บรรยากาศประเทศไทยหลังสลายม็อบ 19 พฤษภาคม เน้นไปที่การเยียวยาผู้เสียหายจากเหตุการณ์
ฟื้นฟูสภาพของกรุงเทพฯ และจังหวัดที่ถูกเผาศาลากลางและสถานที่ราชการ
ดำเนินคดีกับแกนนำเสื้อแดงหลายระดับ
เป็นการเยียวยาและฟื้นฟูในเรื่องของทรัพย์สิน อาคารสถานที่ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณมหาศาล ทั้งภาครัฐและเอกชน
และใช้เวลาอีกนับเดือนนับปี กว่าจะกลับเข้าสู่ปกติ
แต่ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงกันมากนัก ก็คือการเยียวยาและฟื้นฟูในทางการเมือง
การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิป ไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือนปช.ที่ยุติลงด้วยการสลายม็อบและเผาเมืองเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ส่งผลเสียหายทางใจยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าความเสียหายทางทรัพย์สิน
ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจระหว่างพี่น้องร่วมชาติถูกลดทอนลงไป ความคิดเห็นที่แตกต่างขยายกลายเป็นความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์
เพิ่มความรู้สึกเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างคนต่างฐานะ และระหว่างคนเมืองกับชนบท
ทั้งหมดเป็นโจทย์ที่ยากยิ่งสำหรับรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แม้นายกฯ อภิสิทธิ์ได้ประกาศว่า จะเดินหน้าแผนปรองดอง เพื่อแก้ไขความขัดแย้งแตกแยก
เตรียมตั้งคณะกรรมการ คณะทำงานกันหลายชุดอย่างใหญ่โต
แต่ก็ยังไม่มีใครมั่นใจว่ารัฐบาลจะแก้โจทย์นี้ได้สำเร็จ
เพราะโจทย์การเมืองระดับนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการพูดการอภิปราย
แต่จะต้องแก้ด้วยการลงมืออย่างจริง จัง ลดละอคติ ผลประโยชน์ทางการเมือง
และมีจิตใจที่เปิดกว้างอย่างแท้จริง
**********
สิ่งหนึ่งที่จะนำไปสู่การปรองดอง ลดรอยร้าวของคนในชาติได้ ก็คือการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการชุมนุมของนปช.
ประเด็นปริศนาทั้งหลาย จะต้องตีแผ่ออกมาอย่างเสมอภาคและตรงไปตรงมา
หากพบว่ามีการกระทำผิด มีการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายตามแนวของ "นิติรัฐ" ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศแนว ทางไว้
ใครคือ "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" ที่ยิงเอ็ม 79 สังหารเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยซุ่มยิงที่สังหารผู้ชุม นุมนปช., มือมืดที่สังหารชาวสีลม, มือสังหารที่ยิงทหารกองพล 9 ที่ดอนเมือง
หน่วยซุ่มยิงที่สังหาร พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล, กองกำลังที่ยิงเอ็ม 79 และขว้าง ระเบิดใส่ทหารเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม และใครคือผู้สังหารนปช. 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม
รวมถึงมือเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โรงภาพยนตร์สยาม ห้างเซ็นเตอร์วัน และสถานที่อื่นๆ ฯลฯ
จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย และจะเป็น ผลเสียต่อรัฐบาลด้วยซ้ำ หากรัฐบาลตั้งกรรม การสอบสวน แต่ผลออกมาไม่มีความน่า เชื่อถือ
เพราะไม่ได้กระทำอย่างตรงไปตรงมาหรืออาจใช้วิธีการ 2 มาตรฐาน
เหมือนกับที่รัฐบาลใช้ข้อหาก่อการร้ายเล่น งานผู้ชุมนุมนปช. เร่งรัดคดีให้คืบหน้าได้อย่างรวดเร็ว
แต่กลับเตะถ่วงคดียึดสนามบินสุวรรณ ภูมิอย่างน่าเกลียด
ปัญหาคือ รัฐบาลมีความพร้อมที่จะให้มีการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างอิสระและตรงไปตรงมาหรือไม่
เพราะเพียงแค่สื่อนำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็ยังโดนข่มขู่คุกคามเสียแล้ว
หรือว่ารัฐบาลต้องการใช้กรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง มาฟอกตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องเท่านั้นเอง
เพื่อจะได้ลากยาว อยู่ในอำนาจต่อไป
******
ในแวดวงพรรครัฐบาล ทราบกันทั่วไปแล้วว่า พรรคแกนนำจะ "ลากยาว" ต่อไป
เฉพาะหน้าจะต้องผลักดันร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2554 ให้ ผ่านไปให้ได้ และขณะนี้ผ่านวาระ 1 ขั้นรับหลักการไปแล้ว อีกเรื่องคือการโยกย้ายข้าราชการ
แต่ประเมินได้ว่า เส้นทางของการลากยาวจะไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะหากรัฐบาลยังไม่วางตัวเป็น "คนกลาง" ในความขัดแย้ง แต่ลงไปเป็นคู่ขัดแย้ง เสียเอง
การเยียวยา การฟื้นฟูที่ดำเนินการขณะนี้ ยังมีเสียงวิจารณ์ว่า มีการเลือกปฏิบัติ เลือกเยียวยา
วิกฤตทางการเมืองของประเทศไทยขณะนี้ เกิดจากความผิดพลาดหลายประการ
เริ่มจากการบริหารแบบเหลิงอำนาจในยุครัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร, การรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549, การแทรกแซงการเมืองโดยกลุ่ม ผู้มีบารมีและกองทัพ ฯลฯ
กลายเป็นความไม่เป็นธรรมที่ผลักไสผู้คนให้หันไปเข้าร่วมกับนปช.จนเติบใหญ่แข็งกล้า
ความผิดพลาดล่าสุดคือ การใช้ทหารเข้าสลายการชุมนุม จนเกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
และรัฐบาลซึ่งเป็นผู้สั่งการพยายามอยู่ในอำนาจต่อไป แทนที่จะพิจารณาตนเอง เพื่อเปิดทางให้มีการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านปลายเดือนนี้ น่าจะทำให้รัฐบาลได้มองเห็นข้อ เท็จจริงมากขึ้น และได้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์
หรืออาจจะกลายเป็นสงครามน้ำลายในสภาอีกครั้ง
ที่แน่นอนก็คือ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ได้กลายเป็นวิกฤตที่จะ "ซึมลึก" ไปเรื่อยๆ
จะเกิดการปะทุแตกหักเมื่อไหร่ หรือระเบิดออกมาอีกครั้งหรือไม่
สวิตช์และชนวนล้วนแต่อยู่ในมือรัฐบาลนั่นเอง
ฟื้นฟูสภาพของกรุงเทพฯ และจังหวัดที่ถูกเผาศาลากลางและสถานที่ราชการ
ดำเนินคดีกับแกนนำเสื้อแดงหลายระดับ
เป็นการเยียวยาและฟื้นฟูในเรื่องของทรัพย์สิน อาคารสถานที่ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณมหาศาล ทั้งภาครัฐและเอกชน
และใช้เวลาอีกนับเดือนนับปี กว่าจะกลับเข้าสู่ปกติ
แต่ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงกันมากนัก ก็คือการเยียวยาและฟื้นฟูในทางการเมือง
การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิป ไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือนปช.ที่ยุติลงด้วยการสลายม็อบและเผาเมืองเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ส่งผลเสียหายทางใจยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าความเสียหายทางทรัพย์สิน
ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจระหว่างพี่น้องร่วมชาติถูกลดทอนลงไป ความคิดเห็นที่แตกต่างขยายกลายเป็นความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์
เพิ่มความรู้สึกเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างคนต่างฐานะ และระหว่างคนเมืองกับชนบท
ทั้งหมดเป็นโจทย์ที่ยากยิ่งสำหรับรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แม้นายกฯ อภิสิทธิ์ได้ประกาศว่า จะเดินหน้าแผนปรองดอง เพื่อแก้ไขความขัดแย้งแตกแยก
เตรียมตั้งคณะกรรมการ คณะทำงานกันหลายชุดอย่างใหญ่โต
แต่ก็ยังไม่มีใครมั่นใจว่ารัฐบาลจะแก้โจทย์นี้ได้สำเร็จ
เพราะโจทย์การเมืองระดับนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการพูดการอภิปราย
แต่จะต้องแก้ด้วยการลงมืออย่างจริง จัง ลดละอคติ ผลประโยชน์ทางการเมือง
และมีจิตใจที่เปิดกว้างอย่างแท้จริง
**********
สิ่งหนึ่งที่จะนำไปสู่การปรองดอง ลดรอยร้าวของคนในชาติได้ ก็คือการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการชุมนุมของนปช.
ประเด็นปริศนาทั้งหลาย จะต้องตีแผ่ออกมาอย่างเสมอภาคและตรงไปตรงมา
หากพบว่ามีการกระทำผิด มีการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายตามแนวของ "นิติรัฐ" ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศแนว ทางไว้
ใครคือ "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" ที่ยิงเอ็ม 79 สังหารเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยซุ่มยิงที่สังหารผู้ชุม นุมนปช., มือมืดที่สังหารชาวสีลม, มือสังหารที่ยิงทหารกองพล 9 ที่ดอนเมือง
หน่วยซุ่มยิงที่สังหาร พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล, กองกำลังที่ยิงเอ็ม 79 และขว้าง ระเบิดใส่ทหารเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม และใครคือผู้สังหารนปช. 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม
รวมถึงมือเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โรงภาพยนตร์สยาม ห้างเซ็นเตอร์วัน และสถานที่อื่นๆ ฯลฯ
จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย และจะเป็น ผลเสียต่อรัฐบาลด้วยซ้ำ หากรัฐบาลตั้งกรรม การสอบสวน แต่ผลออกมาไม่มีความน่า เชื่อถือ
เพราะไม่ได้กระทำอย่างตรงไปตรงมาหรืออาจใช้วิธีการ 2 มาตรฐาน
เหมือนกับที่รัฐบาลใช้ข้อหาก่อการร้ายเล่น งานผู้ชุมนุมนปช. เร่งรัดคดีให้คืบหน้าได้อย่างรวดเร็ว
แต่กลับเตะถ่วงคดียึดสนามบินสุวรรณ ภูมิอย่างน่าเกลียด
ปัญหาคือ รัฐบาลมีความพร้อมที่จะให้มีการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างอิสระและตรงไปตรงมาหรือไม่
เพราะเพียงแค่สื่อนำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็ยังโดนข่มขู่คุกคามเสียแล้ว
หรือว่ารัฐบาลต้องการใช้กรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง มาฟอกตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องเท่านั้นเอง
เพื่อจะได้ลากยาว อยู่ในอำนาจต่อไป
******
ในแวดวงพรรครัฐบาล ทราบกันทั่วไปแล้วว่า พรรคแกนนำจะ "ลากยาว" ต่อไป
เฉพาะหน้าจะต้องผลักดันร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2554 ให้ ผ่านไปให้ได้ และขณะนี้ผ่านวาระ 1 ขั้นรับหลักการไปแล้ว อีกเรื่องคือการโยกย้ายข้าราชการ
แต่ประเมินได้ว่า เส้นทางของการลากยาวจะไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะหากรัฐบาลยังไม่วางตัวเป็น "คนกลาง" ในความขัดแย้ง แต่ลงไปเป็นคู่ขัดแย้ง เสียเอง
การเยียวยา การฟื้นฟูที่ดำเนินการขณะนี้ ยังมีเสียงวิจารณ์ว่า มีการเลือกปฏิบัติ เลือกเยียวยา
วิกฤตทางการเมืองของประเทศไทยขณะนี้ เกิดจากความผิดพลาดหลายประการ
เริ่มจากการบริหารแบบเหลิงอำนาจในยุครัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร, การรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549, การแทรกแซงการเมืองโดยกลุ่ม ผู้มีบารมีและกองทัพ ฯลฯ
กลายเป็นความไม่เป็นธรรมที่ผลักไสผู้คนให้หันไปเข้าร่วมกับนปช.จนเติบใหญ่แข็งกล้า
ความผิดพลาดล่าสุดคือ การใช้ทหารเข้าสลายการชุมนุม จนเกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
และรัฐบาลซึ่งเป็นผู้สั่งการพยายามอยู่ในอำนาจต่อไป แทนที่จะพิจารณาตนเอง เพื่อเปิดทางให้มีการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านปลายเดือนนี้ น่าจะทำให้รัฐบาลได้มองเห็นข้อ เท็จจริงมากขึ้น และได้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์
หรืออาจจะกลายเป็นสงครามน้ำลายในสภาอีกครั้ง
ที่แน่นอนก็คือ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ได้กลายเป็นวิกฤตที่จะ "ซึมลึก" ไปเรื่อยๆ
จะเกิดการปะทุแตกหักเมื่อไหร่ หรือระเบิดออกมาอีกครั้งหรือไม่
สวิตช์และชนวนล้วนแต่อยู่ในมือรัฐบาลนั่นเอง