นาทีตาย โดนส่อง หัว-ท้อง
ร่วมอาลัย - ญาติและเพื่อนๆ ร่วมพิธีเผาศพนายพรสวรรค์ นาคะไชย อายุ 23 ปี ที่วัดป่าอัมไพรวัล จ.ร้อยเอ็ด ผู้ชุมนุมที่ถูกยิงตายระหว่างการสลายม็อบบริเวณบ่อนไก่ กทม. มีผู้ว่าฯ ส.ส. และกลุ่มนปช.ไปร่วมงานจำนวนมาก
สลดอีก 4 ชีวิตเหยื่อกระชับพื้นที่ รายแรกเป็นหนุ่มหนองคายทำงานเป็นหัวหน้ารปภ. ช่วงออกพื้นที่ตรวจลูกน้องถูกลูกหลงตายคาแยกมักกะสัน หนุ่มเมืองสองแควที่เข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณราชประสงค์ถูกยิง สำหรับพนักงานโรงแรมย่านสุขุมวิทถูกยิงเจาะท้องถูกตับฉีกขาดบริเวณบ่อนไก่ ส่วนหนุ่มเมืองช้างอาชีพขับแท็กซี่ถูกยิงเจาะหัวที่แยกศาลาแดง เป็นวันเดียวกับที่เสธ.แดงถูกยิง ญาติรับศพกลับบ้านเกิดระหว่างรดน้ำศพ เสื้อแดงเมืองช้างยกย่อง "วีรชนสุรินทร์" สละชีวิตเพื่อประชาธิปไตย
เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 133 ม.10 บ้านร่องายง ต.บ้านพร้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นบ้านของนายสุพจน์ ยะธิมา อายุ 37 ปี หนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมชุม นุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่บริเวณราชประสงค์ และถูกยิงเสียชีวิต ต่อมาได้มีพิธีเผาศพที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ภายในบ้านพบนางหลั่น สุขคำภา อายุ 77 ปี ซึ่งเป็นแม่ยายเฝ้าบ้านเพียงลำพัง
นางหลั่นกล่าวว่า นายสุพจน์เป็นลูกเขย แต่เดิมเป็นคนจ.ลำพูนได้มาแต่งงานอยู่กินกับนางสุมิตรา ยะธิมา อายุ 33 ปี ลูกสาวมานาน โดยมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านของตนหลังนี้ตั้งแต่แรก ปกติเวลาอยู่บ้านคนตายจะมีอาชีพทำไร่ทำนาและรับจ้างทั่วไป ก่อนหน้าที่ลูกเขยจะเสียชีวิตได้พาลูกชายตนไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านเกิดจ.ลำพูน และกลับมาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.
"ต่อมาวันที่ 30 เม.ย. ลูกเขยได้เดินทางไปหาน้าสาวที่กรุงเทพฯ โดยดิฉันไม่ทราบว่าไปทำ งานอะไรแต่มีญาติโทร.คุยกันทราบว่าไปเป็นยามเพิ่งไปอยู่ได้ประมาณ 1 ปีเท่านั้น กระทั่งมาเสียชีวิต ส่วนตัวไม่รู้มาก่อนว่าลูกเขยได้เข้าไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง โดยทางบ้านไม่มีใครทราบเลย
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบนาง สุมิตรา ยะธิมา อายุ 33 ปี ภรรยานายสุพจน์ ซึ่งทำงานอยู่ในร้านขายส่งขนมกิจทวี ภายในตลาด สดนครไทย ที่ยังสวมเสื้อสีดำไว้ทุกข์ให้กับสามี กล่าวว่า ตนทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่ร้านนี้มานานแล้ว ก่อนที่จะแต่งงานกับนายสุพจน์ หลังแต่งงาน อยู่กินด้วยกันจนมีลูกชาย 1 คนชื่อ ด.ช.ภูวดล ยะธิมา เรียนอยู่ชั้น ป.3 โรงเรียนบ้านป่าซ่าน ต.บ้านพร้าว ส่วนสามีเดินทางไปๆ มาๆ กรุง เทพฯได้ประมาณ 1 ปี ครั้งล่าสุดมาทำงานเป็นยาม และได้ส่งเงินมาให้ทางบ้านทุกเดือน เพราะเงินที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว และนำไปใช้หนี้ที่กู้ธ.ก.ส.มา 100,000 บาท นางสุมิตรากล่าวต่อว่า ตนไม่เคยทราบมาก่อนว่าสามีไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง กระทั่งมาทราบข่าวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาบอกที่บ้านในช่วงเช้าของวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมาว่าสามีถูกยิง หลังรับทราบ ช่วงเย็นจึงรีบเดินทางเข้ากรุงเทพฯพร้อมกับญาติทันที ส่วนศพสามีถูกยิงเข้าที่ศีรษะ หลังจากจัดพิธีเผาเสร็จ เบื้องต้นได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวังจำนวน 50,000 บาท ได้แบ่งเงิน 2 ส่วน ให้พ่อแม่สามี และตนกับลูก โดยแบ่งกันฝ่ายละ 25,000 บาท
เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 133 ม.10 บ้านร่องายง ต.บ้านพร้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นบ้านของนายสุพจน์ ยะธิมา อายุ 37 ปี หนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมชุม นุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่บริเวณราชประสงค์ และถูกยิงเสียชีวิต ต่อมาได้มีพิธีเผาศพที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ภายในบ้านพบนางหลั่น สุขคำภา อายุ 77 ปี ซึ่งเป็นแม่ยายเฝ้าบ้านเพียงลำพัง
นางหลั่นกล่าวว่า นายสุพจน์เป็นลูกเขย แต่เดิมเป็นคนจ.ลำพูนได้มาแต่งงานอยู่กินกับนางสุมิตรา ยะธิมา อายุ 33 ปี ลูกสาวมานาน โดยมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านของตนหลังนี้ตั้งแต่แรก ปกติเวลาอยู่บ้านคนตายจะมีอาชีพทำไร่ทำนาและรับจ้างทั่วไป ก่อนหน้าที่ลูกเขยจะเสียชีวิตได้พาลูกชายตนไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านเกิดจ.ลำพูน และกลับมาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.
"ต่อมาวันที่ 30 เม.ย. ลูกเขยได้เดินทางไปหาน้าสาวที่กรุงเทพฯ โดยดิฉันไม่ทราบว่าไปทำ งานอะไรแต่มีญาติโทร.คุยกันทราบว่าไปเป็นยามเพิ่งไปอยู่ได้ประมาณ 1 ปีเท่านั้น กระทั่งมาเสียชีวิต ส่วนตัวไม่รู้มาก่อนว่าลูกเขยได้เข้าไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง โดยทางบ้านไม่มีใครทราบเลย
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบนาง สุมิตรา ยะธิมา อายุ 33 ปี ภรรยานายสุพจน์ ซึ่งทำงานอยู่ในร้านขายส่งขนมกิจทวี ภายในตลาด สดนครไทย ที่ยังสวมเสื้อสีดำไว้ทุกข์ให้กับสามี กล่าวว่า ตนทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่ร้านนี้มานานแล้ว ก่อนที่จะแต่งงานกับนายสุพจน์ หลังแต่งงาน อยู่กินด้วยกันจนมีลูกชาย 1 คนชื่อ ด.ช.ภูวดล ยะธิมา เรียนอยู่ชั้น ป.3 โรงเรียนบ้านป่าซ่าน ต.บ้านพร้าว ส่วนสามีเดินทางไปๆ มาๆ กรุง เทพฯได้ประมาณ 1 ปี ครั้งล่าสุดมาทำงานเป็นยาม และได้ส่งเงินมาให้ทางบ้านทุกเดือน เพราะเงินที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว และนำไปใช้หนี้ที่กู้ธ.ก.ส.มา 100,000 บาท นางสุมิตรากล่าวต่อว่า ตนไม่เคยทราบมาก่อนว่าสามีไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง กระทั่งมาทราบข่าวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาบอกที่บ้านในช่วงเช้าของวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมาว่าสามีถูกยิง หลังรับทราบ ช่วงเย็นจึงรีบเดินทางเข้ากรุงเทพฯพร้อมกับญาติทันที ส่วนศพสามีถูกยิงเข้าที่ศีรษะ หลังจากจัดพิธีเผาเสร็จ เบื้องต้นได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวังจำนวน 50,000 บาท ได้แบ่งเงิน 2 ส่วน ให้พ่อแม่สามี และตนกับลูก โดยแบ่งกันฝ่ายละ 25,000 บาท
เหยื่อปืน- นางพลอน ขบวนงาม และนางสุดารัตน์ จันทพันธ์ แม่และเมียนายชาติชาย ชาเหลา อายุ 25 ปี หนึ่งในผู้ชุมนุมนปช.ที่ถูกยิงตายบริเวณแยกศาลาแดง กรุงเทพฯ นั่งเศร้าหน้าศพที่นำกลับไปบำเพ็ญกุศลที่จ.สุรินทร์
"ส่วนจากนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาให้การดูแลและช่วยเหลืออีกเลย ซึ่งที่ผ่านมาได้ยื่นหลักฐานให้กับทางเจ้าหน้าที่บ้านราชวิถีเอาไว้เท่านั้น ก่อนเดินทางกลับบ้านเมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา วันนี้ได้มาทำงานที่ร้านขายส่งขนมที่เคยอยู่มานานนับ 10 ปี ได้ค่าจ้างวันละ 150 บาท ตอนนี้รอว่าจะมีหน่วยงานใดมาให้การช่วยอีกหรือไม่" ภรรเหยื่อปืน กล่าว
วันเดียวกัน นางสำลอง รูปคม อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63 หมู่ 5 บ้านนางาม ต.ศรีสำราญ อ.พรเจริญ จ.หนองคาย มีศักดิ์เป็นพี่ภรรยาของนายมนูญ ท่าลาด อายุ 44 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างมีการชุมนุมของคนเสื้อแดง กล่าวว่า นายมนูญบ้านเดิมอยู่ที่อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ได้เดินทางไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ และได้พบกับนางผ่องใสน้องสาวตนซึ่งไปทำงานโรงงานเย็บผ้าที่กรุงเทพฯ ต่อมาได้แต่งงานอยู่กินจนมีลูกด้วยกัน 2 คน คนโตเป็นชายอายุ 21 ปี ส่วนคนเล็กเป็นหญิงกำลังเรียนชั้นม.1 อยู่ที่อ.พรเจริญ ทั้งสองได้ฝากลูกไว้ให้ตนเลี้ยงดู ส่วนทั้งสองคนทำงานที่กรุงเทพฯ สำหรับนายมนูญเป็นหัวหน้ารปภ.ที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ส่วนน้องสาวทำงาน อยู่โรงงานเย็บผ้า พอช่วงเทศกาลสำคัญจะพากันกลับมาเยี่ยมลูก
นางสำลองกล่าวต่อว่า ได้เคยสอบถามน้องสาวเคยไปชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่ น้องสาวบอกว่าไม่เคยไป ส่วนนายมนูญไปหรือไม่นั้นไม่ทราบ เพราะทำงานกันคนละเวลา คนหนึ่งทำงานเช้าอีกคนทำงานกลางคืน จึงไม่ค่อยได้เจอกันต่างคนต่างทำงาน วันเกิดเหตุเป็นช่วงที่นายมนูญไปทำงานตามปกติ ได้ออกตรวจพื้นที่ดูลูกน้องบริเวณแยกมักกะสัน พอถูกยิงคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ร้องตะโกนว่าตำรวจถูกยิง เพราะนึกว่านายมนูญซึ่งแต่งเครื่องแบบรปภ.เป็นตำรวจ อีกทั้งเป็นวันเดียวกับที่เสธ.แดงถูกยิงด้วย
นางสำลองกล่าวอีกว่า ล่าสุดเมื่อเช้าตรู่วันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา นางผ่องใสได้โทรศัพท์มาบอกตนว่านายมนูญถูกยิงเสียชีวิต หลังรู้ข่าวแทบช็อก จึงได้พาญาติอีกจำนวนหนึ่งเดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่าศพนายมนูญถูกยิงเข้าที่ขมับซ้าย 1 นัด ขณะที่ยังสวมเครื่องแบบรปภ. จากนั้นเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ได้นำศพไปฌาปนกิจที่วัดจอมทอง เขตบางขุนเทียน ท่าม กลางความเสียใจของญาติพี่น้อง
"ในวันงานได้มีนายไตรรงค์ ติธรรม และนายยุทธพงศ์ แสงศรี ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย นำเงินมาช่วยเหลือจำนวนหนึ่ง ทางบริษัทที่นายมนูญทำงานได้มอบเงินมาช่วยอีก 20,000 บาท โรงงานเย็บผ้าของนางผ่องใสช่วยอีก 10,000 บาท นอกจากนี้ยังได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวัง และจากตัวแทนของพ.ต.ท.ทักษิณ อีกจำนวนหนึ่ง ขณะนี้ภรรยาผู้ตายอยู่ระหว่างเดินเรื่องขอรับเงินจากรัฐบาล และสำนักงานประกันสังคม โดยประมาณเดือนมิ.ย.จะนำกระ ดูกของนายมนูญมาทำบุญและเก็บไว้วัดที่บ้านนางามแห่งนี้ ส่วนน้องสาวหลังเสร็จงานจะกลับมาทำนาเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านเช่นเดิม"
วันเดียวกัน เวลา 13.30 น. ที่วัดป่าเจ้าคุณเพลินธรรมราม บ้านเจ้าคุณ หมู่ 3 ต.โชคนาสาม อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ได้มีชาวบ้านและกลุ่มนปช.คนเสื้อแดง ประจำท้องถิ่น 500 คน เดินทางมาร่วมรับศพนายชาติชาย หรือยศ ชาเหลา อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36 บ้านเจ้าคุณ ซึ่งเคลื่อนย้ายศพจากกรุงเทพฯกลับมาภูมิลำเนาบ้านเกิด เพื่อประกอบพิธีฌาปนกิจในวันจันทร์ที่ 31 พ.ค.นี้ โดยนายชาติชายเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงครามเสียชีวิต บริเวณศาลาแดง เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในพิธีได้มีนางพลอน ขบวนงาม อายุ 52 ปี มารดา และนางสุดารัตน์ จันทพันธ์ ภรรยาให้การต้อนรับแขกที่เดินทางมาร่วมงาน ก่อนจะนำศพนายชาติชาย ชาเหลา ขึ้นศาลาการเปรียญ พร้อมประกอบพิธีรดน้ำศพ โดยศพของนายชาติชายอยู่ในสภาพสวมเสื้อยืดนปช.สีแดง นุ่งกางเกงยีนสีน้ำเงิน มีผ้าพันรอบศีรษะ และพันที่ขาซ้าย ห่มด้วยผ้าแพรสีแดง โดยใช้ธงชาติคลุมร่าง สร้างความโศกเศร้าของหมู่ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ นอกจากนี้ทุกคนได้ส่งเสียงตะโกนว่า "วีรชนสุรินทร์ สละชีวิตเพื่อประชาธิปไตย"
นางพลอนกล่าวว่า ได้แต่งงานใช้ชีวิตคู่กับนายชัยยา ชาเหลา มีลูกด้วยกัน 3 คน นายชาติชายคนตายเป็นลูกคนโต ในระหว่างที่ลูกอายุได้ 2 เดือน สามีได้มาหย่าร้างแยกทางกัน โดยนายชาติชายเป็นลูกที่เลี้ยงง่าย อุปนิสัยโอบอ้อมอารี ชอบทำกับข้าวให้แม่และน้องทานบ่อยๆ ความฝันของลูกยศ คืออยากมีบ้าน และรถยนต์
ต่อมาลูกชายได้ทำงานรับจ้างขับรถแท็กซี่ที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2549 และได้แต่งงานอยู่กินกับนางสุดารัตน์ จันทพันธ์ อายุ 24 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ โดยฝ่ายภรรยาสาวทำ งานรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าที่กรุงเทพฯ
ด้านนางสุดารัตน์ กล่าวว่า หลังใช้ชีวิตคู่สมรส สามีได้เช่าซื้อรถแท็กซี่มา 1 คัน ราคา 900,000 บาท เมื่อช่วงปี 2551 สามีได้เข้าร่วมอุดมการณ์กับกลุ่มนปช.คนเสื้อแดง ร่วมชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าฯ และที่ราชประสงค์ นอกจากนี้ ตนยามว่างเว้นจะไปร่วมชุมนุมกับสามีเป็นครั้งเป็นคราว และเมื่อรัฐบาลประกาศขอคืนพื้นที่ จึงได้เตือนสามีให้ระวังตัว กระทั่งวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังจากเสธ.แดงถูกยิงที่ศาลาแดง แต่เวลาคนละช่วงในเวลา 21.00 น.สามีถูกยิงด้วยอาวุธปืนความเร็วสูงเจาะที่ขมับขวา 1 นัด และถูกยิงซ้ำเข้าที่ขาซ้าย 2 นัด สิ้นใจตายในที่เกิดเหตุ
"สำหรับการช่วยเหลือครอบครัวได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเงินช่วยเหลือจำนวน 50,000 บาท และจากพรรคเพื่อไทย 100,000 บาท พร้อมค่าขอย้ายศพ 20,000 บาท จากนปช. 15,000 บาท" ภรรยาเหยื่อปืนกล่าว
นางสุดารัตน์กล่าวต่อว่า จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือครอบครัว เนื่องจากสถานะความเป็นอยู่ยากจน สามีเป็นเสาหลักหาเงินมาเลี้ยงดูแม่ ตา ยาย วัย 85 ปี ซึ่งร่างกายพิการ อีกทั้งตอนนี้ตั้งท้องได้ 2 เดือนแล้ว ไม่รู้จะคิดถึงอนาคต แต่ต้องเข้มแข็งสู้ชีวิตเพื่อเลี้ยงลูกให้เติบโต
ทางด้านนางกาญจนา เพ็ชรวิเศษ ปลัดอาวุโสอำเภอปราสาท กล่าวว่า เป็นตัวแทนนายอำเภอปราสาท พร้อมปกครองอำเภอนำพวงหรีดร่วมงานบำเพ็ญกุศล จากการสอบถามครอบครัวทราบว่าทางครอบครัวได้ทำเรื่องขอความช่วยเหลือจากกรมพัฒนาสังคมแล้ว หากยังไม่ทำเรื่องทางอำเภอจะประสานให้
วันเดียวกัน ที่บ้านเลขที่ 3 หมู่ 18 บ้านหนอง โน ต.รอบเมือง อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านของนายพรสวรรค์ นาคะไชย อายุ 23 ปี ที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมบริเวณบ่อนไก่ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา มีนายหนึ่งฤดี นาคะไชย อายุ 25 ปีพี่ชาย ได้กล่าวว่า นายพรสวรรค์น้องชาย หลังจากจบชั้นม.3 จากโรง เรียนบ้านหนองโน ได้เดินทางไปหางานทำที่กรุงเทพฯในตำแหน่งพนักงานโรงแรมไฟวิ่งกรุง เทพโฮเต็ล ย่านสุขุมวิท โดยน้องชายชื่นชอบกลุ่มคนเสื้อแดงมากได้ใช้เวลาว่างหลังเลิกงาน และวันหยุดจะไปร่วมชุมนุมตลอดเวลากับเพื่อนๆ และนายเอกชัย นาคะไชย อายุ 28 ปี พี่ชายคน ที่สองซึ่งไปรับจ้างทั่วไปที่ตลาดบางบัวทอง จ.นนทบุรี โดยวันเกิดเหตุน้องชายได้ไปคนเดียวและถูกยิงเข้าที่ช่องท้องจนตับฉีกขาด และหน้า อกซ้าย ถูกนำตัวส่งร.พ.เลิดสินและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
นายหนึ่งฤดีกล่าวต่อว่า ญาติๆ ได้นำศพไปฌาปนกิจที่วัดป่าอัมไพรวัลย์ บ้านเกิด เมื่อวันเสาร์ที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา มีผู้มาร่วมงานจำนวนมาก อาทิ นายธวัชชัย ฟักอังกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายอำเภอหนองพอก กลุ่มนปช.แดงร้อยเอ็ด และแดงภาคอีสานกว่า 1 พันคน ทั้งนี้มีตัวแทนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นำเงินมาทำบุญด้วย 1 แสนบาท จากผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด 2 หมื่นบาท และกลุ่มนปช.แดงอีก 1 หมื่นบาท
"รู้สึกเสียใจมาก ไม่คิดว่าจะสูญเสียน้องชายไปเร็ว เห็นกันอยู่หลัดๆ เหมือนฝันไป ช่วงสงกรานต์กลับบ้านมาเล่นด้วยกัน และยังไปส่งที่กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 10 เม.ย. และเดินทางกลับบ้านในวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังรู้ข่าวแม่ถึงกับช็อกเป็นลมล้มพับ หลังโรงพยาบาลเลิดสินโทร.มาเมื่อเวลา 17.00 น. ว่าน้องถูกยิงอาการ 50-50 และครั้งที่สองเวลา 19.00 น.ได้เสียชีวิตแล้ว น้องชายเป็นคนดีรักครอบครัว ทำงานได้เงินมาจะแบ่งส่งมาให้ช่วยสร้างบ้านจนแล้วเสร็จและยังส่งค่าใช้จ่ายให้ทุกเดือน เดือนละ 2 พันบาท" พี่ชายเหยื่อปืน กล่าว
ด้านนางสะกัน นาคะไชย มารดา กล่าวว่า ได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวัง 5 หมื่นบาท รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หาที่สุดมิได้ สำหรับลูกชายคนนี้ตนเสียใจมากที่ต้องสูญเสียเขาไปเนื่องจากเป็นคนดี รักแม่ รักครอบครัว
วันเดียวกัน นางสำลอง รูปคม อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63 หมู่ 5 บ้านนางาม ต.ศรีสำราญ อ.พรเจริญ จ.หนองคาย มีศักดิ์เป็นพี่ภรรยาของนายมนูญ ท่าลาด อายุ 44 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างมีการชุมนุมของคนเสื้อแดง กล่าวว่า นายมนูญบ้านเดิมอยู่ที่อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ได้เดินทางไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ และได้พบกับนางผ่องใสน้องสาวตนซึ่งไปทำงานโรงงานเย็บผ้าที่กรุงเทพฯ ต่อมาได้แต่งงานอยู่กินจนมีลูกด้วยกัน 2 คน คนโตเป็นชายอายุ 21 ปี ส่วนคนเล็กเป็นหญิงกำลังเรียนชั้นม.1 อยู่ที่อ.พรเจริญ ทั้งสองได้ฝากลูกไว้ให้ตนเลี้ยงดู ส่วนทั้งสองคนทำงานที่กรุงเทพฯ สำหรับนายมนูญเป็นหัวหน้ารปภ.ที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ส่วนน้องสาวทำงาน อยู่โรงงานเย็บผ้า พอช่วงเทศกาลสำคัญจะพากันกลับมาเยี่ยมลูก
นางสำลองกล่าวต่อว่า ได้เคยสอบถามน้องสาวเคยไปชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่ น้องสาวบอกว่าไม่เคยไป ส่วนนายมนูญไปหรือไม่นั้นไม่ทราบ เพราะทำงานกันคนละเวลา คนหนึ่งทำงานเช้าอีกคนทำงานกลางคืน จึงไม่ค่อยได้เจอกันต่างคนต่างทำงาน วันเกิดเหตุเป็นช่วงที่นายมนูญไปทำงานตามปกติ ได้ออกตรวจพื้นที่ดูลูกน้องบริเวณแยกมักกะสัน พอถูกยิงคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ร้องตะโกนว่าตำรวจถูกยิง เพราะนึกว่านายมนูญซึ่งแต่งเครื่องแบบรปภ.เป็นตำรวจ อีกทั้งเป็นวันเดียวกับที่เสธ.แดงถูกยิงด้วย
นางสำลองกล่าวอีกว่า ล่าสุดเมื่อเช้าตรู่วันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา นางผ่องใสได้โทรศัพท์มาบอกตนว่านายมนูญถูกยิงเสียชีวิต หลังรู้ข่าวแทบช็อก จึงได้พาญาติอีกจำนวนหนึ่งเดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่าศพนายมนูญถูกยิงเข้าที่ขมับซ้าย 1 นัด ขณะที่ยังสวมเครื่องแบบรปภ. จากนั้นเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ได้นำศพไปฌาปนกิจที่วัดจอมทอง เขตบางขุนเทียน ท่าม กลางความเสียใจของญาติพี่น้อง
"ในวันงานได้มีนายไตรรงค์ ติธรรม และนายยุทธพงศ์ แสงศรี ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย นำเงินมาช่วยเหลือจำนวนหนึ่ง ทางบริษัทที่นายมนูญทำงานได้มอบเงินมาช่วยอีก 20,000 บาท โรงงานเย็บผ้าของนางผ่องใสช่วยอีก 10,000 บาท นอกจากนี้ยังได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวัง และจากตัวแทนของพ.ต.ท.ทักษิณ อีกจำนวนหนึ่ง ขณะนี้ภรรยาผู้ตายอยู่ระหว่างเดินเรื่องขอรับเงินจากรัฐบาล และสำนักงานประกันสังคม โดยประมาณเดือนมิ.ย.จะนำกระ ดูกของนายมนูญมาทำบุญและเก็บไว้วัดที่บ้านนางามแห่งนี้ ส่วนน้องสาวหลังเสร็จงานจะกลับมาทำนาเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านเช่นเดิม"
วันเดียวกัน เวลา 13.30 น. ที่วัดป่าเจ้าคุณเพลินธรรมราม บ้านเจ้าคุณ หมู่ 3 ต.โชคนาสาม อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ได้มีชาวบ้านและกลุ่มนปช.คนเสื้อแดง ประจำท้องถิ่น 500 คน เดินทางมาร่วมรับศพนายชาติชาย หรือยศ ชาเหลา อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36 บ้านเจ้าคุณ ซึ่งเคลื่อนย้ายศพจากกรุงเทพฯกลับมาภูมิลำเนาบ้านเกิด เพื่อประกอบพิธีฌาปนกิจในวันจันทร์ที่ 31 พ.ค.นี้ โดยนายชาติชายเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงครามเสียชีวิต บริเวณศาลาแดง เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในพิธีได้มีนางพลอน ขบวนงาม อายุ 52 ปี มารดา และนางสุดารัตน์ จันทพันธ์ ภรรยาให้การต้อนรับแขกที่เดินทางมาร่วมงาน ก่อนจะนำศพนายชาติชาย ชาเหลา ขึ้นศาลาการเปรียญ พร้อมประกอบพิธีรดน้ำศพ โดยศพของนายชาติชายอยู่ในสภาพสวมเสื้อยืดนปช.สีแดง นุ่งกางเกงยีนสีน้ำเงิน มีผ้าพันรอบศีรษะ และพันที่ขาซ้าย ห่มด้วยผ้าแพรสีแดง โดยใช้ธงชาติคลุมร่าง สร้างความโศกเศร้าของหมู่ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ นอกจากนี้ทุกคนได้ส่งเสียงตะโกนว่า "วีรชนสุรินทร์ สละชีวิตเพื่อประชาธิปไตย"
นางพลอนกล่าวว่า ได้แต่งงานใช้ชีวิตคู่กับนายชัยยา ชาเหลา มีลูกด้วยกัน 3 คน นายชาติชายคนตายเป็นลูกคนโต ในระหว่างที่ลูกอายุได้ 2 เดือน สามีได้มาหย่าร้างแยกทางกัน โดยนายชาติชายเป็นลูกที่เลี้ยงง่าย อุปนิสัยโอบอ้อมอารี ชอบทำกับข้าวให้แม่และน้องทานบ่อยๆ ความฝันของลูกยศ คืออยากมีบ้าน และรถยนต์
ต่อมาลูกชายได้ทำงานรับจ้างขับรถแท็กซี่ที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2549 และได้แต่งงานอยู่กินกับนางสุดารัตน์ จันทพันธ์ อายุ 24 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ โดยฝ่ายภรรยาสาวทำ งานรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าที่กรุงเทพฯ
ด้านนางสุดารัตน์ กล่าวว่า หลังใช้ชีวิตคู่สมรส สามีได้เช่าซื้อรถแท็กซี่มา 1 คัน ราคา 900,000 บาท เมื่อช่วงปี 2551 สามีได้เข้าร่วมอุดมการณ์กับกลุ่มนปช.คนเสื้อแดง ร่วมชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าฯ และที่ราชประสงค์ นอกจากนี้ ตนยามว่างเว้นจะไปร่วมชุมนุมกับสามีเป็นครั้งเป็นคราว และเมื่อรัฐบาลประกาศขอคืนพื้นที่ จึงได้เตือนสามีให้ระวังตัว กระทั่งวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังจากเสธ.แดงถูกยิงที่ศาลาแดง แต่เวลาคนละช่วงในเวลา 21.00 น.สามีถูกยิงด้วยอาวุธปืนความเร็วสูงเจาะที่ขมับขวา 1 นัด และถูกยิงซ้ำเข้าที่ขาซ้าย 2 นัด สิ้นใจตายในที่เกิดเหตุ
"สำหรับการช่วยเหลือครอบครัวได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเงินช่วยเหลือจำนวน 50,000 บาท และจากพรรคเพื่อไทย 100,000 บาท พร้อมค่าขอย้ายศพ 20,000 บาท จากนปช. 15,000 บาท" ภรรยาเหยื่อปืนกล่าว
นางสุดารัตน์กล่าวต่อว่า จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือครอบครัว เนื่องจากสถานะความเป็นอยู่ยากจน สามีเป็นเสาหลักหาเงินมาเลี้ยงดูแม่ ตา ยาย วัย 85 ปี ซึ่งร่างกายพิการ อีกทั้งตอนนี้ตั้งท้องได้ 2 เดือนแล้ว ไม่รู้จะคิดถึงอนาคต แต่ต้องเข้มแข็งสู้ชีวิตเพื่อเลี้ยงลูกให้เติบโต
ทางด้านนางกาญจนา เพ็ชรวิเศษ ปลัดอาวุโสอำเภอปราสาท กล่าวว่า เป็นตัวแทนนายอำเภอปราสาท พร้อมปกครองอำเภอนำพวงหรีดร่วมงานบำเพ็ญกุศล จากการสอบถามครอบครัวทราบว่าทางครอบครัวได้ทำเรื่องขอความช่วยเหลือจากกรมพัฒนาสังคมแล้ว หากยังไม่ทำเรื่องทางอำเภอจะประสานให้
วันเดียวกัน ที่บ้านเลขที่ 3 หมู่ 18 บ้านหนอง โน ต.รอบเมือง อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านของนายพรสวรรค์ นาคะไชย อายุ 23 ปี ที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมบริเวณบ่อนไก่ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา มีนายหนึ่งฤดี นาคะไชย อายุ 25 ปีพี่ชาย ได้กล่าวว่า นายพรสวรรค์น้องชาย หลังจากจบชั้นม.3 จากโรง เรียนบ้านหนองโน ได้เดินทางไปหางานทำที่กรุงเทพฯในตำแหน่งพนักงานโรงแรมไฟวิ่งกรุง เทพโฮเต็ล ย่านสุขุมวิท โดยน้องชายชื่นชอบกลุ่มคนเสื้อแดงมากได้ใช้เวลาว่างหลังเลิกงาน และวันหยุดจะไปร่วมชุมนุมตลอดเวลากับเพื่อนๆ และนายเอกชัย นาคะไชย อายุ 28 ปี พี่ชายคน ที่สองซึ่งไปรับจ้างทั่วไปที่ตลาดบางบัวทอง จ.นนทบุรี โดยวันเกิดเหตุน้องชายได้ไปคนเดียวและถูกยิงเข้าที่ช่องท้องจนตับฉีกขาด และหน้า อกซ้าย ถูกนำตัวส่งร.พ.เลิดสินและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
นายหนึ่งฤดีกล่าวต่อว่า ญาติๆ ได้นำศพไปฌาปนกิจที่วัดป่าอัมไพรวัลย์ บ้านเกิด เมื่อวันเสาร์ที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา มีผู้มาร่วมงานจำนวนมาก อาทิ นายธวัชชัย ฟักอังกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายอำเภอหนองพอก กลุ่มนปช.แดงร้อยเอ็ด และแดงภาคอีสานกว่า 1 พันคน ทั้งนี้มีตัวแทนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นำเงินมาทำบุญด้วย 1 แสนบาท จากผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด 2 หมื่นบาท และกลุ่มนปช.แดงอีก 1 หมื่นบาท
"รู้สึกเสียใจมาก ไม่คิดว่าจะสูญเสียน้องชายไปเร็ว เห็นกันอยู่หลัดๆ เหมือนฝันไป ช่วงสงกรานต์กลับบ้านมาเล่นด้วยกัน และยังไปส่งที่กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 10 เม.ย. และเดินทางกลับบ้านในวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังรู้ข่าวแม่ถึงกับช็อกเป็นลมล้มพับ หลังโรงพยาบาลเลิดสินโทร.มาเมื่อเวลา 17.00 น. ว่าน้องถูกยิงอาการ 50-50 และครั้งที่สองเวลา 19.00 น.ได้เสียชีวิตแล้ว น้องชายเป็นคนดีรักครอบครัว ทำงานได้เงินมาจะแบ่งส่งมาให้ช่วยสร้างบ้านจนแล้วเสร็จและยังส่งค่าใช้จ่ายให้ทุกเดือน เดือนละ 2 พันบาท" พี่ชายเหยื่อปืน กล่าว
ด้านนางสะกัน นาคะไชย มารดา กล่าวว่า ได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวัง 5 หมื่นบาท รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หาที่สุดมิได้ สำหรับลูกชายคนนี้ตนเสียใจมากที่ต้องสูญเสียเขาไปเนื่องจากเป็นคนดี รักแม่ รักครอบครัว