คอลัมน์ เหล็กใน
ทางหนึ่งเหมือนจะเป็นเรื่องดีที่พรรคร่วมรัฐบาลยอมถอยในเรื่องการยื่นแก้รัฐธรรมนูญ เห็นได้จากการลงมติเลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไปก่อน
เป็นเรื่องดีที่อย่างน้อยทำให้สถานภาพของรัฐบาลดูดีขึ้น
แต่อีกทางหนึ่งเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับประชาชน เพราะการ "หันหน้าเข้าหากัน" อีกครั้งของพรรคร่วมฯ และพรรคประชาธิปัตย์ ถูกจับตาว่าน่าจะมีเงื่อนไขเกี่ยวกับพ.ร.บ.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท
เงินกู้ชุดแรกที่นำมาละลายเล่นกับโครงการไทยเข้มแข็ง เป็นอย่างไรก็เห็นกันอยู่
นี่มีอีก 4 แสนล้านวางอยู่บนโต๊ะ
จึงเกรงกันว่า "บุฟเฟต์คาบิเนต" สมัย "น้าชาติ" พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกฯ ที่ถูกปฏิวัติโดยรสช. เมื่อปี 2534 อันมีเหตุผลหนึ่งคือเรื่องนี้
อาจจะกลายเป็นเรื่องเด็กๆ ไปเลยก็ได้
และที่ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเพราะในอดีตเงินที่มีการเบียดบังโดยนักการเมืองทุกยุคทุกสมัย ส่วนใหญ่เป็นงบประมาณปกติประจำปีอยู่แล้ว
แต่ 4 แสนล้านก้อนนี้เป็นเงินกู้ล้วนๆ ซึ่งคนไทยถูกยัดเยียดให้กลายเป็นหนี้
หากนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าไม่ ก็ใช้หนี้กันหัวโตแน่พระเดชพระคุณเอ๋ย
จึงทำให้กูรู และเกจิทางการเมืองมองเป็นทางเดียวกันว่า ที่พรรคร่วมรัฐบาลยอมถอยเรื่องแก้รัฐ ธรรมนูญ
เพราะเงิน 4 แสนล้านเป็นข้อต่อรองสำคัญ
ถึงแม้การเลือกตั้งสมัยหน้าต้องสู้กันตามกติกาของรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ แต่หากมี "กระสุน" ที่ตุนไว้จากโครงการที่แล้ว และโครงการในอนาคตอีก 4 แสนล้าน
มันก็น่าสนใจมิใช่หรือ
หากผลการเลือกตั้งทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ส.ส.ตามเป้าที่วางไว้ แต่แลกมาด้วยเงินที่เต็มกระเป๋าแทน มันก็คุ้มค่า
อีกเรื่องที่สะท้อนให้เห็นอนาคตของคนไทย ที่อาจจะเจ๊กอั้กกว่าที่เป็นอยู่ คงเป็นคำบอกใบ้ของ นายกรณ์ จาติกวณิช เกี่ยวกับ "ภาษี"
ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดไม่ต่ออายุโครงการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่จะหมดในเดือนมี.ค.นี้ โดยอ้างว่าจะนำเงินภาษีที่ได้ไปช่วยภาคอื่นบ้าง
แต่จริงๆ แล้วเชื่อว่าน่าจะนำเงินที่ได้เข้ากระเป๋ารัฐมากกว่า เพราะทุกวันนี้ก็เต็มกลืนแล้ว
หรือการเปรยๆ ถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ปัจจุบันเก็บอยู่ 7% ว่าอาจจะปรับขึ้นเป็น 10%
นี่ยังไม่นับภาษีน้ำมันที่รัฐบาลนี้เก็บมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ
ทั้งเงินกู้ 4 แสนล้าน และปัญหาภาษี ถือว่าเป็น 2 สิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันจนแยกไม่ออก
หากรัฐบาลสนุกกับการใช้เงินกู้แบบอีลุ่ยฉุยแฉก คนไทยคงต้องแบกรับภาษีมากขึ้น และเร็วขึ้น
เตรียมนับถอยหลังเข้าสู่ยุค "ภาษีอาน" ของจริงกันได้แล้ว...พี่น้อง
เป็นเรื่องดีที่อย่างน้อยทำให้สถานภาพของรัฐบาลดูดีขึ้น
แต่อีกทางหนึ่งเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับประชาชน เพราะการ "หันหน้าเข้าหากัน" อีกครั้งของพรรคร่วมฯ และพรรคประชาธิปัตย์ ถูกจับตาว่าน่าจะมีเงื่อนไขเกี่ยวกับพ.ร.บ.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท
เงินกู้ชุดแรกที่นำมาละลายเล่นกับโครงการไทยเข้มแข็ง เป็นอย่างไรก็เห็นกันอยู่
นี่มีอีก 4 แสนล้านวางอยู่บนโต๊ะ
จึงเกรงกันว่า "บุฟเฟต์คาบิเนต" สมัย "น้าชาติ" พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกฯ ที่ถูกปฏิวัติโดยรสช. เมื่อปี 2534 อันมีเหตุผลหนึ่งคือเรื่องนี้
อาจจะกลายเป็นเรื่องเด็กๆ ไปเลยก็ได้
และที่ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเพราะในอดีตเงินที่มีการเบียดบังโดยนักการเมืองทุกยุคทุกสมัย ส่วนใหญ่เป็นงบประมาณปกติประจำปีอยู่แล้ว
แต่ 4 แสนล้านก้อนนี้เป็นเงินกู้ล้วนๆ ซึ่งคนไทยถูกยัดเยียดให้กลายเป็นหนี้
หากนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าไม่ ก็ใช้หนี้กันหัวโตแน่พระเดชพระคุณเอ๋ย
จึงทำให้กูรู และเกจิทางการเมืองมองเป็นทางเดียวกันว่า ที่พรรคร่วมรัฐบาลยอมถอยเรื่องแก้รัฐ ธรรมนูญ
เพราะเงิน 4 แสนล้านเป็นข้อต่อรองสำคัญ
ถึงแม้การเลือกตั้งสมัยหน้าต้องสู้กันตามกติกาของรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ แต่หากมี "กระสุน" ที่ตุนไว้จากโครงการที่แล้ว และโครงการในอนาคตอีก 4 แสนล้าน
มันก็น่าสนใจมิใช่หรือ
หากผลการเลือกตั้งทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ส.ส.ตามเป้าที่วางไว้ แต่แลกมาด้วยเงินที่เต็มกระเป๋าแทน มันก็คุ้มค่า
อีกเรื่องที่สะท้อนให้เห็นอนาคตของคนไทย ที่อาจจะเจ๊กอั้กกว่าที่เป็นอยู่ คงเป็นคำบอกใบ้ของ นายกรณ์ จาติกวณิช เกี่ยวกับ "ภาษี"
ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดไม่ต่ออายุโครงการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่จะหมดในเดือนมี.ค.นี้ โดยอ้างว่าจะนำเงินภาษีที่ได้ไปช่วยภาคอื่นบ้าง
แต่จริงๆ แล้วเชื่อว่าน่าจะนำเงินที่ได้เข้ากระเป๋ารัฐมากกว่า เพราะทุกวันนี้ก็เต็มกลืนแล้ว
หรือการเปรยๆ ถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ปัจจุบันเก็บอยู่ 7% ว่าอาจจะปรับขึ้นเป็น 10%
นี่ยังไม่นับภาษีน้ำมันที่รัฐบาลนี้เก็บมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ
ทั้งเงินกู้ 4 แสนล้าน และปัญหาภาษี ถือว่าเป็น 2 สิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันจนแยกไม่ออก
หากรัฐบาลสนุกกับการใช้เงินกู้แบบอีลุ่ยฉุยแฉก คนไทยคงต้องแบกรับภาษีมากขึ้น และเร็วขึ้น
เตรียมนับถอยหลังเข้าสู่ยุค "ภาษีอาน" ของจริงกันได้แล้ว...พี่น้อง