โดย ลอย ลมบน
การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ ดูเหมือนว่าฝ่ายที่คุมเกม
และยกระดับกดดันเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆคือฝ่ายรัฐบาล ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ไม่ว่าใครจะเสนอทางออกอย่างไร เรียกร้องให้ใช้สันติวิธีอย่างไร ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะหน้ามืดตามัวมุ่งแต่จะใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นคนเสื้อแดง
ที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูอย่างไม่ลดละ สังเกตได้จากถ้อยแถลงของโฆษก ศอฉ. ที่ฮึ่มฮั่มทุกวัน
ทำนองว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ต้องยอมสูญเสียบ้าง เพื่อให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความปรกติสุข
ท่าทีเช่นนี้เองที่ทำให้ไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่จะเกิดสงครามกลางเมืองหรือสงครามประชาชนครั้งใหญ่ได้อีกต่อไป ส่วนจะเกิดขึ้นเมื่อไรนั้นฝ่ายรัฐบาลกำลังรอเงื่อนไขเวลาเหมาะสมที่จะเข้าสลายการชุมนุมอีกครั้ง
ระหว่างที่รอเวลาก็ดำเนินการทำลายความชอบธรรมของคนเสื้อแดง
เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนจากประชาชนเอาไว้เป็นเกราะคุ้มหัวเวลาที่เกิดความสูญเสียขึ้น
การก่อเกิดของกลุ่มคนเสื้อหลากสีที่เชียร์รัฐบาลให้ปราบปรามฝ่ายตรงข้าม คัดค้านการยุบสภา หากใครที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารมาเลย
ก็อาจจะคิดว่าประชาชนส่วนนี้เป็นกลุ่มพลังบริสุทธิ์
ที่ออกมาเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่ เพราะสื่อทั่วไป
ที่เสนอข่าวสารเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อหลากสีไม่ได้พูดถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของกลุ่มคนเหล่านี้
กลุ่มคนเสื้อหลากสีที่ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐบาล คัดค้านการยุบสภา
และให้ปราบปรามฝ่ายตรงข้าม คือ
กลุ่มคนที่แปลงร่างมาจากคนเสื้อเหลืองที่ให้การสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์ และมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูอยู่ก่อนแล้ว
การขับเคลื่อนของกลุ่มคนเสื้อหลากสีจึงมีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ไม่ใช่พลังบริสุทธิ์ ในขณะที่รัฐบาลก็รู้ดีแต่ก็ยังปล่อยให้คนกลุ่มนี้จัดชุมนุมสนับสนุนตัวเองได้ทุกวันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทั้งที่กรุงเทพฯอยู่ในช่วงประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินที่มีข้อห้ามจัดชุมนุมเกินกว่า 5 คน
ศอฉ. แถลงทุกวันว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย แต่กลุ่มคนเสื้อหลากสีสามารถชุมนุมได้โดยไม่ผิดกฎหมาย และรัฐบาลก็ไม่เคยคิดจะเอาผิด ทำให้ความสองมาตรฐานเด่นชัดมากขึ้น
ดูเหมือนว่ารัฐบาลกำลังเดินตามแผน 19 กันยายนโมเดล ที่สร้างภาพให้เกิดการแตกแยกระหว่างประชาชนเพื่อใช้กำลังเข้าจัดการอะไรบางอย่าง เพราะคนกลุ่มนี้เริ่มบีบคั้นมากขึ้นเรื่อยๆ กับการประกาศว่า
จะจัดการกับคนเสื้อแดงเองหากกองทัพไม่ยอมทำอะไร
แว่วมาว่ามีเงินจากที่ไหนสักแหล่งไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท
จ่ายให้เป็นค่าน้ำร้อนน้ำชา
ค่าเสียเวลาจัดคนมาเชียร์รัฐบาล จริงเท็จอย่างไรอยากให้คนที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจง
แต่ยังโชคดีอยู่บ้างที่คนในกองทัพบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง แม้จะมีบางคนที่กระหายเลือดและกระหายอำนาจอยากจะจัดการขั้นแตกหักเต็มแก่
แต่ก็ยังทำอะไรได้ไม่ถนัดมือ
อยากให้จับตาดูการประชุมระหว่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กับผู้บังคับหน่วย
ระดับนายพล นายพัน ในวันที่ 19 ก.ย. นี้ให้ดี น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสถานการณ์เลยก็ว่าได้
แว่วมาอีกเหมือนกันว่า พล.อ.อนุพงษ์นั้นมีแนวคิดอย่างหนึ่ง หากดำเนินการไปตามแนวคิดที่ว่านั้นก็สุ่มเสี่ยงที่จะกระเด็นตกเก้าอี้ หรือถูกกันออกไปแล้วให้ใครบางคนที่กระหายเลือดมากกว่าเข้ามาแทน
ถ้าเป็นไปตามนี้แยกราชประสงค์อาจกลายเป็นทุ่งสังหาร จะทำให้เกิดการจลาจลนองเลือดครั้งใหญ่
ทุกอย่างจะต้องจบลงภายในเดือนเมษายนนี้แน่นอน เฮ้อ...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ ดูเหมือนว่าฝ่ายที่คุมเกม
และยกระดับกดดันเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆคือฝ่ายรัฐบาล ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ไม่ว่าใครจะเสนอทางออกอย่างไร เรียกร้องให้ใช้สันติวิธีอย่างไร ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะหน้ามืดตามัวมุ่งแต่จะใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นคนเสื้อแดง
ที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูอย่างไม่ลดละ สังเกตได้จากถ้อยแถลงของโฆษก ศอฉ. ที่ฮึ่มฮั่มทุกวัน
ทำนองว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ต้องยอมสูญเสียบ้าง เพื่อให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความปรกติสุข
ท่าทีเช่นนี้เองที่ทำให้ไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่จะเกิดสงครามกลางเมืองหรือสงครามประชาชนครั้งใหญ่ได้อีกต่อไป ส่วนจะเกิดขึ้นเมื่อไรนั้นฝ่ายรัฐบาลกำลังรอเงื่อนไขเวลาเหมาะสมที่จะเข้าสลายการชุมนุมอีกครั้ง
ระหว่างที่รอเวลาก็ดำเนินการทำลายความชอบธรรมของคนเสื้อแดง
เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนจากประชาชนเอาไว้เป็นเกราะคุ้มหัวเวลาที่เกิดความสูญเสียขึ้น
การก่อเกิดของกลุ่มคนเสื้อหลากสีที่เชียร์รัฐบาลให้ปราบปรามฝ่ายตรงข้าม คัดค้านการยุบสภา หากใครที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารมาเลย
ก็อาจจะคิดว่าประชาชนส่วนนี้เป็นกลุ่มพลังบริสุทธิ์
ที่ออกมาเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่ เพราะสื่อทั่วไป
ที่เสนอข่าวสารเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อหลากสีไม่ได้พูดถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของกลุ่มคนเหล่านี้
กลุ่มคนเสื้อหลากสีที่ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐบาล คัดค้านการยุบสภา
และให้ปราบปรามฝ่ายตรงข้าม คือ
กลุ่มคนที่แปลงร่างมาจากคนเสื้อเหลืองที่ให้การสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์ และมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูอยู่ก่อนแล้ว
การขับเคลื่อนของกลุ่มคนเสื้อหลากสีจึงมีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ไม่ใช่พลังบริสุทธิ์ ในขณะที่รัฐบาลก็รู้ดีแต่ก็ยังปล่อยให้คนกลุ่มนี้จัดชุมนุมสนับสนุนตัวเองได้ทุกวันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทั้งที่กรุงเทพฯอยู่ในช่วงประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินที่มีข้อห้ามจัดชุมนุมเกินกว่า 5 คน
ศอฉ. แถลงทุกวันว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย แต่กลุ่มคนเสื้อหลากสีสามารถชุมนุมได้โดยไม่ผิดกฎหมาย และรัฐบาลก็ไม่เคยคิดจะเอาผิด ทำให้ความสองมาตรฐานเด่นชัดมากขึ้น
ดูเหมือนว่ารัฐบาลกำลังเดินตามแผน 19 กันยายนโมเดล ที่สร้างภาพให้เกิดการแตกแยกระหว่างประชาชนเพื่อใช้กำลังเข้าจัดการอะไรบางอย่าง เพราะคนกลุ่มนี้เริ่มบีบคั้นมากขึ้นเรื่อยๆ กับการประกาศว่า
จะจัดการกับคนเสื้อแดงเองหากกองทัพไม่ยอมทำอะไร
แว่วมาว่ามีเงินจากที่ไหนสักแหล่งไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท
จ่ายให้เป็นค่าน้ำร้อนน้ำชา
ค่าเสียเวลาจัดคนมาเชียร์รัฐบาล จริงเท็จอย่างไรอยากให้คนที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจง
แต่ยังโชคดีอยู่บ้างที่คนในกองทัพบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง แม้จะมีบางคนที่กระหายเลือดและกระหายอำนาจอยากจะจัดการขั้นแตกหักเต็มแก่
แต่ก็ยังทำอะไรได้ไม่ถนัดมือ
อยากให้จับตาดูการประชุมระหว่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กับผู้บังคับหน่วย
ระดับนายพล นายพัน ในวันที่ 19 ก.ย. นี้ให้ดี น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสถานการณ์เลยก็ว่าได้
แว่วมาอีกเหมือนกันว่า พล.อ.อนุพงษ์นั้นมีแนวคิดอย่างหนึ่ง หากดำเนินการไปตามแนวคิดที่ว่านั้นก็สุ่มเสี่ยงที่จะกระเด็นตกเก้าอี้ หรือถูกกันออกไปแล้วให้ใครบางคนที่กระหายเลือดมากกว่าเข้ามาแทน
ถ้าเป็นไปตามนี้แยกราชประสงค์อาจกลายเป็นทุ่งสังหาร จะทำให้เกิดการจลาจลนองเลือดครั้งใหญ่
ทุกอย่างจะต้องจบลงภายในเดือนเมษายนนี้แน่นอน เฮ้อ...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด