พรรคการเมืองที่กำลังมี บทบาทอย่างสูง ในประเทศไทยขณะนี้เห็นจะมีอยู่แค่ 7 พรรคเท่านั้น
พรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลคือพรรคประชาธิปัตย์
ส่วน พรรคร่วมรัฐบาล มีอยู่ด้วยกัน 5 พรรค
ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมชาติพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคกิจสังคม
พรรคที่เป็นฝ่ายค้าน โดดเด่นที่สุด มีพรรคเดียวคือ พรรคเพื่อไทย พรรคซึ่งผู้คนเชื่ออย่างสนิทใจว่ามี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้บัญชาการอยู่เบื้องหลัง
ในช่วงที่บ้านเมืองกำลังอยู่ภายใต้สภาวะวิกฤติ มีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มีการเผาตึก จนวอดวายไปเป็นจำนวนมาก ภาพที่ปรากฏออกมาคือผู้ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยและถูกปล่อยเกาะให้ทำงานอยู่ แต่เพียงฝ่ายเดียว คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
พรรคร่วมรัฐบาลทั้งห้าพรรค แม้ ปากจะบอกว่า พร้อมที่จะยืนเคียงข้างนาย อภิสิทธิ์ตลอดไป แต่การแสดงออกของพรรคเหล่านี้ มิได้กระทำ ดังที่ปากได้บอกเอาไว้แต่อย่างใด
ภาพที่ประชาชนเห็นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้คือ พรรคร่วมรัฐบาล ลอยตัวเหนือปัญหา เสมอเหมือนว่ายน้ำในทะเล ที่ชื่อ เดดซี ไม่มีผิด
การลอยตัวของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นความเฉลียวฉลาด ที่หาใครมาเทียบเคียงได้ยากยิ่ง เข้าทำนองถ้าชนะ ขอร่วมด้วย ถ้าแพ้ ตัวใครตัวมัน
มาถึงเวลานี้ ถ้าถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะถอนสมอไม่ลงเรือลำเดียวกันกับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ คำตอบคือ คงไม่ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลมองเห็นอนาคตที่แจ่มใส (แม้ประเทศชาติจะมืดมนหรือไม่ก็ตาม) ได้ทะลุปรุโปร่งอย่างยิ่ง
เห็นชัด ๆ คือ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ที่หมายถึงเงินจำนวนมหาศาล ในการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งเหล่าพรรคร่วมรัฐบาลล้วนมีส่วนร่วมด้วยช่วยกันแทบทั้งสิ้น
โครงการไทยเข้มแข็ง เพื่อฟื้นเศรษฐ กิจของชาติก็ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งหมายถึงเงินอีกจำนวนมาก
ฤดูกาลการย้ายข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก็ใกล้เข้ามาถึงทุกที ข้าราชการนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ การเลือกตั้ง ที่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลก็ตาม
ดังนั้น ไม่ต้องใช้หมอดู ก็พอจะคาดเดาได้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะต้องกอดพรรค ประชาธิปัตย์เอา ไว้แน่นมาก ๆ นับจากนี้ไป
เพราะถ้า นายอภิสิทธิ์ ไปไม่รอดพรรคร่วมรัฐบาลก็เชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์ คงหาตัวบุคคลมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนได้ค่อนข้างแน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่สงสัยว่า พรรคร่วมรัฐบาลควรจะต้องทำตัวอย่างไรในสภาว การณ์ ที่ตึงเครียดเท่าที่ผ่านมา
พรรคเหล่านั้นยึดคติ อยู่เงียบ ๆ เป็นดีที่สุด ไม่เปลืองตัวไม่เสียหายอะไร ปล่อยให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ โล้ไปเพียงสองคน จะดีจะเสียอย่างไร นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็รับไปเต็ม ๆ แล้วกัน
พรรคร่วมรัฐบาลคอยมองดูอยู่ไกล ๆ ได้โอกาสทองเมื่อใด เป็นกระโดดเข้าไปตะครุบรับ แต่ถ้าดูแล้วว่าพลาดพลั้งอย่างไร ก็วิ่งแจ้นหนีถอยออกไป แล้วค่อยไปตั้งตัวใหม่ในเวลาอันควร
จึงไม่แปลกที่ในยามบ้านเมืองวิกฤติหนัก เราไม่เห็นการเคลื่อนไหว ของพรรคร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด ในสภาก็ไม่เคลื่อนไหว นอกสภาก็ไม่เคลื่อนไหว วัน ๆ เอาแต่นั่งตีขิมดูสถานการณ์ด้วยความสุขุม รอบ คอบ และชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น หลักของการเล่นการเมืองของประเทศไทย เราจึงพอจะสรุปได้ว่า หนึ่ง อย่าริอ่านเป็นพรรค แกนนำจัดตั้งรัฐบาล เป็นอันขาด สอง มี ส.ส. ไม่ต้องมาก คอยจ้องเสียบและเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เป็นดีที่สุด และ สาม อย่าทำตัวเด่นและดัง ปิดปากและคอยจ้องหาโอกาสรุก โอกาสถอยให้ดี รับรองว่าเอาตัวไปรอดได้
และนี่คือ คุณค่า ของการเป็น พรรคร่วมรัฐบาล และเป็นพรรคขนาดกลางขนาดเล็ก นั่นคือมีแต่ได้ ไม่มีเสีย
สำหรับพรรคใหญ่นั้น เกิดอะไรขึ้นต้องรับหน้าไปเต็ม ๆ พอเกิดปัญหามัก จะถูกปล่อยให้เป็นพระเอกเรื่อง โฮมอโลน ซึ่งน่าสงสารเป็นที่สุด
ดังนั้น วลี มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ไม่มีทางจะใช้ได้สำหรับ การเมืองในบ้านเรา.
อนุภพ
พรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลคือพรรคประชาธิปัตย์
ส่วน พรรคร่วมรัฐบาล มีอยู่ด้วยกัน 5 พรรค
ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมชาติพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคกิจสังคม
พรรคที่เป็นฝ่ายค้าน โดดเด่นที่สุด มีพรรคเดียวคือ พรรคเพื่อไทย พรรคซึ่งผู้คนเชื่ออย่างสนิทใจว่ามี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้บัญชาการอยู่เบื้องหลัง
ในช่วงที่บ้านเมืองกำลังอยู่ภายใต้สภาวะวิกฤติ มีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มีการเผาตึก จนวอดวายไปเป็นจำนวนมาก ภาพที่ปรากฏออกมาคือผู้ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยและถูกปล่อยเกาะให้ทำงานอยู่ แต่เพียงฝ่ายเดียว คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
พรรคร่วมรัฐบาลทั้งห้าพรรค แม้ ปากจะบอกว่า พร้อมที่จะยืนเคียงข้างนาย อภิสิทธิ์ตลอดไป แต่การแสดงออกของพรรคเหล่านี้ มิได้กระทำ ดังที่ปากได้บอกเอาไว้แต่อย่างใด
ภาพที่ประชาชนเห็นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้คือ พรรคร่วมรัฐบาล ลอยตัวเหนือปัญหา เสมอเหมือนว่ายน้ำในทะเล ที่ชื่อ เดดซี ไม่มีผิด
การลอยตัวของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นความเฉลียวฉลาด ที่หาใครมาเทียบเคียงได้ยากยิ่ง เข้าทำนองถ้าชนะ ขอร่วมด้วย ถ้าแพ้ ตัวใครตัวมัน
มาถึงเวลานี้ ถ้าถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะถอนสมอไม่ลงเรือลำเดียวกันกับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ คำตอบคือ คงไม่ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลมองเห็นอนาคตที่แจ่มใส (แม้ประเทศชาติจะมืดมนหรือไม่ก็ตาม) ได้ทะลุปรุโปร่งอย่างยิ่ง
เห็นชัด ๆ คือ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ที่หมายถึงเงินจำนวนมหาศาล ในการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งเหล่าพรรคร่วมรัฐบาลล้วนมีส่วนร่วมด้วยช่วยกันแทบทั้งสิ้น
โครงการไทยเข้มแข็ง เพื่อฟื้นเศรษฐ กิจของชาติก็ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งหมายถึงเงินอีกจำนวนมาก
ฤดูกาลการย้ายข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก็ใกล้เข้ามาถึงทุกที ข้าราชการนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ การเลือกตั้ง ที่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลก็ตาม
ดังนั้น ไม่ต้องใช้หมอดู ก็พอจะคาดเดาได้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะต้องกอดพรรค ประชาธิปัตย์เอา ไว้แน่นมาก ๆ นับจากนี้ไป
เพราะถ้า นายอภิสิทธิ์ ไปไม่รอดพรรคร่วมรัฐบาลก็เชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์ คงหาตัวบุคคลมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนได้ค่อนข้างแน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่สงสัยว่า พรรคร่วมรัฐบาลควรจะต้องทำตัวอย่างไรในสภาว การณ์ ที่ตึงเครียดเท่าที่ผ่านมา
พรรคเหล่านั้นยึดคติ อยู่เงียบ ๆ เป็นดีที่สุด ไม่เปลืองตัวไม่เสียหายอะไร ปล่อยให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ โล้ไปเพียงสองคน จะดีจะเสียอย่างไร นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็รับไปเต็ม ๆ แล้วกัน
พรรคร่วมรัฐบาลคอยมองดูอยู่ไกล ๆ ได้โอกาสทองเมื่อใด เป็นกระโดดเข้าไปตะครุบรับ แต่ถ้าดูแล้วว่าพลาดพลั้งอย่างไร ก็วิ่งแจ้นหนีถอยออกไป แล้วค่อยไปตั้งตัวใหม่ในเวลาอันควร
จึงไม่แปลกที่ในยามบ้านเมืองวิกฤติหนัก เราไม่เห็นการเคลื่อนไหว ของพรรคร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด ในสภาก็ไม่เคลื่อนไหว นอกสภาก็ไม่เคลื่อนไหว วัน ๆ เอาแต่นั่งตีขิมดูสถานการณ์ด้วยความสุขุม รอบ คอบ และชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น หลักของการเล่นการเมืองของประเทศไทย เราจึงพอจะสรุปได้ว่า หนึ่ง อย่าริอ่านเป็นพรรค แกนนำจัดตั้งรัฐบาล เป็นอันขาด สอง มี ส.ส. ไม่ต้องมาก คอยจ้องเสียบและเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เป็นดีที่สุด และ สาม อย่าทำตัวเด่นและดัง ปิดปากและคอยจ้องหาโอกาสรุก โอกาสถอยให้ดี รับรองว่าเอาตัวไปรอดได้
และนี่คือ คุณค่า ของการเป็น พรรคร่วมรัฐบาล และเป็นพรรคขนาดกลางขนาดเล็ก นั่นคือมีแต่ได้ ไม่มีเสีย
สำหรับพรรคใหญ่นั้น เกิดอะไรขึ้นต้องรับหน้าไปเต็ม ๆ พอเกิดปัญหามัก จะถูกปล่อยให้เป็นพระเอกเรื่อง โฮมอโลน ซึ่งน่าสงสารเป็นที่สุด
ดังนั้น วลี มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ไม่มีทางจะใช้ได้สำหรับ การเมืองในบ้านเรา.
อนุภพ