ในที่สุด ศาลอาญา ก็มีคำสั่งอนุมัติออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในความผิดฐาน "ก่อการร้าย" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 135/2 และ 135/3 ตามที่เจ้าพนักงานสอบสวนคดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ ยื่นคำร้อง
หลังจากได้หมายจับแล้ว พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ บอกว่า เป็นหน้าที่ของ พนักงานอัยการ ที่จะต้องประสานกับ กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อติดตามตัวผู้ต้องหากลับมาดำเนินคดีในประเทศต่อไป
แปลความง่ายๆก็คือ ถ้า พนักงานอัยการ และ กระทรวงการต่างประเทศ ติดตามจับตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาประเทศไม่ได้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ ด้วยศักยภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในวันนี้ ผมไม่แน่ใจว่าพนักงานอัยการและกระทรวงการต่างประเทศ จะมีความสามารถจับตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ในเร็ววัน หรืออาจจับตัวกลับมาไม่ได้เลย
เพียงแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีคดีก่อการร้ายเป็นชนักติดหลัง การเคลื่อนไหวต่างๆในต่างประเทศคงจะไม่สะดวกเหมือนเดิม
พรรคประชาธิปัตย์ เองก็มีชนักติดหลังเหมือนกัน นั่นคือ คดียุบพรรค ที่ยังคาอยู่ที่ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งยังไม่รู้จะออกหัวหรือออกก้อย วันนี้ครบกำหนดที่ศาลรัฐธรรมนูญให้เวลาในการยื่นคำแก้ต่างพอดี ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ มีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ก็ไม่มีใครรู้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
เคราะห์กรรมของประเทศไทย เรียกว่ามาถึงจุดที่หนักหนาสาหัสสุดๆ
สิ่งที่น่าห่วงก็คือ ความขัดแย้งในประเทศ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องเร่งแก้ไขให้เร็วที่สุดในช่วงเวลาที่ยังเหลืออยู่ นอกเหนือจากการเยียวยาเฉพาะหน้ากับผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ได้ทำไปแล้ว
แต่ กระบวนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในระยะยาว ซึ่งเป็นเรื่องที่ ยาก และ สำคัญที่สุด ต้องทำให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดในรัฐบาลนี้ และต้องเป็น กระบวนการที่ไม่ยึดติดกับอายุของรัฐบาล เพื่อให้กระบวนการนี้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องจนปัญหาความขัดแย้งสิ้นสุด และ ต้องมีความคล่องตัวและยืดหยุ่นสูง เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
ที่สำคัญที่สุด "คณะทำงาน" ที่จะมาทำหน้าที่ "ประสาน" กับทุกฝ่ายเพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหา จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้จริงๆ ต้องเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นสูง เพื่อให้งานเดินได้ ที่สำคัญที่สุด "พูดแล้วทุกคนฟัง" ไม่ใช่นักวิชาการหน้าช้ำๆ ไม่ใช่คนอีโก้จัด พูดมาก ยึดเอาความคิดเห็นตนเองเป็นหลัก แทนที่จะแก้ไขปัญหากลับเป็นปัญหาเสียเอง เหมือนหลายๆ ปัญหาที่ยังคาราคาซังอยู่ในเมืองไทย
ผมคิดว่ารัฐบาลควร "จ้างผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ" ที่มีความรู้ความเข้าใจใน กระบวนการรับฟังปัญหา และ กระบวนการแก้ไขปัญหา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ทำผิดทำถูกเดาสุ่มกันไป แล้วก็ล้มเหลวอีก
ที่ผมเสนอจ้างผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ เพราะรู้ว่า กูรูไทย จะรับฟังมากกว่าคนไทยด้วยกันเอง เพราะการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ ต้องล้มเหลวไม่ได้
ปัญหาความขัดแย้งรุนแรงของการเมืองไทย วันนี้ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่อยู่ในความสนใจของชาวโลกไปแล้ว เป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ทั่วโลก แม้แต่ วุฒิสภาสหรัฐฯ ก็นำเรื่องนี้ไปพิจารณาและเพิ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ สนับสนุนแผนปรองดอง 5 ข้อของรัฐบาล และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องปฏิเสธความรุนแรง ให้ใช้แนวทาง "การเจรจา" เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความแตกแยก อย่างที่ผมเรียกร้องมาตลอด
สังคมไทยวันนี้แตกแยกเกินกว่าที่จะมาเดินสำรวจความคิดเห็นกันแล้ว ใครคิดยังไง ต้องการยังไง เท่ากับตอกย้ำความแตกแยกยิ่งขึ้น
สิ่งที่สังคมไทยต้องการเร่งด่วนในวันนี้ ก็คือ กระบวนการปรองดองที่เปิดกว้าง เพื่อนำไปสู่การแก้ไขความขัดแย้งในชาติได้อย่างแท้จริง มิฉะนั้น เราจะต้องบอบช้ำกันอย่างนี้ไปอีกนานทีเดียว.
"ลม เปลี่ยนทิศ"