รายงานข่าวจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)เมื่อวันที่ 19 เมษายน แจ้งว่า
ภายหลังการประชุม ศอฉ. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะ ผู้ช่วย ผอ.ศอฉ. เรียกประชุมนายทหารตั้งแต่ระดับ 5 เสือ ทบ. แม่ทัพภาค ผู้บัญชาการกองพล ผู้บังคับการกรม ผู้บังคับการกองพัน รองผู้บังคับการกองพัน และนายทหารระดับฝ่ายเสนาธิการทุกกองพันที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อซักซ้อมความเข้าใจในหลักการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง
โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ติดอาวุธเข้าปะปนผู้ชุมนุม หากต้องออกปฏิบัติขอคืนพื้นที่
และกรณีเกิดการปะทะกับผู้ชุมนุม โดยเฉพาะกรณีที่ต้องใช้อาวุธปืน
เนื่องจากนายทหารระดับสูงเกรงว่าอาวุธทหารยังอยู่ในมือกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งปืนบร้าโว และปืนเอ็ม 16 ดังนั้น หากกลุ่มบุคคลที่ยึดอาวุธทหารไปแล้ว นำมาใช้กับประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ในระหว่างการปฏิบัติงาน อาจทำให้สังคมและประชาชนเกิดความเข้าใจผิดได้
"พล.อ.อนุพงษ์ จึงย้ำกับนายทหารระดับผู้ปฏิบัติทุกนาย การจะใช้อาวุธปืนจริงทำได้ คือการป้องกันตนเองในภาวะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และการใช้อาวุธปืนจริงในลักษณะใดเป็นรายบุคคล เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด และหากจะใช้อาวุธต้องมีแบบแผนและลักษณะการใช้แบบเดียวกัน" รายงานข่าวระบุ
รายงานข่าวแจ้งว่า ในที่ประชุม พล.อ.อนุพงษ์ ได้ให้ความมั่นใจกับกำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่ โดยพูดกับนายทหารที่เข้าร่วมประชุมว่า
"กระสุนทุกนัดผมจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ขอให้ทุกคนไม่ต้องกลัว หากจะต้องใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนเอง แต่ต้องดำเนินการตามแผนที่ทำความเข้าใจและซักซ้อมกันไว้เช่นนี้"
นอกจากนี้ หน่วยงานด้านการข่าวมีการรายงานว่า พบการเคลื่อนไหวสั่งซื้ออาวุธสงครามอาร์พีจีจากบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชา
เพื่อนำมาใช้ก่อเหตุร้ายในพื้นที่ กทม. ทำให้นายทหารระดับสูงกังวลงว่า หากใช้กำลังทหารออกปฏิบัติหน้าที่ขอคืนพื้นที่อีกครั้ง กลุ่มบุคคลแฝงที่ติดอาวุธอาจใช้วุธหนักทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนอีก เพื่อให้เกิดความสูญเสีย ดังนั้นการปฏิบัติต้องมีความพร้อมเต็มที่100เปอร์เซนต์
ภายหลังการประชุม ศอฉ. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะ ผู้ช่วย ผอ.ศอฉ. เรียกประชุมนายทหารตั้งแต่ระดับ 5 เสือ ทบ. แม่ทัพภาค ผู้บัญชาการกองพล ผู้บังคับการกรม ผู้บังคับการกองพัน รองผู้บังคับการกองพัน และนายทหารระดับฝ่ายเสนาธิการทุกกองพันที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อซักซ้อมความเข้าใจในหลักการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง
โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ติดอาวุธเข้าปะปนผู้ชุมนุม หากต้องออกปฏิบัติขอคืนพื้นที่
และกรณีเกิดการปะทะกับผู้ชุมนุม โดยเฉพาะกรณีที่ต้องใช้อาวุธปืน
เนื่องจากนายทหารระดับสูงเกรงว่าอาวุธทหารยังอยู่ในมือกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งปืนบร้าโว และปืนเอ็ม 16 ดังนั้น หากกลุ่มบุคคลที่ยึดอาวุธทหารไปแล้ว นำมาใช้กับประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ในระหว่างการปฏิบัติงาน อาจทำให้สังคมและประชาชนเกิดความเข้าใจผิดได้
"พล.อ.อนุพงษ์ จึงย้ำกับนายทหารระดับผู้ปฏิบัติทุกนาย การจะใช้อาวุธปืนจริงทำได้ คือการป้องกันตนเองในภาวะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และการใช้อาวุธปืนจริงในลักษณะใดเป็นรายบุคคล เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด และหากจะใช้อาวุธต้องมีแบบแผนและลักษณะการใช้แบบเดียวกัน" รายงานข่าวระบุ
รายงานข่าวแจ้งว่า ในที่ประชุม พล.อ.อนุพงษ์ ได้ให้ความมั่นใจกับกำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่ โดยพูดกับนายทหารที่เข้าร่วมประชุมว่า
"กระสุนทุกนัดผมจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ขอให้ทุกคนไม่ต้องกลัว หากจะต้องใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนเอง แต่ต้องดำเนินการตามแผนที่ทำความเข้าใจและซักซ้อมกันไว้เช่นนี้"
นอกจากนี้ หน่วยงานด้านการข่าวมีการรายงานว่า พบการเคลื่อนไหวสั่งซื้ออาวุธสงครามอาร์พีจีจากบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชา
เพื่อนำมาใช้ก่อเหตุร้ายในพื้นที่ กทม. ทำให้นายทหารระดับสูงกังวลงว่า หากใช้กำลังทหารออกปฏิบัติหน้าที่ขอคืนพื้นที่อีกครั้ง กลุ่มบุคคลแฝงที่ติดอาวุธอาจใช้วุธหนักทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนอีก เพื่อให้เกิดความสูญเสีย ดังนั้นการปฏิบัติต้องมีความพร้อมเต็มที่100เปอร์เซนต์