหาวิปโยค เป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาและประชาชนในประเทศไทย มากกว่า 500,000 คน โดยในเหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิต 77 ราย บาดเจ็บ 857 ราย และสูญหายอีกจำนวนมาก

"35 พฤษภาทมิฬ" ยุค พล.อ. สุจินดา คราประยูร


การรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร นำไปสู่การเคลื่อนไหวคัดค้าน ต่อต้านของประชาชนอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมองว่า เป็นการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) โดยการอดอาหารของ ร.ต. ฉลาด วรฉัตร และ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรม ในขณะนั้น สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย และการสนับสนุนของพรรคฝ่ายค้าน ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเอกภาพ พรรคความหวังใหม่และพรรคพลังธรรม มีข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง และเสนอให้ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง

การชุมนุมยืดเยื้อตั้งแต่เดือน เม.ย. 35 แต่ช่วงที่มีการปะทะกันรุนแรงในช่วงวันที่ 17-20 พ.ค. โดยวันที่ 17 พ.ค. มีการเคลื่อนขบวนประชาชนจากสนามหลวงไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาล ตำรวจและทหารได้สกัดการเคลื่อนขบวน จึงก่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีการบุกเผาสถานีตำรวจ กระทั่งในวันที่ 18 พ.ค. รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานคร และให้ทหารทำหน้าที่รักษาความสงบ แต่ได้นำไปสู่การปะทะกันกับประชาชน มีการใช้กระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมในบริเวณถนนราชดำเนินจากนั้นจึงเข้าสลาย และได้ควบคุมตัว พล.ต. จำลอง และยืนยันว่าไม่มีการเสียชีวิตของประชาชน แต่การชุมนุมต่อต้านของประชาชนยังไม่สิ้นสุด เริ่มมีประชาชนออกมาชุมนุมอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วกรุงเทพ จนวันที่ 19 พ.ค. เจ้าหน้าที่เริ่มเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนินกลางได้ และควบคุมตัวประชาชนจำนวนมากขึ้นรถบรรทุกทหารไปควบคุมไว้ จนเหตุการณ์บานปลายรุนแรง

วันพุธที่ 20 พ.ค. 35 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี และ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ นำพลเอกสุจินดา และ พลตรี จำลอง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท โอกาสนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระราชดำรัสแก่คณะผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ พลเอก สุจินดา จึงกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ มอบหมายให้ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ รองนายกรัฐมนตรี รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปพลางก่อน

เหตุการณ์ที่ประชาชนเคลื่อนไหวประท้วงดังกล่าวนำไปสู่เหตุการณ์ปราบปรามและปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกับประชาชนผู้ชุมนุม มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

"7 ตุลาวิปโยค" ยุคนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

17 ก.ย. 51 ทายาทการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน รักษาการหัวหน้าพรรค ได้รับการเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ของประเทศไทย ต่อจากนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ท่ามกลางกระแสคัดค้านว่าเป็นนอมินี เป็นสายตรง และ การทำงานต่างๆ ยังคงสืบทอดอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เต็มรูปแบบจนทำให้ประชาชน นำโดยกลุ่มพันมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีการชุมนุมคัดค้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2548

กระทั่ง วันที่ 7 ต.ค. 2551 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรุ่นที่ 2 นำมวลชน ชุมนุมต่อเนื่องหน้ารัฐสภา เพื่อไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาและ ได้มีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยตำรวจอ้างว่าใช้เพียงแก๊สน้ำตาแบบยิง แก๊สน้ำตาแบบขว้างและโล่ ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯมีการใช้ ขวดน้ำ และหิน ปะทะกันจนถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 คน และ บาดเจ็บจำนวนกว่า 443 คน 
พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเพื่อรับผิดชอบเหตุการณ์ครั้งนี้และ ต่อมารัฐบาลนายสมชาย ถูกตัดสินคดีจนทำให้พรรคพลังประชาชน ที่นายสมชาย เป็นหัวหน้าพรรคถูกศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินยุบ ทำให้นายสมชาย หมดสภาพโดยทันที แต่เหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองยังไม่จบสิ้น

"สงกรานต์เลือด"-"พฤษภาเดือด" ยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ภายหลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 51 กลุ่มผู้ต่อต้านคัดค้านที่้ชื่อว่า "กลุ่มคนเสื้อแดง" ได้มีการต่อต้านประท้วงอย่างทันที โดยเริ่มจากการชุมนุมที่ท้องสนามหลวงและเคลื่อนขบวนมาปักหลักชุมนุมอย่างยืดเยื้อบนถนนรอบทำเนียบรัฐบาล เรียกร้อง 1. พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ต้องพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี
 2. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
 3. การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การปรับปรุงใดๆ ให้ดีขึ้นตามหลักสากล ต้องมีการปรึกษาหารือกันระหว่างนักประชาธิปไตยผู้มีประวัติและพฤติกรรมเชิดชูระบอบประชาธิปไตยเป็นที่ประจักษ์
 ซึ่งแกนนำคนเสื้อแดงได้เรียกร้องให้เวลา 24 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้น จะมีการยกระดับการชุมนุม หลังพ้นกำหนด 24 ชั่วโมงตามที่ได้เรียกร้อง ผู้ชุมนุมเสื้อแดงได้ทยอยเดินทางชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ และปิดกั้นถนนสำคัญหลายสาย เช่น ถนนรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

กระทั่งวันที่ 11 เม.ย. 52 มีการบุกเข้าไปในโรงแรมรอยัล คลีฟ บีช รีสอร์ท และขัดขวางการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ได้ทำการปิดถนนตามแยกต่าง ๆ ภายในกรุงเทพมหานคร ต่อมารัฐบาลได้ประกาศพระราชบัญญัติบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานครและใกล้เคียง หลังจากที่ได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในระหว่างมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ต่อมาวันที่ 14 เม.ย. 52 กำลังทหารและตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตา กระสุนจริงและกระสุนฝึกหัดเข้าสลายการชุมนุมที่บริเวณแยกดินแดง

จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 70 คนแกนนำประกาศยุติการชุมนุมบนถนนรอบทำเนียบรัฐบาลเพื่อป้องกันการสูญเสียที่จะเพิ่มขึ้นจากการปราบปรามของรัฐบาล จากนั้นแกนนำ 5 คน คือ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายแพทย์เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายสุพร อัตถาวงศ์ได้เข้ามอบตัวต่อ พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนับเป็นการยุติเหตุการณ์ความไม่สงบดังกล่าว

กระทั่ง มีการรวมกลุ่มใหม่ของแกนนำรุ่น 2 โดยใช้ฤกษ์พฤษภาทมิฬ 17-20 พ.ค.แต่ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเพียงการชุมนุมเป็นครั้งครา ต่อมาได้มีการประกาศชุมนุมใหญ่โดยปักหลักที่บริเวณผ่านฟ้าลีลาศ ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.53 และขยายไปตั้งเวทีใหญ่ที่สี่แยกราชประสงค์ แต่รัฐบาลเห็นว่ามีการชุมนุมกันเป็นเวลานาน และ กระทำผิดกฎหมายร้ายแรง เป็นที่มาของการ "ขอคืนพื้นที่" 10 เม.ย.จนเป็นเหตุทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง ต่อเนื่องมาวันที่ 19 เม.ย. รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ นำกำลังทหารเข้าสลายการชุมนุม จนแกนนำต้องประกาศสลายการชุมนุม เดินทางไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นครั้งที่ 2

ซึ่งการปฏิบัติการ ระหว่างวันที่ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค. ศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉิน กรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ) ได้รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นกว่า 80 ราย บาดเจ็บทั้งส้ินกว่า 1.3 พันคน

ภาวนาและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์การสูญเสียครั้งที่ผ่านๆ มาจะเป็นบทเรียน อุทาหรณ์สุดท้ายให้กับคนไทยทุกคน (ย้ำว่าทุกคน) ที่จะช่วยไม่ให้ชาติบ้านเมืองติดหล่ม "ประชาธิปไตย" จนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมทางการเมือง

'แม้ว' ทวิตอัดรัฐบาล ทำขายหน้าตปท.

ที่มา ไทยรัฐ

Pic_86008

ส่งทวิตชุดใหญ่ซัด อ้างหมายจับตร.สากล แต่หลายประเทศเช็คแล้วไม่มี ทำ "บัวแก้ว" งามหน้า ย้ำรัฐบาลที่ฆ่าปชช.หมดความชอบธรรม แนะทางรอดให้ปรองดองไม่ใช่ปราบแดง...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 04.00 น. 29 พ.ค.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ระบุ ผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ (www.twitter.com) ว่า รัฐบาลแน่จริงทำไมปิดสื่อทำโปรปากานดา/กล่าวหาข้างเดียวใครไม่เห็นด้วยด่าเขาเช่น CNN ปิดเขา เช่น RED NEWS ภูมิใจไหม เสรีภาพสื่อไทยอยู่ที่ 155 จาก 198 รัฐบาลหลายประเทศเขาเอาหนังสือราชการที่เด็กหน้าห้องเก่าผมทำไปถึงกระทรวงการต่างประเทศของเขา และบอกว่าอย่าให้ผมเข้าประเทศ โดยอ้างว่าผมมีหมายจับ เป็น International Warrent เขาได้ตรวจสอบไปที่ Interpol พบว่าผมไม่มีหมายเลย เขาบอกว่าเป็นการโกหก ทำให้กต.ไทยไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ งามหน้าไหมหล่ะ

อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุผ่านทวิตเตอร์อีกว่า ขณะนี้รู้มาอีกว่า กำลังจะเร่งให้ตำรวจทำหนังสือถึง Interpol อีก เพื่อบอกว่าศาลออกหมายจับเรื่องก่อการร้ายของให้จับผมส่งตัวมาด้วย โถ! เขาไม่มั่ว เขามีหลักเขารู้ทั้งโลกว่าคุณเป็นรัฐบาลที่สังหารประชาชนของตัวเอง รูปทหารยิง Sniper ใส่ประชาชนมือเปล่าสมองกระจายแล้วยัดข้อหาก่อการร้ายหน้าด้านๆ คุณหมดความชอบทำที่จะปกครองประเทศแล้ว ยิ่งดิ้นยิ่งลำบากขว้างงูไม่พื้นคอหรอกครับ ทางที่จะรอดมีประตูเดียวครับ คือ ปรองดองอย่างแท้จริงไม่ใช่ปราบแดง

พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุด้วยว่า เอาไม่อยู่หรอกครับเสียเวลา เสียหาย ประเทศจะเป็นวัวพันหลัก ในที่สุดเชือกจะเหลือสั้นนิดเดียวเขาวัวก็ทิ่มดิน หันหน้าเข้าหากันดีกว่า อย่าสร้างบาปต่อไป? ในเมืองไทยคุณมั่วได้ขู่สั่งได้แถมมีคนช่วยอีก อย่าไปคิดว่าจะมามั่วในเวทีต่างประเทศได้ คนไทยด้วยกันคุยกันดีกว่า เลิกมั่วเลิกกลัวได้แล้ว พรุ่งนี้คงจะถูกBlock แล้วไม่เป็นไรอีก 3-4 วันพบกันใหม่ ขอให้ท่านได้รับบุญวันวิสาขบูชาเยอะๆ ครับขอให้ดวงวิญญาณวีรชนประชาธิปไตยทั้ง 88 ดวงจงสู่สุขติ

'ทักษิณ' ไล่ 'มาร์ค' ถอนสัญชาติ สั่งฆ่าคนไทย

ที่มา ไทยรัฐ

Pic_85980

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ระบุ ตัวเองเกิดเมืองไทย รักแผ่นดินเกิด จะให้ถอนได้อย่างไร แจงรัฐเป็นผู้ใช้ความรุนแรง แต่มาโทษคนถูกกระทำ พร้อมตั้งคำถามจับหนูตัวเดียวเผาทั้งบ้าน ฆ่าคนทั้งบ้านคุ้มหรือ?...


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 00.30 น. 29 พ.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ระบุผ่านทางเว็บไซต์ทวิตเตอร์ (www.twitter.com) ว่า คุณอภิสิทธิ์แนะให้ผมถอดสัญชาติไทย โถ!ผมเกิดเมืองไทย ผมรักแผ่นดินเกิด จะให้ผมถอนได้อย่างไร ตัวคุณน่าจะถอนมากกว่า คุณเกิดอังกฤษ แต่สั่งฆ่าคนไทยตายเป็นร้อย บาดเจ็บร่วมสองพัน

อดีตนายกฯ ระบุด้วยว่า ในวัดยังฆ่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเพราะคุณ แต่มายัดข้อหาผู้ก่อการร้ายให้คนถูกกระทำ คุณอภิสิทธิ์และรัฐบาลนี้พยายามตามจับผมทุกรูปแบบ แต่ไม่สำเร็จ ถึงขนาดลงทุนฆ่าคนไทย เหมือนชีวิตเป็นผักปลา แล้วยัดข้อหาก่อการร้าย เพื่อจะจับหนูตัวเดียวเผาทั้งบ้าน ฆ่าคนทั้งบ้านคุ้มหรือ?

โลกยังกังวล

ที่มา ข่าวสด

ชกไม่มีมุม

วงค์ ตาวัน



บรรยากาศที่ประเทศไทยตกเป็นเป้าสายตาขององค์กรนานาชาติ โดนทั่วโลกจับตาว่ามีการละเมิดสิทธิประชาชนอย่างรุนแรงในทางการเมืองเช่นนี้ไม่บ่อยนัก

*หนก่อน เมื่อครั้ง 6 ตุลาคม 2519 โน่นเลย*

ตอนนั้นสังหารหมู่ที่ธรรมศาสตร์ จับกุมคุมขังหลายพันคน แล้วยังตามล่าจับเงียบๆอีกมาก ตามยึดหนังสือหนังหาทางการเมือง ควบคุมสื่อ แทรกแซงสื่อเป็นกระบอกเสียงให้รัฐ

ผลจากการเป็นเผด็จการโหดเหี้ยมคราวนั้น ยังทำให้ผู้คนต้องหลบหนีเข้าป่า ความขัดแย้งของคนในชาติรุนแรงมากขึ้น

บ้านเมืองสู่ยุคมืด

รัฐบาลใช้อำนาจปราบ จับขัง ลิดรอนเสรีภาพทางความคิด ข้อมูลข่าวสาร

นั่นเองจึงทำให้องค์การสิทธิมนุษยชนระดับโลก ต้องเข้ามาแทรกแซง!

ในปัญหาการเมือง นับจากปี 2519 ก็มาหนนี้แหละในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์

จากกรณีปราบม็อบโหด มีคนเสียชีวิตมากกว่า 6 ตุลาเสียอีก

*ภาพข่าวที่แพร่ไปทั่วโลก ซึ่งไม่มีอำนาจใดมาบิดเบือนได้ ทำให้นานาชาติวิตกกังวลอย่างมาก*

ล่าสุดองค์การนิรโทษกรรมสากล จากกรุงลอนดอน อังกฤษ ออกคำแถลงเรียกร้องให้ไทย เปิดทางให้ผู้ตรวจสอบจากต่างประเทศเข้ามาร่วมพิสูจน์เหตุปะทะกันระหว่างทหารกับผู้ชุมนุม

องค์การนิรโทษกรรมสากล ระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีอาวุธปืนในการเผชิญหน้ากับม็อบ เห็นทหารยิงใส่ผู้ประท้วง!

หลังจลาจล ยังมีการคุมขังผู้ประท้วงไม่ทราบจำนวน โดยไม่มีการตั้งข้อหา

จึงขอให้รัฐบาลเปิดเผยจำนวนผู้ที่ถูกควบคุมตัว มีกระบวนการสอบสวนที่เหมาะสม โดยอาจขอความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการสอบสวนเป็นอิสระและเชื่อถือได้

*อ่านคำแถลงขององค์การนิรโทษกรรมสากลแล้ว ยิ่งเห็นภาพบ้านเมืองไทยในวันนี้ ไม่ต่างจาก 6 ตุลาฯ*

รัฐบาลอภิสิทธิ์อาจจะโต้ว่า ต่างชาติไม่มีข้อมูลผู้ก่อการร้ายร่วมในม็อบ อะไรทำนองนั้น

ถ้ารัฐบาลมั่นใจเรื่องก่อการร้าย ก็น่าจะยอมให้องค์กรโลกเข้ามาร่วมตรวจสอบจริงๆ

แต่เชื่อว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่กล้า

*เอาแค่เรื่องคุมขังอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ โดยไม่มีข้อหา ไม่มีหลักฐาน!?!*

แล้วลิดรอนเสรีภาพทางปัญญาอย่างร้ายแรง ห้ามอ่านหนังสือหนังหา

จนต้องอดอาหารประท้วง

สมควรแล้วที่องค์กรโลกต้องเข้ามาช่วย!

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker