ไม่มีอะไรน่าเสียดายยิ่งไปกว่าโอกาส...ว่ากันว่า...โอกาสนั้นไม่เคยเคาะประตูบ้านได้เกิน 2 ครั้ง...แต่สำหรับผู้ชุมนุมเรียกร้องการยุบสภานั้น มีโอกาสถึง 2 ครั้งที่...เท่าๆกับที่รัฐบาล...ยอมลดเวลาการเป็นรัฐบาล...รัฐบาลลงในครั้งแรก 1 ปี...และครั้งที่สองกำหนดให้มีการเลือกตั้ง 14 พฤศจิกายน 2553 ตรงจุดนี้คือจุดหันเหของเหตุการณ์เมื่อแกนนำ...เริ่มมองต่างกันในสิ่งที่ได้มาจากการเรียกร้องต่อสู้...แกนนำที่มีอายุและประสบการณ์...เห็นว่าสิ่งที่ปรารถนาและนำมาซึ่งการเรียกร้องนั้นได้ยุติลงแล้ว...ส่วนที่ยัง
เหลืออยู่คือการเจรจาในรายละเอียด ซึ่งก็ไม่มีความสลักสำคัญอะไร...เพราะในคำแถลงของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ บัญญัติ 5 ประการนั้น...ล้วนมีแต่เรื่องต้องทำทั้งสิ้นแต่...แกนนำที่มีอาวุโสต่ำและ...มองการเมืองไม่ครบด้านไม่ครบมุม...หวังจะขยายผลต่อไป...เพราะเห็นว่าการขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 10
เมษายน...จนมีคนตายจำนวนหนึ่งนั้น...น่าจะทำให้รัฐบาล...ต้องเสียสถานะและต้องยุบสภาในทันทีตรงจุดนี้...หากพรรคประชาธิปัตย์ยอม...ก็เท่ากับรับข้อหาเข่นฆ่าประชาชน...ทั้งนายกฯอภิสิทธิ์ และรองนายก สุเทพ...ซึ่งเป็นทั้งหัวหน้าและเลขาธิการพรรค...หมดทางเลือกสิ้นทางถอย...ประชาธิปัตย์นำ
พรรคเข้าสู่การเลือกตั้งโดยมีข้อหานี้ปักหลักไม่ได้โบราณสอนไว้...อย่าไล่ สุนัขให้จนตรอก...แต่นี่ไม่ใช่...มันเป็นการไล่เสื้อเป็นฝูงให้จนตรอก...แกนนำที่ผ่านการต่อสู้มายาวนาน...จึงปฏิเสธการเดินต่อ...พร้อมกับเหล่าผู้คนที่เห็นด้วย...แกนนำส่วนที่เหลือจึง...ก้าวเท้าเดินหน้า...เป็นก้าวที่นำประเทศไทย...
ไปสู่ความร้าวฉานอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์เป็นก้าวที่เมื่อมันก้าวล่วงออกไปแล้ว...มันจะไม่มีวันก้าวกลับมาได้ ไม่ว่าจะด้วยปาฏิหาริย์ชนิดใดหนทางที่เลวน้อยที่สุดในขณะนี้...ต้องพยายามทำให้การต่อสู้กลับมาสู่รัฐสภา...มาแพ้มาชนะกันได้พานรัฐธรรมนูญแห่งประชาธิปไตย