กรี๊งงงง!! กรี๊งงงงง!!! เสียงโทรศัพท์ภายในสำนักงานของ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ส่งเสียงตามสายเรียกให้มีผู้ตอบรับเกือบตลอดทั้งวัน นับตั้งแต่การชุมนุมของ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ "คนเสื้อแดง" กลุ่มคนที่ถูกกำหนดขึ้นจาก "สี" ในการแบ่งแยกความชัดเจนเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง
นับแต่วันที่ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล โดย นายโคทม อารียาผอ.ศูนย์ฯ ประสานมายัง พระธรรมธัชมุนี เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม เพื่อขอให้พื้นที่แห่งนี้เป็น "เขตอภัยทาน" สำหรับการเข้ามาพักพิงอาศัยแก่เด็ก สตรี และคนชรา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชุมนุมทางการเมืองได้เข้ามาหลบภัย จากกรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือเหตุปะทะ ชั่วคราวระหว่างการปฏิบัติการ ล้อมกระชับพื้นที่ ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ 15 พ.ค. 53 นั่นถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความเป็น "วัดปทุมวนาราม" ต้องละเว้นจุดประสงค์เดิมที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมไปก่อน เมื่อมีกลุ่มมวลชนทางการเมืองที่จำเป็นต้องอาศัยวัดเพื่อเข้าห้องน้ำขับถ่าย ชำระร่างกาย แปรสภาพมาหวังที่พึ่งให้อุ่นใจจากอันตรายที่อยู่ข้างนอกแทน
พระมหาสุริยันต์ ปภังกโร ผู้ช่วยเลขานุการวัดปทุมวนาราม ให้สัมภาษณ์กับคำถามเดิมๆ วันละหลายๆรอบ ของสื่อมวลชน และผู้คนทั่วไป ที่ล้วนแต่วนเวียนตั้งข้อสงสัยว่า "เกิดอะไรขึ้น?" กับที่แห่งนี้ ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีภาพทั้งคนตาย คนเจ็บ และพบอาวุธสงครามมากมายซ่อนอยู่ตามบริเวณวัด ซึ่งพระคุณท่านเจ้าอาวาส ภิกษุรูปอื่น และเจ้าหน้าที่วัดก็ช่วยกันอธิบายก็แล้ว แถลงข่าวก็แล้ว ให้ทุกคนเข้าใจอย่างตรงกันว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ชุมนุม การที่วัดถูกขอร้องให้เป็นเขตอภัยทาน นั่นเท่ากับว่า ไม่ใช่สิทธิที่จะไปห้าม หรือบังคับไม่ให้ผู้ที่กำลังเดือดร้อนเข้ามาพึ่งพาได้ ทำก็ได้แต่เพียงขอร้อง และขอความร่วมมือในข้อห้ามต่าง ๆที่เป็นข้อกำหนดของวัดในบางเรื่องเท่านั้น แต่ก็ไม่วายถูกต่อว่า ถึงความไม่เหมาะสม หรือไม่สมควรก็แล้วแต่ในการให้ความช่วยเหลือผู้ชุมนุม ของกลุ่มคนอีกกลุ่มที่มีความคิดเห็นทางการเมืองอยู่ตรงข้ามกับ"คนเสื้อแดง"
พระมหาสุริยันต์ ย้อนเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค. 2553 ให้ฟังเหมือนเทปที่ต้อง รีเพลย์ซ้ำๆ ว่าภายหลังจากที่แกนนำประกาศยุติการชุมนุม อาตมา รวมถึงพระรูปอื่นๆ ก็พอจะรับรู้ว่า ข้างนอกเกิดความวุ่นวายมาก นับแต่ช่วงบ่ายๆ เป็นต้นมา และด้วยการที่ วัดปทุมฯ กลายเป็นเขตอภัยทาน จึงล้นทะลักไปด้วยผู้ชุมนุมที่คิดว่า การเข้ามาหลบซ่อนตัวจากการถูกทำร้ายจะทำให้พวกเขาปลอดภัย คนจำนวนกว่าสามพันคนก็ต่างกรูวิ่งหนีความตายที่พวกเขาคิดว่ามันกำลังรุกไล่เข้ามามากขึ้นๆ จากเดิมที่เป็นแค่เด็ก ผู้หญิง และคนแก่ คราวนี้ก็มีทั้งชายฉกรรจ์ คนหนุ่มสาวที่ยังพอมีเรี่ยวแรงกำลังรวมกันอยู่มาก เรียกได้ว่า ภายใต้พื้นที่ 17 ไร่ของวัด ทุกตารางนิ้วกลับเต็มไปด้วยผู้ชุมนุมที่กระจัดกระจายหาที่กำบังกายและรักษาชีวิตของตนเอง ไม่เว้นแม้กระทั่งกุฏิร้าง ห้องเก็บของ ห้องน้ำ และต่างอาศัยความเงียบและแสงมืดดำสนิทในค่ำคืนนั้น อำพรางตัวไม่ให้ "ผู้ปฏิบัติการ" อย่างใดอย่างหนึ่ง ได้รับรู้ว่า ใคร ทำอะไร อยู่ตรงจุดไหนกันบ้าง กระทั่งรุ่งเช้าที่เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้ามาเคลียร์พื้นที่เพื่อหาผู้กระทำความผิด ทางวัดถึงได้ร้องขอให้ผู้ชุมนุมบางส่วนกลับภูมิลำเนาของตนเองไปด้วย เพื่อคืนความเป็นพุทธาวาสที่แท้จริงให้กับทางวัด
ส่วนการพบศพคนตายที่ถูกยิงหน้าวัด รวม 6 ศพ และการพบสารพัดอาวุธสงครามซ่อนยังพื้นที่ต่างๆทั้ง พุ่มไม้ ท่อน้ำ ใต้ที่นั่งพระ ในคลอง ฯลฯ จากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่นั้น ผู้ช่วยเลขานุการวัดปทุมวนาราม กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ทางวัดก็ไม่สามารถที่จะให้คำตอบได้ เนื่องจากมีผู้ชุมนุมแห่แหนเข้ามาในวัดมาก การที่จะตรวจสอบว่าใครนำอะไรติดตัวเข้ามาในช่วงหลังก็เป็นไปได้ยาก เพราะระหว่างเกิดเหตุเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย ทั้งพระและเณรที่วัดนี้ต่างได้รับคำสั่งจากเจ้าอาวาสให้เก็บตัวอยู่แต่ในกุฏิ ห้ามออกมายุ่งเกี่ยว ดังนั้น สิ่งที่เผชิญมันเป็นสิ่งที่เหนือการควบคุม ไม่ใช่ว่าวัดรู้เห็นเป็นใจต่อการซ่องสุมกำลัง หรือให้การสนับสนุนใคร เหมือนที่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ และศพคนที่ตายก็ล้วนแล้วแต่ถูกยิงนอกวัด เพียงแต่เจ้าหน้าที่เขานำศพเข้ามาในวัดก่อน เพื่อความปลอดภัยก็เท่านั้น
"เป็นภาวะวุฒิความคิด ขอให้สื่อช่วยเผยแพร่และสร้างความเข้าใจให้คนในสังคมเข้าใจตรงกันด้วยว่า วัดปทุมวนาราม ให้ความอนุเคราะห์ทุกคนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ อนุเคราะห์ทุกคน การที่จะผลักไสไล่ส่งใครก็ตามแต่ให้พ้นออกจากวัดเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะต้องดูหลักมนุษยธรรมเบื้องต้น ทางวัดมีเมตตากับทุกคน วัดเปรียบเสมือนอยู่ในวงล้อม อยู่ในสภาวะจำยอม และก็ให้ที่พักพิงกับทุกคน ไม่ว่าจะเสื้อแดง ตำรวจ ทหาร หรือแม้กระทั่งผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อประมาณ สองปีที่แล้ว ก็ยังเคยมาขอความช่วยเหลือในวัดเลย ทางวัดก็ช่วยอนุเคราะห์สถานที่มาแล้ว" พระมหาสุริยันต์ กล่าวย้ำ ด้วยอารมณ์ที่อยากให้สังคมเห็นใจในความรู้สึกของพระและคนในวัดปทุมวนาราม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่ทันความต่างๆจะหายจางกลุ่มควัน
ขณะที่เจ้าหน้าที่วัดอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นหญิงวัยประมาณ 50 ปี ในฐานะผู้หนึ่งที่พึ่งพาวัดปทุมวนาราม ในการปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลาหลายสิบปี เล่าถึงบรรยากาศระหว่างที่ผู้ชุมนุมเข้ามาอาศัยหลบภัยในวัดว่า ส่วนใหญ่ ก็เป็นเรื่องของการเดินมาเข้าห้องน้ำ ซึ่งวันๆ หนึ่งห้องน้ำของวัดต้องรับมวลชนที่เดินเข้าออกเป็นพันๆ คน ชำรุดไปก็หลายครั้ง ก็ต้องช่วยกันซ่อมแซมอยู่บ่อยๆ
เธอยอมรับอีกว่า รู้สึกหนักใจกับคนจำนวนมากที่เข้ามาอยู่ในวัดแห่งนี้ เพราะต่างคนต่างจิตใจ ต่างความคิด ต่างการกระทำ แต่ในเมื่อวัดเป็นที่พึ่งทั้งทายกายและใจของประชาชน การอยู่ร่วมกันจำนวนมากย่อมเกิดความเสียหาย และทำให้วัดต้องมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ซึ่งวัดต้องรับผิดชอบเองในช่วงสองเดือนมานี้ เป็นมูลค่าหลายแสนบาท โดยใช้เงินของมูลนิธิ เป็นเรื่องที่เธอรู้สึกเห็นใจ แต่อาจจะมีผู้ชุมนุมบางคนที่หยอดตู้รับบริจาคเพื่อร่วมทำบุญบ้าง แต่ทางวัดก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับส่วนตรงนั้น
เจ้าหน้าที่วัดคนเดิม กล่าวต่อว่า บางครั้งเธอและผู้ปฏิบัติธรรมคนอื่นๆ ก็รู้สึกกลัว ที่ถูกผู้ชุมนุมต่อว่า ด่าทอ แสดงอาการไม่พอใจ เมื่อมีการเอ่ยห้ามปรามในเรื่องต่างๆ ทมั้งการห้ามเข้าพื้นที่สงวนสิทธิ์ เนื่องจากเป็นเขตสงบ การขอความร่วมมือในการปฏิบัติตัวให้เหมาะสม เพราะบางที ผู้ชุมนุมที่เป็นผู้หญิงบางคนก็นุ่งแค่กระโจมอก เดินไปเดินมาในเขตวัด หรือแต่งกายไม่สุภาพในชุดวาบหวิว ผู้ชายบางคนก็ถอดเสื้อเดิน หรือการสูบบุหรี่ ซึ่งเจ้าหน้าที่วัดก็ต้องคอยพยายามห้ามปรามหรือตักเตือนในการวางตัวเพื่อเคารพกฎของวัดให้ควรที่จะเป็นเช่นกัน ขนาดรถยนต์ของพระที่จะออกไปทำธุระ หรือปฏิบัติกิจนิมนต์ ก็นำออกไปด้วยความลำบากเนื่องจากถูกกีดขวางเส้นทางเสียหมด ออกไปไหนไม่ได้ แต่ในเมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเริ่มกลับสภาวะปกติแล้ว เธอก็รู้สึกดีใจที่วัดปทุมวนารามจะได้กลับมาเป็นวัดที่เงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง นับแต่ตื่นจาก"ฝันร้าย" ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน
สิ่งที่เหลือทิ้งไว้เป็นของแถมเกลื่อนกลาดทั่วบริเวณวัดปทุมวนารามคงหนีไม่พ้น"ขยะ" นานาชนิดที่คลุกเคล้าไปด้วยสารพัดกลิ่นไม่ค่อยพึงประสงค์ พร้อมๆ กับความหวาดระแวงของคนในวัดที่ผวากับกับวัตถุระเบิด และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมทิ้ง หรือซุกซ่อนเอาไว้ทั้งที่หาเจอและหาไม่เจอ อีกจำนวนมาก แต่สถานการณ์เหล่านั้นก็ค่อยๆ คลี่คลายลงไปเกือบเป็นปกติสมบูรณ์แล้ว จากความร่วมมือร่วมใจกันของทุกฝ่ายทั้งเจ้าที่ทหารตำรวจ ประชาชนที่ช่วยกันเป็นหูตาสอดส่อง กำจัด "ปฏิกูล" จนหมดสิ้นและกลับมาร่มรื่น ดึงบรรยากาศแห่ง"พระธรรม"ให้ผู้คนกลับมา ลิ้มรสอิ่มเอมความสุขทางใจและกายที่แท้จริงอีกครั้ง โดยตัดขาดความวุ่นวายแห่งกิเลสความอยากมี อยากได้ อยากเป็นและกำจัดอารมณ์โกรธแค้น ชิงชัง แห่งความไม่เท่าเทียมในสังคมลง
จากนี้ พระสงฆ์ภายในวัดปทุมวนาราม คงจะเริ่มออกไปบิณฑบาตร ทำกิจนิมนต์ โปรดชาวพุทธได้ตามปกติ หลังเว้นว่างมาระยะหนึ่ง และอาจเป็นเพราะด้วยอานุภาพของ "พระพุทธรูปพระเสริมศักดิ์สิทธิ์" คู่วัดนี่กระมัง ที่ดลบันดาลให้ วัดปทุมวนาราม แคล้วคลาดจากภยันอันตราย ทั้งการสุ่มเสี่ยงต่อการวางเพลิง การสาดกระสุน อาวุธ การยิงระเบิด ที่ตูมตาม ดังสนั่นโดยรอบพื้นที่ด้านนอกมาได้โดยที่ไม่ค่อยมีร่องรอยความเสียหายเท่าไหร่นัก
แม้วันนี้ ผู้ชุมนุมที่เคยปักหลักอยู่เต็มพื้นที่ อาณาบริเวณแยกราชประสงค์ทั้งหมดซึ่งใช้ชีวิตร่วมกันมานานเกือบสองเดือน จะแยกย้ายกลับถิ่นฐานบ้านใครบ้านมันไปเรียบร้อยแล้ว นับแต่วันประกาศยุติการชุมนุมของแกนนำ แต่ภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างเหตุการณ์ตึงเครียด ลุกลามไปถึงขั้น "เลวร้าย" ยังคงทิ้งร่องรอย "การเคยมีอยู่" ทั้งความรู้สึกฮึกเหิม เกลียดชัง หวาดกลัว น่าหดหู่ วุ่นวาย ไม่พอใจ ปลอดภัย อุ่นใจ ฯลฯ จนกระทั่งแปรสภาพเหลือไว้ซึ่ง "สิ่งที่ถูกทิ้งไว้อยู่" ให้เป็นมลทินคำถามที่ "วัดปทุมวนารามฯ" ต้องไล่ตามไปชี้แจง "คำตอบ" เพื่อให้ "สังคม" กระจ่างและเข้าใจถึงเหตุผลในการช่วยเหลือผู้"หนีร้อนมาพึ่งเย็น" ที่มิอาจสามารถเลือกปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ผู้ร่วมโลก ร่วมสังคม ร่วมชาติแห่งนี้ได้เลย...
ชมรายละเอียดทั้งหมด คลิ้กที่นี่