ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
บรรยากาศที่ประเทศไทยตกเป็นเป้าสายตาขององค์กรนานาชาติ โดนทั่วโลกจับตาว่ามีการละเมิดสิทธิประชาชนอย่างรุนแรงในทางการเมืองเช่นนี้ไม่บ่อยนัก
*หนก่อน เมื่อครั้ง 6 ตุลาคม 2519 โน่นเลย*
ตอนนั้นสังหารหมู่ที่ธรรมศาสตร์ จับกุมคุมขังหลายพันคน แล้วยังตามล่าจับเงียบๆอีกมาก ตามยึดหนังสือหนังหาทางการเมือง ควบคุมสื่อ แทรกแซงสื่อเป็นกระบอกเสียงให้รัฐ
ผลจากการเป็นเผด็จการโหดเหี้ยมคราวนั้น ยังทำให้ผู้คนต้องหลบหนีเข้าป่า ความขัดแย้งของคนในชาติรุนแรงมากขึ้น
บ้านเมืองสู่ยุคมืด
รัฐบาลใช้อำนาจปราบ จับขัง ลิดรอนเสรีภาพทางความคิด ข้อมูลข่าวสาร
นั่นเองจึงทำให้องค์การสิทธิมนุษยชนระดับโลก ต้องเข้ามาแทรกแซง!
ในปัญหาการเมือง นับจากปี 2519 ก็มาหนนี้แหละในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์
จากกรณีปราบม็อบโหด มีคนเสียชีวิตมากกว่า 6 ตุลาเสียอีก
*ภาพข่าวที่แพร่ไปทั่วโลก ซึ่งไม่มีอำนาจใดมาบิดเบือนได้ ทำให้นานาชาติวิตกกังวลอย่างมาก*
ล่าสุดองค์การนิรโทษกรรมสากล จากกรุงลอนดอน อังกฤษ ออกคำแถลงเรียกร้องให้ไทย เปิดทางให้ผู้ตรวจสอบจากต่างประเทศเข้ามาร่วมพิสูจน์เหตุปะทะกันระหว่างทหารกับผู้ชุมนุม
องค์การนิรโทษกรรมสากล ระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีอาวุธปืนในการเผชิญหน้ากับม็อบ เห็นทหารยิงใส่ผู้ประท้วง!
หลังจลาจล ยังมีการคุมขังผู้ประท้วงไม่ทราบจำนวน โดยไม่มีการตั้งข้อหา
จึงขอให้รัฐบาลเปิดเผยจำนวนผู้ที่ถูกควบคุมตัว มีกระบวนการสอบสวนที่เหมาะสม โดยอาจขอความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการสอบสวนเป็นอิสระและเชื่อถือได้
*อ่านคำแถลงขององค์การนิรโทษกรรมสากลแล้ว ยิ่งเห็นภาพบ้านเมืองไทยในวันนี้ ไม่ต่างจาก 6 ตุลาฯ*
รัฐบาลอภิสิทธิ์อาจจะโต้ว่า ต่างชาติไม่มีข้อมูลผู้ก่อการร้ายร่วมในม็อบ อะไรทำนองนั้น
ถ้ารัฐบาลมั่นใจเรื่องก่อการร้าย ก็น่าจะยอมให้องค์กรโลกเข้ามาร่วมตรวจสอบจริงๆ
แต่เชื่อว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่กล้า
*เอาแค่เรื่องคุมขังอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ โดยไม่มีข้อหา ไม่มีหลักฐาน!?!*
แล้วลิดรอนเสรีภาพทางปัญญาอย่างร้ายแรง ห้ามอ่านหนังสือหนังหา
จนต้องอดอาหารประท้วง
สมควรแล้วที่องค์กรโลกต้องเข้ามาช่วย!
วงค์ ตาวัน
บรรยากาศที่ประเทศไทยตกเป็นเป้าสายตาขององค์กรนานาชาติ โดนทั่วโลกจับตาว่ามีการละเมิดสิทธิประชาชนอย่างรุนแรงในทางการเมืองเช่นนี้ไม่บ่อยนัก
*หนก่อน เมื่อครั้ง 6 ตุลาคม 2519 โน่นเลย*
ตอนนั้นสังหารหมู่ที่ธรรมศาสตร์ จับกุมคุมขังหลายพันคน แล้วยังตามล่าจับเงียบๆอีกมาก ตามยึดหนังสือหนังหาทางการเมือง ควบคุมสื่อ แทรกแซงสื่อเป็นกระบอกเสียงให้รัฐ
ผลจากการเป็นเผด็จการโหดเหี้ยมคราวนั้น ยังทำให้ผู้คนต้องหลบหนีเข้าป่า ความขัดแย้งของคนในชาติรุนแรงมากขึ้น
บ้านเมืองสู่ยุคมืด
รัฐบาลใช้อำนาจปราบ จับขัง ลิดรอนเสรีภาพทางความคิด ข้อมูลข่าวสาร
นั่นเองจึงทำให้องค์การสิทธิมนุษยชนระดับโลก ต้องเข้ามาแทรกแซง!
ในปัญหาการเมือง นับจากปี 2519 ก็มาหนนี้แหละในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์
จากกรณีปราบม็อบโหด มีคนเสียชีวิตมากกว่า 6 ตุลาเสียอีก
*ภาพข่าวที่แพร่ไปทั่วโลก ซึ่งไม่มีอำนาจใดมาบิดเบือนได้ ทำให้นานาชาติวิตกกังวลอย่างมาก*
ล่าสุดองค์การนิรโทษกรรมสากล จากกรุงลอนดอน อังกฤษ ออกคำแถลงเรียกร้องให้ไทย เปิดทางให้ผู้ตรวจสอบจากต่างประเทศเข้ามาร่วมพิสูจน์เหตุปะทะกันระหว่างทหารกับผู้ชุมนุม
องค์การนิรโทษกรรมสากล ระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีอาวุธปืนในการเผชิญหน้ากับม็อบ เห็นทหารยิงใส่ผู้ประท้วง!
หลังจลาจล ยังมีการคุมขังผู้ประท้วงไม่ทราบจำนวน โดยไม่มีการตั้งข้อหา
จึงขอให้รัฐบาลเปิดเผยจำนวนผู้ที่ถูกควบคุมตัว มีกระบวนการสอบสวนที่เหมาะสม โดยอาจขอความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการสอบสวนเป็นอิสระและเชื่อถือได้
*อ่านคำแถลงขององค์การนิรโทษกรรมสากลแล้ว ยิ่งเห็นภาพบ้านเมืองไทยในวันนี้ ไม่ต่างจาก 6 ตุลาฯ*
รัฐบาลอภิสิทธิ์อาจจะโต้ว่า ต่างชาติไม่มีข้อมูลผู้ก่อการร้ายร่วมในม็อบ อะไรทำนองนั้น
ถ้ารัฐบาลมั่นใจเรื่องก่อการร้าย ก็น่าจะยอมให้องค์กรโลกเข้ามาร่วมตรวจสอบจริงๆ
แต่เชื่อว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่กล้า
*เอาแค่เรื่องคุมขังอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ โดยไม่มีข้อหา ไม่มีหลักฐาน!?!*
แล้วลิดรอนเสรีภาพทางปัญญาอย่างร้ายแรง ห้ามอ่านหนังสือหนังหา
จนต้องอดอาหารประท้วง
สมควรแล้วที่องค์กรโลกต้องเข้ามาช่วย!