โดย ลอย ลมบน
ความจริงทฤษฎีลิง 3 ตัวของแท้ที่กำลังจะพูดถึงนี้เป็นเรื่องดีของนักปราชญ์ชาวจีน เป็นการแนะนำทางสว่างให้กับผู้บริหาร
ที่ควรรู้จักควบคุมการฟัง ควบคุมการมอง และควบคุมการพูด โดยผู้บริหารควรเลือกว่าสถานการณ์ไหนควรใช้แบบใด
เพราะคนเรามีแค่ 2 มือ คงไม่สามารถปิดหู ปิดตา และปิดปากได้ในเวลาเดียวกัน
แต่ ทฤษฎีลิง 3 ตัวที่กำลังจะพูดถึงนี้เป็นการยกมาแบบอุปมาอุปไมยเปรียบกับสถานการณ์บ้าน เมืองในปัจจุบัน
ที่รัฐบาลกำลังใช้อำนาจเผด็จการปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าว สารของประชาชนในทุกรูปแบบ
ก่อนหน้านี้ก็ไล่ปิดทีวี.ดาวเทียม วิทยุชุมชน และเว็บไซต์ต่างๆจำนวนมากที่ไม่เสนอข่าวเลียแข้งเลียขารัฐบาลไปแล้ว
และกำลังลามมาถึงข่าวสั้น SMS ทั้งที่ข่าวเพียงแค่ 1-2 บรรทัด ไม่น่าจะสั่นคลอนหรือกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาลได้
ทฤษฎีลิง 3 ตัวที่ว่าจึงอยากยกมาเปรียบเทียบในเรื่องความพยายามปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชนที่เห็นไม่ตรงกับรัฐบาล
ทั้งที่รัฐธรรมนูญมาตรา 45 วรรค 3 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศนี้ เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า
“การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อสารมวลชนอื่นเพื่อลิดรอนเสรีภาพตาม มาตรานี้จะกระทำมิได้”
ขณะที่ความในวรรค 1 เขียนเอาไว้ว่า
“บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา
และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น”
ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร จากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ
การปิดกั้นข่าวสารของรัฐบาลเอาไว้ว่า
สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรง
การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังเป็น รัฐบาลเผด็จการ
โดยมิได้ตระหนักว่าผลของการใช้อำนาจเผด็จการนี้จะยิ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง ที่ขยายวงกว้าง
และฝังรากลึกยืดเยื้อในสังคมไทยไปอีกนาน
ผู้เขียน เห็นว่าตามธรรมชาติของคนเรานั้นยิ่งปิดกั้นก็ยิ่งอยากรู้ ยิ่งพยายามแสวงหาข้อมูลข่าวสารที่ต้องการรู้
ข้อมูลข่าวสารบางอย่างที่หามาได้ยากยิ่งเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือ
เมื่อรับรู้ข้อมูลข่าวสารนั้นมาแล้วก็จะปักใจเชื่อในทันที นี่เป็นผลเสียอย่างชัดเจนของการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร
ปัญหาขัดแย้งที่ เกิดขึ้นในสังคมตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกิดจาก
การรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้าน ใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวมากเกินไป
คนที่นิยมเสื้อเหลืองก็เปิดรับ เฉพาะข่าวสารด้านหนึ่ง
คนที่นิยมเสื้อแดงก็เปิดรับข่าวสารอีกด้านหนึ่ง
ซึ่งข่าวสารของคนทั้งสองสีเสื้อนี้มีช่องทางจำกัดในการรับ
ทางที่ดีรัฐบาลที่มีสื่ออยู่ในมือจำนวนมาก
และเข้าถึงประชาชนได้มากกว่าควร เปิดพื้นที่สื่อเหล่านั้นให้ทุกกลุ่มทุกสีรวมทั้งฝ่ายรัฐบาลเองด้วยได้ใช้ใน
การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของตัวเอง
เพราะเมื่อประชาชนโดยส่วนใหญ่ได้รับทราบข้อมูลอย่างรอบด้านแล้วก็จะพิจารณา
ได้เองว่าข้อมูลไหนมีความน่าเชื่อถือมากกว่ากัน นี่น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
วันนี้ชัดเจนว่าสิ่งที่รัฐบาลพยายามจะ กรอกหูประชาชน
โดยการยึดพื้นที่ช่อง 11 วิทยุของกรมประชาสัมพันธ์ และวิทยุของทหาร
จัดรายการป้อนข้อมูลฝ่ายตนเพียงด้านเดียวนั้น
ประชาชนทั่วไปเขาไม่ยอมรับ ไม่เชื่อลองเช็กเรทติ้งดูว่าในแต่ละวันมีคนรับ ฟังรับชมมากน้อยแค่ไหน
หากอยากออกจากวิกฤตรัฐบาลไม่ควรแปลความหมายของ ทฤษฎีลิง 3 ตัวผิด ไม่ควรปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชน
แต่ควรรู้จักคิดว่าอะไรควรฟัง อะไรควรพูด และอะไรควรมองให้เห็นมากกว่า
ความจริงทฤษฎีลิง 3 ตัวของแท้ที่กำลังจะพูดถึงนี้เป็นเรื่องดีของนักปราชญ์ชาวจีน เป็นการแนะนำทางสว่างให้กับผู้บริหาร
ที่ควรรู้จักควบคุมการฟัง ควบคุมการมอง และควบคุมการพูด โดยผู้บริหารควรเลือกว่าสถานการณ์ไหนควรใช้แบบใด
เพราะคนเรามีแค่ 2 มือ คงไม่สามารถปิดหู ปิดตา และปิดปากได้ในเวลาเดียวกัน
แต่ ทฤษฎีลิง 3 ตัวที่กำลังจะพูดถึงนี้เป็นการยกมาแบบอุปมาอุปไมยเปรียบกับสถานการณ์บ้าน เมืองในปัจจุบัน
ที่รัฐบาลกำลังใช้อำนาจเผด็จการปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าว สารของประชาชนในทุกรูปแบบ
ก่อนหน้านี้ก็ไล่ปิดทีวี.ดาวเทียม วิทยุชุมชน และเว็บไซต์ต่างๆจำนวนมากที่ไม่เสนอข่าวเลียแข้งเลียขารัฐบาลไปแล้ว
และกำลังลามมาถึงข่าวสั้น SMS ทั้งที่ข่าวเพียงแค่ 1-2 บรรทัด ไม่น่าจะสั่นคลอนหรือกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาลได้
ทฤษฎีลิง 3 ตัวที่ว่าจึงอยากยกมาเปรียบเทียบในเรื่องความพยายามปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชนที่เห็นไม่ตรงกับรัฐบาล
ทั้งที่รัฐธรรมนูญมาตรา 45 วรรค 3 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศนี้ เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า
“การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อสารมวลชนอื่นเพื่อลิดรอนเสรีภาพตาม มาตรานี้จะกระทำมิได้”
ขณะที่ความในวรรค 1 เขียนเอาไว้ว่า
“บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา
และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น”
ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร จากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ
การปิดกั้นข่าวสารของรัฐบาลเอาไว้ว่า
สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรง
การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังเป็น รัฐบาลเผด็จการ
โดยมิได้ตระหนักว่าผลของการใช้อำนาจเผด็จการนี้จะยิ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง ที่ขยายวงกว้าง
และฝังรากลึกยืดเยื้อในสังคมไทยไปอีกนาน
ผู้เขียน เห็นว่าตามธรรมชาติของคนเรานั้นยิ่งปิดกั้นก็ยิ่งอยากรู้ ยิ่งพยายามแสวงหาข้อมูลข่าวสารที่ต้องการรู้
ข้อมูลข่าวสารบางอย่างที่หามาได้ยากยิ่งเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือ
เมื่อรับรู้ข้อมูลข่าวสารนั้นมาแล้วก็จะปักใจเชื่อในทันที นี่เป็นผลเสียอย่างชัดเจนของการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร
ปัญหาขัดแย้งที่ เกิดขึ้นในสังคมตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกิดจาก
การรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้าน ใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวมากเกินไป
คนที่นิยมเสื้อเหลืองก็เปิดรับ เฉพาะข่าวสารด้านหนึ่ง
คนที่นิยมเสื้อแดงก็เปิดรับข่าวสารอีกด้านหนึ่ง
ซึ่งข่าวสารของคนทั้งสองสีเสื้อนี้มีช่องทางจำกัดในการรับ
ทางที่ดีรัฐบาลที่มีสื่ออยู่ในมือจำนวนมาก
และเข้าถึงประชาชนได้มากกว่าควร เปิดพื้นที่สื่อเหล่านั้นให้ทุกกลุ่มทุกสีรวมทั้งฝ่ายรัฐบาลเองด้วยได้ใช้ใน
การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของตัวเอง
เพราะเมื่อประชาชนโดยส่วนใหญ่ได้รับทราบข้อมูลอย่างรอบด้านแล้วก็จะพิจารณา
ได้เองว่าข้อมูลไหนมีความน่าเชื่อถือมากกว่ากัน นี่น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
วันนี้ชัดเจนว่าสิ่งที่รัฐบาลพยายามจะ กรอกหูประชาชน
โดยการยึดพื้นที่ช่อง 11 วิทยุของกรมประชาสัมพันธ์ และวิทยุของทหาร
จัดรายการป้อนข้อมูลฝ่ายตนเพียงด้านเดียวนั้น
ประชาชนทั่วไปเขาไม่ยอมรับ ไม่เชื่อลองเช็กเรทติ้งดูว่าในแต่ละวันมีคนรับ ฟังรับชมมากน้อยแค่ไหน
หากอยากออกจากวิกฤตรัฐบาลไม่ควรแปลความหมายของ ทฤษฎีลิง 3 ตัวผิด ไม่ควรปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชน
แต่ควรรู้จักคิดว่าอะไรควรฟัง อะไรควรพูด และอะไรควรมองให้เห็นมากกว่า