บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2552

ทักษิณไม่ยอมเลิก ด่าเรียงตัว ป๋า-สุรยุทธ์-พิจิตร

ที่มา ไทยรัฐ

นับถอยหลังวันชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และแนวร่วมคนเสื้อแดง หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินเรียกร้องให้คนออกมาชุมนุมกันแทบทุกวัน ทั้งเวทีใหญ่ในกรุงและเวทีย่อยในต่างจังหวัด โดย มีความพยายามชี้ให้เห็นภาพผู้อยู่เบื้องหลังการโค่นอำนาจด้วยการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 จนกลาย เป็นการสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มคนที่ให้ความเคารพ นับถือผู้ถูกพาดพิงถึง

ป๋าเปรม-บิ๊กเสือร่วมงานวันสัญญา

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 5 เม.ย. ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ได้จัดงานวันสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2552 ทั้งนี้ในช่วงเช้าได้มีการจัดพิธีทางสงฆ์ โดยมีบุคคลสำคัญเข้าร่วมงานจำนวนมาก อาทิ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ องคมนตรี นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด และประธานกองทุนศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน มีนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะ นิติศาสตร์ คอยให้การต้อนรับ

รปภ.เข้มหวั่นเกิดเหตุวุ่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการจัดงานดังกล่าว ได้มีการขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งตำรวจจราจรและตำรวจสายตรวจจาก สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มาคอยรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดกว่า 200 นาย ขณะเดียวกันได้มีการประสานขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด นำเครื่องตรวจวัตถุระเบิดแบบสแกน คอยตรวจผู้เข้าร่วมงานอย่างละเอียด โดยในช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ได้ใช้ เครื่องสแกนไปตามพุ่มไม้ เพื่อป้องกันการวางวัตถุระเบิดหรือสิ่งแปลกปลอม แต่ตลอดระยะเวลาการจัดงานไม่มีเหตุผิดปกติใดๆเกิดขึ้น

ป๋าเปรมอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

จากนั้นเวลา 09.05 น. พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เดินทางมาเป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มดอกไม้สักการะอนุสาวรีย์ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ ท่ามกลางการอารักขาของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่าสิบนาย โดยมี พล.อ. พิจิตร นายสุเมธ นายสมคิด และนายอักขราทร คอยต้อนรับ โดย พล.อ.เปรมได้ทักทาย พล.อ.พิจิตรและนายอักขราทร ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อน เมื่อวางพานพุ่มเสร็จแล้ว พล.อ. พิจิตรได้เดินมาส่งและพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับ พล.อ. เปรมจนถึงที่รถ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มอบหมายให้นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนวางพานพุ่ม และนายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทน ราษฎร เป็นตัวแทนฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรวางพานพุ่ม

ชี้แยกคนดี-เลวไม่เห็นยาก

จากนั้น พล.อ.เปรมให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าคนไทยน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ จะผ่านพ้นวิกฤติช่วงนี้แน่นอน เมื่อถามว่าปัญหาขณะนี้เกิดขึ้น เพราะแยกไม่ออกระหว่างคนดีกับคนไม่ดีหรือไม่ พล.อ.เปรมย้อนถามกลับว่าทำไมล่ะ ไม่เห็นแยกยากตรงไหนเลย แยกได้ก็ได้ประโยชน์มาก

ย้ำพูดหมดแล้วที่ถูกกล่าวหา

เมื่อถามย้ำว่า ท่านก็เป็นคนดี แต่มีความพยายามที่จะพาดพิง พล.อ.เปรมตอบว่า ไม่เป็นไร ก็ยังเป็นอยู่อย่างเดิม เมื่อถามว่า จะทำให้สังคมตื่นตัวในเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.เปรมตอบว่า เขาตื่นกันแล้วมั้ง เขารู้จักแยกความดีกับความไม่ดี เมื่อถามว่า วันที่ 8-10 เม.ย.นี้ กลุ่มเสื้อแดงประกาศจะสู้ถึงขั้นแตกหัก เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เป็นห่วงหรือไม่ พล.อ.เปรมตอบว่า ไม่ทราบเรื่องนี้ เมื่อถามว่ากลุ่มเสื้อแดงระบุว่าท่านอยู่เบื้องหลังทั้งหมด อยากให้ท่านชี้แจง พล.อ.เปรมตอบว่า ไม่พูดแล้ว พูดหมดแล้ว เมื่อถามว่าสิ่งที่ท่านชี้แจงคนยังไม่รับรู้ในวงกว้าง พล.อ.เปรมย้อนถามว่า กว้างแค่ไหน ไม่ทราบ แต่ได้พูดไปหมดแล้ว

ย้อนถามคนกลางเป็นใคร

ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งที่ได้รับรู้คิดว่าจะผ่านพ้นวิกฤติที่เกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.เปรมตอบว่า ไม่ทราบ เพราะไม่รู้ เมื่อถามว่า ความรุนแรงจะเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะมีความพยายามจะปลุกคน พล.อ.เปรมกล่าวว่า ไม่วิจารณ์เรื่องนี้ เมื่อถามว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองอยากจะให้สติคนไทยอย่างไร พล.อ.เปรมตอบว่า ให้ไปเรื่อย ให้ไปตลอดเวลาในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงบอกว่าให้คนไทยต้องรักสามัคคีกัน และต้องดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ขอให้น้อมนำเอาพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปปฏิบัติและทุกอย่างก็จะเรียบร้อย เมื่อถามว่า มีการเสนอให้นำคนกลางมายุติปัญหาคือ นายสุเมธ พล.อ.เปรมตอบว่า ไม่รู้ ไม่รู้ จากนั้น พล.อ.เปรมได้หัวเราะ แล้วหันไปหานายสุเมธที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับกล่าวว่า ให้ไปถามเขาซิ เมื่อถามย้ำว่าสถานการณ์ขณะนี้ หากมีคนกลางมาไกล่เกลี่ย จะทำให้พ้นวิกฤติหรือไม่ พล.อ.เปรมตอบว่าคนกลางคือใคร ความจริงตนไม่คิดว่าคนไทยจะไม่รักกัน

ไม่ต้องเตรียมรับมือเสื้อแดง

เมื่อถามว่า เกิดอะไร ทำไมความขัดแย้งจึงรุนแรงขึ้น พล.อ.เปรมตอบว่า ไม่ทราบ สื่อทราบดีกว่าตนอีก เมื่อถามว่า ใส่ใจกับกลุ่มเสื้อแดงที่โจมตีท่านหรือไม่ พล.อ.เปรมตอบว่า ไม่ได้ฟัง เมื่อถามต่อว่ากลุ่มเสื้อแดงจะไปปิดล้อมที่บ้านสี่เสาเทเวศร์เตรียมรับมือหรือไม่ พล.อ.เปรมตอบว่า ไม่ต้องเตรียมอะไรเลย เมื่อถามว่าจะอยู่ในบ้านสี่เสาเทเวศร์ใช่หรือไม่ พล.อ.เปรมตอบว่า มีบ้านหลังเดียว

โยนบางเรื่องสื่อรู้ดีกว่า

เมื่อถามว่า พล.อ.พิจิตรเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่จงรักภักดี มองอย่างไร พล.อ.เปรมตอบว่า ไม่รู้ แต่สิ่งที่ พล.อ.พิจิตรพูดก็ต้องไปถาม พล.อ.พิจิตร เมื่อถามว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณโจมตีท่านกับ พล.อ.สุรยุทธ์ มีเป้าหมายไปไกลกว่านั้นหรือไม่ พล.อ.เปรมตอบว่า สื่อรู้ดีกว่าตน ไม่ได้สนใจว่าคุณทักษิณพูดว่าอะไร เพราะบอกหลายครั้งว่าไม่ค่อยได้ฟังด้วยซ้ำไป เมื่อถามว่าการมุ่งโจมตีบุคคลรอบตัวพระมหากษัตริย์ จะทำให้บั่นทอนสถาบันหรือไม่ พล.อ.เปรมพยักหน้าและตอบว่า น่าจะเป็นเมื่อถามว่า จะป้องกันอย่างไร พล.อ.เปรมตอบว่า ก็อย่าพูดสิ เมื่อถามย้ำว่าหวั่นไหวหรือไม่ในวันที่ 8 เม.ย. พล.อ.เปรมตอบด้วยรอยยิ้มที่มุมปากว่า วันนั้นไม่ไปไหนหรอก

สุเมธปฏิเสธเป็นคนกลาง

ด้านนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา บุคคลที่ทางพรรคเพื่อไทยระบุว่า อยากให้เป็นคนกลางมาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยยุติความขัดแย้งทางการเมืองว่า ทำงานและอยู่เฉยๆ เมื่อถามว่า มีคนมาทาบทามหรือยัง นายสุเมธตอบว่า ยังไม่รู้ เพิ่งมางานนี้ เมื่อถามว่า จะเป็นเรื่องดีหรือไม่หากเป็นคนกลางแล้วปัญหาจะยุติได้ นายสุเมธตอบว่า ทำไมบ้านเมืองต้องเป็นซ้าย ต้องเป็นขวา ต้องเป็นกลาง ไม่เข้าใจ ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อถามว่า บ้านเมืองจะไปอย่างไรต่อไป นายสุเมธตอบว่า ไม่รู้ซิ แต่สื่อน่าจะหาทางออกได้ ฝากไว้ด้วย เมื่อถามว่า เป็นห่วงสถานการณ์อย่างไร นายสุเมธตอบว่า ในฐานะที่เป็นคนไทยก็เป็นห่วงบ้านห่วงเมืองทั้งนั้น ไม่มีคนไหนหรอกที่ไม่ห่วง เมื่อถามว่า ทางออกในขณะนี้ควรเป็นอย่างไร นายสุเมธตอบว่า ให้นึกถึงประโยชน์ของบ้านเมืองอยู่ตรงไหน เมื่อถามว่า หากมีคนติดต่อให้เป็นคนกลางจะสนใจหรือไม่ นายสุเมธตอบว่า ไม่เอา

เชื่อแก้ปัญหาได้ด้วยการเจรจา

ผู้สื่อข่าวถามว่า ท่านควรจะหาทางออกด้วยการไปหารือกับสายศาล แบบที่ พล.อ.สุรยุทธ์เคยไปปรึกษากับศาล เพื่อแก้ไขปัญหาประเทศมาก่อนหรือไม่ นายสุเมธตอบว่า ไม่ทราบ ต้องไปถาม พล.อ.สุรยุทธ์เอง อย่างไรก็ตาม การเจรจาถือว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครมาทาบทามให้ ไปเป็นคนกลางดังกล่าว ซึ่งตนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเดี๋ยวนี้บ้านเมืองถึงแบ่งเป็นซ้าย เป็นขวาแบบนี้ เมื่อถามว่า หากมีการทาบทามจริงจะรับเป็นคนกลางหรือไม่ นายสุเมธส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวว่า ไม่รู้ สื่อนั่นแหละต้องทำหน้าที่เป็นคนกลาง เรื่องนี้ก็ได้ยินจากสื่อนั่นแหละ

ชัช ชลวรรับรางวัลนัก ก.ม.ดีเด่น

ต่อมาเมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมสัมมนา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา กองทุนศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ และมูลนิธินิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดพิธีมอบรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2552 โดย นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ในฐานะประธานกองทุนศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ กล่าวรายงานและเชิญ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ประธานในพิธีมอบรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2552 แก่นักกฎหมายดีเด่นคือ นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนักศึกษากฎหมายดีเด่นคือ น.ส.อชิรญาณ์ จันทร์พูล นิติศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 2 เมื่อปี 2550 โดย พล.อ.เปรมกล่าวยินดีกับผู้ได้รับรางวัลว่า ขอขอบคุณนายอักขราทรที่เชิญ มาในพิธีอันมีเกียรติและสำคัญ การยกย่องคนดีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน การที่กองทุนสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้ยกย่องคนดีให้ปรากฏทุกปี ปีละ 2 คน เป็นเวลา 10 ปีมาแล้ว เป็นการกระทำหน้าที่ของคนไทยที่น่าจะได้รับการยกย่องส่งเสริม เป็นการตอบแทนบุญคุณประเทศที่ยิ่งใหญ่

ย้ำพระบรมราโชวาทกีดกันคนไม่ดี

พล.อ.เปรมกล่าวว่า ประเทศของเราถ้ามีคนดีเพิ่มขึ้น คนไม่ดีก็น่าจะลดลง พระบรมราโชวาทของพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ว่า ให้ยกย่องส่งเสริมคนดีให้มาดูแลบ้านเมือง และกีดกันคนไม่ดีไม่ให้เข้ามายุ่งหรือเกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมือง หรือกิจการที่สำคัญๆ ขอแสดงความยินดีกับนายชัช ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทุกคนรู้จักดี และเป็นที่ไว้วางใจของคนไทย ส่วน น.ส.อชิรญาณ์ทำงานที่ศาลปกครอง ก็เป็นคนที่ควรยกย่องส่งเสริมเหมือนกัน ขอพระสยามเทวาธิราชปกป้องทั้ง 2 คน ให้คงความดีตลอดไปและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนอื่นๆ และหวังว่าพิธีมอบรางวัลในครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้องค์กรอื่นๆกระทำตาม เพื่อส่งเสริมคนดีของชาติบ้านเมืองให้ได้รับการยกย่องมากยิ่งขึ้น

คุณธรรมนำสังคมก้าวหน้า

จากนั้น นายอักขราทรได้มอบรางวัลการประกวดเรียงความเรื่อง คุณธรรมและจริยธรรมนำสังคม กับท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ และกล่าวยินดีกับผู้ได้รับรางวัลว่า ขอแสดงความชื่นชมกับผู้ได้รับรางวัล ซึ่งเป็น การสืบสานต่อเจตนารมณ์ของอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ในเรื่องคุณธรรมจริยธรรมที่ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ สังคมเดินไปได้อย่างมีดุลยภาพ ภราดรภาพ โดยเฉพาะสังคมในปัจจุบันนี้ ซึ่งโครงการจัดประกวดเรียงความเป็นการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เดินตามแนวทางอาจารย์ สัญญา ซึ่งเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในทุกด้านและยังได้รับการยกย่องเชิดชูให้เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับคนรุ่นหลัง ที่จะสืบสานต่อเจตนารมณ์

สุจิตลั่นต้องคงสถาบันไว้

ต่อมาเวลา 11.00 น. นายสุจิต บุญบงการ ประธานสภาพัฒนาการเมือง กล่าวปาฐกถาสัญญา ธรรมศักดิ์ ครั้งที่ 5 เรื่อง ปัญหาและแนวทางของการเมืองไทยภายหลังวิกฤติว่า ปัญหาวิกฤติในปัจจุบันจะยุติเมื่อไหร่ ตนก็ไม่ทราบ หลายคนตั้งคำถามว่า จะยุติในวันสองวันหรือจะบานปลาย การที่มีวิกฤติแสดงว่าบ้านเมืองมีปัญหาต้องมีการแก้ไข หลายคนบอกต้องปฏิรูป แต่ไม่ว่าจะปฏิรูปการเมืองอย่างไร ก็ต้องอยู่ในกรอบระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คงไม่ต้องอธิบายว่าทำไมระบอบนี้เหมาะกับประเทศไทย อยากให้มองประเทศอื่นที่ปกครองระบอบนี้ ก็มีประชาธิปไตยที่มั่นคง ประเทศเจริญก้าวหน้า และประเทศเหล่านี้ก็พยายามรักษาสถาบัน แสดงว่าสถาบันอยู่คู่กับประชาธิปไตยได้โดยไม่มีความขัดแย้ง อย่างอังกฤษ เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน สเปน ญี่ปุ่น ดังนั้น ต้องหันมามามองว่าประเทศไทยจะปฏิรูปอย่างไร จากที่มีปัญหาคาราคาซังตั้งแต่ 2475 เป็นต้นมา ซึ่งใหญ่และซับซ้อน ครอบคลุมทั้งประเด็นโครงสร้างได้แก่สถาบันการเมืองคือ ฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ราชการ ระบบการเลือกตั้ง รวมไปถึงค่านิยม วัฒนธรรมทางการเมือง ทัศนคติ จิตสำนึกประชาชน และจริยธรรมคุณธรรมของผู้นำทางการเมือง นักการเมือง ข้าราชการ เศรษฐกิจและสังคม ที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งคงต้องพูดกันเป็นปี

การชุมนุมไม่ทำให้ ปชช.เข้มแข็ง

นายสุจิตกล่าวอีกว่า ประเด็นที่ต้องคิดถึงในการพัฒนาการเมืองในอนาคตคือ การสร้างความเข้มแข็งและตระหนักในความเป็นพลเมือง ให้กับประชาชน การสร้างการเมืองภาคพลเมืองให้เข้มแข็ง ปัจจุบันมีการชุมนุมประท้วงกว้างขวางไม่ว่าจะเสื้อสีไหน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังบ่งบอกไม่ได้ว่าคนไทยเข้มแข็งทางการเมือง แต่การสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองของประชาชนมีความสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัตน์ ส่งผลให้เรื่องต่างๆ ทะลักเข้ามาอย่างเสรี ปราศจากการจำกัด แนวคิดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งมีฐานมาจากความคิดค่านิยมประชาธิปไตยตะวันตกก็เข้ามาด้วย และยังทำให้มีการเคลื่อนย้ายทุนเสรี ระบบเศรษฐกิจเสรีพัฒนาต่อเนื่อง มีผลให้เกิดการยอมรับในสิทธิเสรีภาพของประชาชน มีรากฝังลึกในสังคมเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้

ตีความเรื่องเสรีภาพต่างกัน

นายสุจิตกล่าวว่า หลายประเทศให้ความสำคัญสิทธิเสรีภาพ แต่ตีความต่างกันว่าอะไรคือสิทธิ อะไรคือเสรีภาพ ประเทศในตะวันตกส่วนใหญ่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพอย่างกว้างขวาง ส่วนบางประเทศตีกรอบสิทธิเสรีภาพเคร่งครัด จึงไม่สามารถบอกได้ว่าความสมดุลที่ถูกควรอยู่ตรงไหน สังคมตะวันตกถือว่าสิทธิเสรีภาพมากับการเป็นมนุษย์ จะจำกัดได้คือภายใต้กฎหมาย แต่รัฐก็ไม่สามารถออกกฎหมายมาจำกัดทั้งหมดได้ ส่วนสังคมไทยมักยอมให้มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพมากกว่าตะวันตก แต่ปัจจุบันมีการยอมรับเรื่องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น แต่มีคนกังวลว่า สิทธิเสรีภาพ และความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ตรงไหน

ถ้า ปชช.เข้มแข็งไม่ถูกชี้นำง่าย

ในสภาพโลกาภิวัตน์ที่มีเสรี รวดเร็ว กว้างขวางของข้อมูลที่หลากหลายมาก ทั้งข้ามพรมแดน หรือหลั่งไหลในประเทศ ข้อมูลนี้มีทั้งข้อเท็จจริง ความเห็น คำวิจารณ์ หรือการบิดเบือนข้อมูลเพื่อประโยชน์ของบางกลุ่มบางพวก ปรากฏในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงระบบส่งข้อมูลข่าวสารผ่านอินเตอร์เน็ต โฟนอิน วีดิโอลิงก์ ทำให้มีความพยายามของคนบางกลุ่ม ทั้งในและนอกประเทศ ที่จะชักจูงให้คนคล้อยตามความคิดของตนด้วยหลายวิธีการ เช่น การตัดต่อเอาส่วนที่ตรงกับความต้องการของตนเองมาออก นอกจากนี้ การเสนอข้อมูลข่าวสาร ยังมีแบบตอกย้ำต่อเนื่อง ใช้ภาษาปลุกระดม ให้เหตุผลว่าเป็นสิทธิเสรีภาพการแสดง ออก การเคลื่อนไหวตามการชี้นำทำได้ ฉะนั้นการสร้างความเข้มแข้งจะทำให้ประชาชนแยกแยะข้อมูล เป็นตัวของตัวเองทางความคิดและการเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข ตรงนี้จึงต้องเสริมสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยอย่างเร่งด่วน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแก้กฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเรื่องการศึกษา ปรับปรุงหลักสูตร การใช้สื่อ เพื่อให้เข้าใจถึงความสมดุล ซึ่งอยู่ที่สังคมร่วมกันกำหนดนายสุจิตกล่าว

ลั่นต้องปรองดองบนความถูกต้อง

นายสุจิตกล่าวต่อว่า ถ้าประชาชนเข้มแข็งก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ความสมดุลจะอยู่ตรงไหน จึงต้องพัฒนาประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ไม่ให้อยู่ภายใต้ผู้นำที่ชักจูงไปทางใดก็ได้ และต้องเปิดให้ประชาชนมีช่องทางเรียกร้อง เปิดโอกาสให้ตัดสินใจทางการเมือง สร้างสำนึกคุณค่าพลเมืองที่ตนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย การใช้สิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่บนการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของผู้นำ หรือเงินไม่มากาไม่เป็น ความขัดแย้งในขณะนี้ คงปล่อยให้วิกฤติยืดไปมากกว่านี้ไม่ได้ หลายคนมองถึงการสร้างความสมานฉันท์ คิดว่าทำได้ แต่ต้องตั้งอยู่บนรากฐานความถูกต้อง ไม่ใช่สร้างความปรองดองบนความไม่ถูกต้อง การปฏิรูปการเมืองเป็นเรื่องยากมาก แต่ปฏิวัติง่าย เพราะปฏิรูปการเมืองต้องอาศัยความรอมชอมจากทุกฝ่าย แต่ก็ต้องทำไม่เช่นนั้นจะติดวัฏจักรอันเลวร้ายแบบนี้ และขอให้ คนที่รักชาติบ้านเมืองช่วยกันขบคิดหาทางออกให้ประเทศ

ไม่เชื่อจะรุนแรงเท่า 6 ตุลาฯ

จากนั้น นายสุจิตให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ได้อยู่สถาบันพระปกเกล้า เพียงแต่เป็นมติของสถาบันพระปกเกล้า ให้ทำหน้าที่ปฏิรูปการเมือง ก็รับปาก เพราะเห็นแก่ชาติบ้านเมือง ส่วนสถาบันจะมีการประชุมเพื่อทบทวนการตัดสินใจเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของสถาบัน ดังนั้นจะเดินหน้าต่อ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสถาบัน คิดว่าคณะกรรมการอิสระปฏิรูปการเมืองจะสามารถเป็นทางออกให้กับบ้านเมืองในขณะนี้ได้ ถ้าทุกคนยอมรับฟังบ้าง เพราะความจริงก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง และเชื่อว่าเหตุการณ์ขณะนี้ไม่น่าจะรุนแรง ซ้ำรอยกับ 6 ตุลา 2519 เพราะบริบทของเหตุการณ์ ก็ไม่น่าจะเหมือนกัน

ชี้ไม่มีระบบขุนนางมีแต่ ขรก.

เมื่อถามต่อว่า มองอย่างไรที่มีการนำคำว่าอำมาตยาธิปไตยมาใช้ นายสุจิตตอบว่า เป็นการใช้ผิดมาตลอด ความจริงแล้วคำว่า อำมาตยาธิปไตยแปลมาจากภาษาอังกฤษ ที่ว่า bureaucratic polity ที่มีอาจารย์ฝรั่งมาศึกษาการเมืองไทยในช่วงที่ทหารเป็นรัฐบาล สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร ว่าเมืองไทยปกครองโดยระบอบราชการเป็นใหญ่ จึงใช้คำนี้ แล้วนักวิชาการมาแปล แต่แปลว่าเป็นการเมืองระบบราชการ ก็จืดๆ จึงมีคนเสนอให้ใช้อำมาตยาธิปไตย หวือหวาดี แต่พวกประท้วงรุ่นหลังบอกว่า เป็นการเมืองของคนชั้นสูง ของขุนนาง มันไม่มีแล้วในสังคมไทย ยืนยันว่าไม่มีขุนนาง คำว่าอำมาตย์หมายถึงข้าราชการ

ยันไม่นิรโทษกรรมกับคนหนีคดี

เมื่อถามถึงรูปธรรมของการปรองดองของคนในสังคม นายสุจิตตอบว่า ต้องเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ส่วนที่จะให้นิรโทษกรรมและเอากฎหมายปรองดองแห่ง ชาติมาใช้นั้น ไม่รู้จะนิรโทษกรรมใคร ถ้าถูกลงโทษแล้วยังหลบหนีอยู่ สมควรที่จะให้นิรโทษกรรมหรือไม่ ในความรู้สึกของตน ทำไม่ได้ ส่วนความพยายามจะเสนอกฎหมายเพื่อการนิรโทษกรรม ขอถามว่ากฎหมายจะย้อนหลังได้อย่างไร เพราะถ้าทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่ากระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาไม่ถูกต้อง การนิรโทษกรรมมักจะให้กับคนที่ไม่หลบหนี ดังนั้น ต้องไปถามคนที่เคลื่อนไหวว่าทำเพื่ออะไร กลุ่มดังกล่าวไม่ได้บอกว่าจะเคลื่อนไหวเพื่อปรองดอง

กลุ่มรัก ป๋าออกโรงต้านแดง

จากนั้นตลอดวันก็มีกลุ่มคนออกมาแสดงพลังปกป้อง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษกันอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 13.30 น. นายประจักษ์ อ่อนรักษ์ อายุ 49 ปี ผู้ประสานงานคนรักแผ่นดินเกิด นำชาว จ.สงขลา ประมาณ 20 คนเดินทางไปที่หน้าบ้าน สี่เสาเทเวศร์ เพื่อให้กำลังใจ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พร้อมแจกแถลงการณ์ฉบับที่ 3 เรื่อง รวมพลังปกป้องสถาบันหลักของชาติ เชิญชวนให้ประชาชนไปชุมนุมหน้าบ้านในวันที่ 8 เม.ย. เพื่อต่อต้านกลุ่มเสื้อแดง เช่นเดียวกับที่บริเวณหน้าอนุสาวรีย์ ท้าวสุรนารี เขตเทศบาลนครนครราชสีมา จ.นครราชสีมา นายประทีป ณ นคร แกนนำกลุ่มนักรบเมืองย่า และนายวีคม แพงไธสง ตัวแทนกลุ่มสามล้อโคราชรักป๋าเปรมฯ นำกลุ่มคนกว่า 50 คน มารวมตัวกันถือป้ายให้กำลังใจ พล.อ.เปรม และป้ายประณามกลุ่มคนเสื้อแดงและอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้จาบจ้วงสถาบันและ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการกับกลุ่มคนเสื้อแดงและอดีตนายกฯทักษิณขั้นเด็ดขาดทันที ขณะเดียวกัน ได้นำหุ่นฟางพร้อมรูปภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ สวมเสื้อแดงมาเผา และแกนนำบางคนยังได้ใช้เท้าเหยียบรูปภาพ พ.ต.ท.ทักษิณอีกด้วย

แดงโคราชเดินหน้าไล่เผด็จการ

แต่อีกด้านหนึ่ง น.ส.ปภัสชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์ แกนนำกลุ่มคนของแผ่นดินลูกหลานย่าโม กล่าวว่า กลุ่มเสื้อแดงโคราชจะชุมนุมเปิดปราศรัยขับไล่รัฐบาลและ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ลานย่าโมไปจนถึงวันที่ 7 เม.ย. จากนั้นในวันที่ 8 เม.ย. กลุ่มเสื้อแดงโคราชจาก 32 อำเภอ จำนวน 2,000 คน จะเดินทางไปสมทบกับ นปช. ใน กทม. ซึ่งการเดินทางไปของคนเสื้อแดงโคราชครั้งนี้ จะเป็นการรวมพลครั้งใหญ่และไม่กลัวการสลายม็อบจากทหารและตำรวจ เพราะเราไปเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่เวลานี้ที่เป็นอยู่ ไม่ใช่ เพราะเป็นรัฐบาลที่อยู่ภายใต้ระบอบอำมาตยาธิปไตย และมีเผด็จการทหารครอบงำ

เจ๊หน่อยย้ำ ทักษิณจงรักภักดี

เย็นวันเดียวกัน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ถึงทางออกของปัญหาวิกฤติความขัดแย้งในบ้านเมืองขณะนี้ว่า ถ้าจะให้เกิดความสงบเรียบร้อยเกิดขึ้นในบ้านเมือง คงไม่ใช่แค่การยุบสภาฯอย่างเดียว เพราะรัฐบาลนี้เข้าสู่ อำนาจมาโดยการปล้นอำนาจประชาธิปไตย โดยการร่วมมือกับฝ่ายทหาร ดังนั้น ยังต้องมีอีกสองส่วนที่จะทำให้ประเทศ ชาติสามารถเดินต่อไปได้ คือทุกฝ่ายต้องหยุดแอบอ้างเอาสถาบันมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างกันอีก สำหรับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เท่าที่ตนได้ร่วมทำงานในรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ยืนยันได้ว่า ไม่เคยเห็นพฤติกรรมที่แสดงว่าไม่จงรักภักดี หรือต้องการล้มล้างสถาบันอย่างที่ถูกกล่าวหา ตรงกันข้ามเคยเห็นแต่ความพยายามของอดีตนายกฯที่พยายามจะทำงานรับใช้สนองพระราชดำริต่างๆ ซึ่งถ้า พ.ต.ท.ทักษิณคิดจะล้มล้างสถาบันจริง คงไม่ยอมทำงานด้วย

วอนทุกฝ่ายหยุดแอบอ้างสถาบัน

ทุกคนต้องสำนึกว่า ที่เรามีแผ่นดินได้อยู่อาศัยกันอย่างร่มเย็นเป็นสุขมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะประเทศไทยเรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรงเสียสละเพื่อบ้านเมือง เราก็คงเป็นคนหนึ่งที่จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายสถาบันอย่างเด็ดขาด ดังนั้น ต่อไปนี้ ถ้าใครมาอ้างสถาบันเพื่อจะทำลายล้างกันอีก พี่น้องประชาชนก็อย่าไปฟัง และเราเองก็คงไม่เลือกที่จะอยู่กับคนที่ไม่จงรักภักดี วันนี้พวกเราทุกคนต้องช่วยกันปกป้องสถาบันเอาไว้คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

ยุติธรรมต้องไม่เลือกข้าง

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวอีกว่า อีกประเด็นหนึ่งคือกระบวนการยุติธรรม ต้องกลับมาเป็นกระบวนการยุติธรรมที่ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายอย่างแท้จริง ไม่เลือกข้าง ไม่เลือกสี ถ้าตราบใดที่ยังมีการเลือกปฏิบัติ ฝ่ายหนึ่งผิดตลอด อีกฝ่ายถูกตลอด ต่อให้มีการยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ ปัญหาก็ยังไม่จบ ดังนั้น ถึงเวลาที่กระบวนการยุติธรรมทุกส่วน รวมถึง ป.ป.ช. กกต. ตำรวจ หรืออัยการ ต้องหันมาเริ่มต้นใหม่ กระบวนการยุติธรรมต้องยุติธรรมจริงๆ โดยยึดหลักกฎหมาย ความถูกต้องและข้อเท็จจริง ไม่ใช่ให้ฝ่ายหนึ่งถูกรังแกอยู่อย่างเดียว คงไม่ได้ พี่น้องประชาชนและสังคมทุกส่วน ต้องช่วยกันจับตาดูกระบวนการยุติธรรมเหมือนกัน ต่อไปจะมีการตั้งวงเสวนาเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมไทยต้องไม่เลือกข้าง

ลั่นไม่ร่วมวงพวกปล้น ปชต.

เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทยจะเปิดตัวพรรคอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 เม.ย.นี้ คุณหญิงสุดารัตน์ตอบว่า ตามที่มีกระแสข่าวปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ว่า ตนและ ส.ส.กทม.ของพรรคเพื่อไทยจะย้ายไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทยนั้น ไม่เป็นความจริง ขณะนี้ตนยังติดอยู่ระหว่างโทษเว้นวรรคการเมือง 5 ปี แต่ถึงแม้จะพ้นโทษเว้นวรรคทางการเมืองแล้ว ก็จะไม่เลือกที่จะไปยืนอยู่กับพรรคการเมืองที่ไม่รักษาประชาธิปไตยไปร่วมมือกับทหารปล้นอำนาจประชาธิปไตย ยิ่งตอนนี้มีกระแสข่าวว่าจะมีบิ๊กทหารไปเข้าร่วมกับพรรคดังกล่าว พวกตนยิ่งไม่ชอบ ไม่ต้องการไปอยู่กับพรรคไม่รักษาประชาธิปไตยที่ชอบเกาะท็อปบูตปล้นอำนาจประชาธิปไตยอย่างแน่นอน

โจมตี บิ๊กเสืออย่างหนัก

สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ปักหลักชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 แล้ว ปรากฏว่าตลอดช่วงเช้าที่บริเวณเวทีเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ เหล่าบรรดาแกนนำรวมทั้งกลุ่ม ส.ส.จากบ้านเลขที่ 111 พากันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนปราศรัยโจมตีการทำงานรัฐบาล รวมทั้งวิพากษ์วิจารณ์การออกมาให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี พร้อมกับเชิญชวนชาวเสื้อแดงทั่วประเทศมาร่วมชุมนุมในวันที่ 8 เม.ย.นี้ นอกจากนี้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. พร้อมด้วยหน่วยพยาบาล ออกเยี่ยมชาวเสื้อแดงตามเต็นท์ต่างๆ บริเวณรอบทำเนียบรัฐบาล พร้อมกับนำยาแก้หวัดแจกจ่ายให้กับผู้ชุมนุมที่ป่วย เนื่องจากก่อนหน้านี้ เกิดฝนตกลงมา ทำให้ผู้ชุมนุมหลายรายมีอาการป่วยบ้างแล้ว

เชิญชวน ปชช.ร่วมชุมนุม

จากนั้นในเวลา 10.10 น. นายณัฐวุฒิ ได้ให้สัมภาษณ์หลังเวทีถึงการออกเชิญชวนประชาชนให้มาชุมนุมในวันที่ 8 เม.ย. ว่าได้จัดชุดประชาสัมพันธ์เป็นรถแห่ออกกระจายไปทั่ว กทม.และปริมณฑล ตามตรอกซอกซอยต่างๆ โดยเริ่มที่ตลาดนัดสวนจตุจักรตั้งแต่บ่ายวันนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังมีชุดดาวกระจายออกเชิญชวนไปกับรถแห่อีกด้วย

จี้ สาทิตย์หาตัวกวนสัญญาณวิทยุ

นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้มีการแทรกแซงสัญญาณกระจายเสียงวิทยุชุมนุมของเครือข่ายชาวเสื้อแดง ถ้าหากมีความจำเป็นเราจะไปทวงถามเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารจากพรรคประชาธิปัตย์ และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ถ้าหากว่าเป็นคนดำเนินการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ขอให้แสดงความเป็นลูกผู้ชายออกมายอมรับแล้วคืนเสรีภาพดังเดิม ไม่เช่นนั้น นายสาทิตย์ที่ตัวเล็กอย่าหวังว่าจะหลบสายตาของเสื้อแดงไปได้ และหากมีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอีก การประชุมผู้นำอาเซียนบวก 3 ที่พัทยา ก็อย่าได้เข้าใจว่าจะทำได้โดยง่าย

โวมีหลายกลุ่มเข้าร่วมชุมนุม

แกนนำ นปช.กล่าวว่า ในวันที่ 8 เม.ย. จะเป็นวันประวัติศาสตร์อย่างแท้จริงของระบอบประชาธิปไตยในเมืองไทย เพราะได้รับการตอบรับจากคนเสื้อแดง และประชาชนส่วนอื่นโดยเฉพาะพลังเงียบ หรือคนเสื้อขาวได้ติดต่อขอเข้าร่วมชุมนุม รวมทั้งกลุ่มทนายความ ข้าราชการหลายหน่วยงาน หลายร้อยคนที่พร้อมจะหยุดงาน ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง รวมทั้งกลุ่มชาวนา โดยขอเชิญชวนประชาชนทุกกลุ่มออกมายืนโดยสงบเต็มท้องถนนราชดำเนิน เพื่อแสดงพลังสร้างประวัติศาสตร์โค่นอมาตย์สร้างประชาธิปไตย ขณะนี้อุปกรณ์ในการชุมนุมใหญ่พร้อมแล้ว รวมทั้งสรุปสถานการณ์ทุกวัน

ด่ากราดทีมโฆษก ปชป.อย่าโง่

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า อยากจะเรียกร้องให้วอร์รูมประชาธิปัตย์หรือทีมโฆษก ได้ใช้จิตสำนึกต่อสถานการณ์บ้านเมืองของนักการเมืองในการพูดถึงคนเสื้อแดง การที่ออกมาแสดงความเห็นว่า คนเสื้อแดงต้องการความวุ่นวายรุนแรงให้กับบ้านเมืองนั้น เป็นการสะท้อนความโง่ และเป็นการทำร้ายจิตใจพลังบริสุทธิ์ของประชาชน รวมทั้งการพูดพล่อยๆ เกี่ยวกับที่พำนักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในกัมพูชานั้น ต้องสำนึกว่าผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับไทย จนทำให้เกิดการปะทะกันเหมือนกับราดน้ำมันเข้ากองไฟ

ฟ้อง บิ๊กเสือทำนายใหญ่เสียหาย

แกนนำ นปช.กล่าวอีกว่า จากนี้ไปหวังว่าจะไม่มีใครออกมาพูดว่าการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการพยายามโค่นล้มสถาบันเบื้องสูงอีก เพราะว่ากรณีของ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ที่ออกมาวิจารณ์นั้น ฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะยื่นฟ้องตามสิทธิของกฎหมาย เพราะฉะนั้น ถ้าใครก็ตามยังเดินหน้าที่จะอ้างอิงสถาบันหาประโยชน์และทำลายความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง จะยิ่งสร้างความเสียหายให้กับประเทศมากกว่านี้ อย่าได้ดึงสถาบันเบื้องสูงลงมา ท่านอยู่เหนือการเมือง มีแต่คนที่อ้างอิงสถาบันเท่านั้นที่จะพ้นจากการเมืองโดยพลังของประชาชน

เผยรูปแบบการชุมนุมใหญ่

ผู้สื่อข่าวถามว่า รูปแบบการชุมนุมในวันที่ 8 เม.ย. จะเป็นอย่างไร นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เวทีหลักบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐยังคงอยู่ โดยผู้ชุมนุมที่เข้ามาจะชุมนุมต่อเนื่องยาวไปจนถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยในแต่ละช่วงจะมีการเชื่อมต่อระบบเครื่องเสียงให้ได้ยินอย่างทั่วถึง แล้วจะมีเวทีย่อย หรือเวทีเคลื่อนที่ให้แกนนำทั้งหลายกระจายตัวกัน เพื่อดูแลผู้ชุมนุมและควบคุมสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ส่วนกิจกรรมที่เป็นสาระหลักของการชุมนุม เช่น การประกาศข้อเรียกร้อง การกำหนดยกระดับความเข้มข้นของข้อเรียกร้อง จะมีการประกาศให้ทราบในวันนั้น แต่ยืนยันว่ามีมาตรการเตรียมไว้แล้ว

เผยเหตุไม่มีวีดิโอลิงค์ทุกวัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะวีดิโอลิงค์อีกหรือไม่ แกนนำ นปช.กล่าวว่า ขณะนี้มีคนวิจารณ์ว่า บางวันท่านก็วีดิโอลิงค์ และบางวันก็ไม่มี อาจจะมีคนไปเจรจาแล้วนั้น ขอยืนยันว่า ที่ท่านไม่ได้วีดิโอลิงค์ทุกวันเพราะท่านเดินทางบ่อยมาก และวีดิโอลิงค์แต่ละครั้งต้องมีการเตรียมการทางเทคนิค ฉะนั้นการวีดิโอลิงค์แต่ละวันต้องสัมพันธ์กับการเดินทางของท่านด้วย

แกนนำเสื้อแดงทำพิธีบวงสรวง

ต่อมาในช่วงบ่าย นายวีระ มุสิกพงศ์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ได้ร่วมกันทำพิธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราช พระพิฆเณศวร์ และองค์ท้าวจตุคามรามเทพ บริเวณประตู 2 หน้าทำเนียบฯ ซึ่งโต๊ะบวงสรวงและเครื่องสังเวยตั้งอยู่ตรงกับท้าวมหาพรหม บนหลังคาตึกไทยคู่ฟ้าหลังจากพราหมณ์ทำพิธีอ่านโองการอัญเชิญเทพพยดาฟ้าดินให้ปัดเป่าอุปสรรคและอำนวยพรการต่อสู้ให้ได้ชัยชนะ ได้นำข้าวตอกดอกไม้โปรยลงเครื่องสังเวย อีกส่วนหนึ่ง นำไปโปรยหน้าประตูทำเนียบฯ นายวีระได้ลั่นกลองเอาฤกษ์เอาชัย แต่ปรากฏว่าหลังพิธีเสร็จสิ้นลงไปประมาณ 1 ชั่วโมงท้องฟ้าที่มีแดดร้อนเปรี้ยง ได้มืดครึ้มลงและมีฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา พร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำรามเป็นระยะ ทำให้ผู้ชุมนุมที่อยู่กลางแจ้งต้องวิ่งหลบฝนกันจ้าละหวั่น

พระมหาโชว์ขึ้นเวทีจวก ปชป.

จากนั้นการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ที่ทำเนียบฯ แม้จะมีผู้ชุมนุมบางตาลงไปบ้างในบางช่วง แต่บนเวทีก็ยังคงมีแกนนำและแนวร่วมเสื้อแดง ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมากล่าวปราศรัยโจมตีรัฐบาลและองคมนตรีอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงหนึ่งนั้น พระมหาโชว์ ทัสสนีโย จากวัดชนะสงคราม ได้ขึ้นกล่าวบนเวทีปราศรัยว่าทหารและองคมนตรีไม่ทำหน้าที่ของตนเอง พูดอย่างแต่ทำอีกอย่าง เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองจนเกิดความวุ่นวาย ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ในเวลานี้เปรียบเหมือนเปรตจัดแถว แม้จะพยายามจัดระเบียบแต่จัดอย่างไรก็ทำไม่ได้ดี มีสูงมีต่ำไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย

ส่ง 5 ล้านบาทให้เสื้อแดง ตจว.

เวลา 17.00 น. นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย 2 แกนนำ นปช. ร่วมแถลงข่าวยืนยันความพร้อมในการจัดระดมพลใหญ่คนเสื้อแดงชุมนุมหน้าบ้านขับไล่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ออกจากตำแหน่ง ในวันที่ 8 เม.ย.ว่า ขณะนี้ได้จัดส่งเงินกองทุนค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางที่มีอยู่ กว่า 5 ล้านบาท ให้กลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดต่างๆเรียบร้อยแล้ว รอเพียงคน 3 แสนคนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เท่านั้น และคนเสื้อแดงจะไม่ยอมให้มีใครมาขัดขวางการไปบ้านสี่เสาเวศร์ครั้งนี้อย่างเด็ดขาด แม้ว่าคนเสื้อแดงจะไปอย่างสันติวิธีไม่คิดทำร้ายใคร แต่ถ้าใครมากีดขวางไม่ให้คนเสื้อแดงไปถึงหน้าบ้านสี่เสาฯ ยืนยันได้ว่ามีเรื่องแน่นอน และ พล.อ.เปรมจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด เหมือนเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2550 ที่ พล.อ.เปรมเป็นคนเร่งให้มีการปราบปรามประชาชนที่หน้าบ้านสี่เสาฯ

ปูดเนวินจัดทีมโจมตีป๋าหนก่อน

นายจตุพรกล่าวอีกว่า กรณีที่ นายเนวินพูดว่า ยอมทรยศทักษิณเพื่อประชาชนนั้น และใครหน้าไหนที่คิดจะล้มล้างสถาบัน ต้องข้ามศพนายเนวินไปก่อนนั้น เป็นการพูดเอาแต่ดีเข้าตัวเอง เพราะในการเดินขบวนไปหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์เมื่อปี 2550 รวมทั้งเอกสารในการโจมตี พล.อ.เปรมต่างๆ นายเนวินล้วนแต่เคยมีส่วนร่วมในการวางแผนและจัดทำมาตลอด

แม้วส่งทนายฟ้อง บิ๊กเสือ

นอกจากนี้ นายจตุพรยังกล่าวอีกว่า ในวันที่ 6 เม.ย. เวลา 11.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณได้มอบหมายให้นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล เป็นทนายส่วนตัวไปแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ที่ สน.พระราชวัง ในข้อหาหมิ่นประมาทว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่จงรักภักดี

แม้วมาตามนัดปัดอยู่เขมร

กระทั่งเวลาประมาณ 20.00 น. หลังจากที่นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.ขึ้นเวทีปราศรัยโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กับเหล่าบริวาร เรียกเสียงเฮจากผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงได้ตลอดแล้ว จนเวลาประมาณ 20.15 น. ทีมงานก็ได้ส่งสัญญาณวีดิโอลิงค์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มายังเวทีปราศรัย โดยอดีตนายกฯสวมเสื้อสเวตเตอร์ดำทับเสื้อยืดแดง ได้ทักทายกับผู้ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งได้เรียกเสียงเฮต้อนรับจากผู้ชุมนุมได้อย่างดังกึกก้อง และนายวีระ ได้กล่าวทักทายพร้อมเปิดประเด็นถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ที่ผู้ชุมนุมร้องต้อนรับดังลั่นเพราะสองสามวันที่ผ่านมามีการปล่อยข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณเสียชีวิต และข่าวที่ว่าอยู่ที่เขมร ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณยืนยันไม่ได้อยู่เขมรแน่นอน

ซัดเรียงตัวนายกฯจากท็อปบู๊ต

จากนั้น นายวีระได้เปิดโอกาสให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวปราศรัยกับผู้ชุมนุม ซึ่งอดีตนายกฯได้กล่าวปลุกระดม ให้คนทั่วประเทศออกมาชุมนุมกันในวันที่ 8 เม.ย.นี้ให้มากๆ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวหน้า ลูกหลานมีอนาคต พร้อมกันนี้ อดีตนายกฯที่ต้องหลุดจากอำนาจเพราะถูกทหารทำรัฐประหารได้กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำถึงการที่ยังมีพวกหัวเก่าต้องการให้ประเทศถอยหลัง ไม่เป็นประชาธิปไตย โดยเอ่ยชื่อเรียงตัวตั้งแต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯที่ไม่ได้มาจากเลือกตั้งถึง 8 ปี แต่อาศัย ส.ส.ปชป.ในสภาสนับสนุน ท่านที่สอง พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่อยากเป็นนายกฯ แต่ต้องรอให้มีปฏิวัติก่อน คนที่สาม พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ที่มีการเท้าความไปถึงเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2528 ที่มีเหตุการณ์ที่นัดแล้วไม่มาตามนัด โดยระบุว่า ที่จริงท่านเป็นกบฏ แต่โชคดีที่ได้เป็นองคมนตรี และอีกท่านคือนายอานันท์ ปันยารชุน ที่เป็นนายกฯที่มาจากการปฏิวัติ ซึ่งถือเป็นการเมืองย้อนยุค

โทษเหตุปฏิวัติทำการเมืองแย่

พ.ต.ท.ทักษิณยังกล่าวถึงการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ที่มีคุณภาพต้องไม่มีการซื้อเสียง แต่ที่ผ่านมามีการปฏิวัติทำให้การเมืองไม่ต่อเนื่อง ถึงเวลาก็ไปซื้อเสียง พร้อมยกตัวอย่างครั้งพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล เพราะเสนอนโยบายที่ประชาชนชอบ ไม่ได้ชอบเพราะให้เงิน โดยสมัยแรกพรรคไทยรักไทยส่ง ส.ส.หน้าใหม่ลงสมัคร ใช้เงินไม่ถึงล้านบาท แต่การส่ง ส.ส.รุ่นลายคราม อดีตรัฐมนตรี ใช้เงิน 10-20 ล้านบาท ดังนั้น เชื่อว่าประชาชนคิดเป็น เพราะถ้าจะไปทำงานให้เขา เขาไม่เอาตังค์ แต่เอาตังค์มาให้ก็ต้องเข้าไปหาตังค์

แฉกลวิธีใส่ร้ายไม่จงรักภักดี

อดีตนายกฯยังกล่าวถึงพฤติกรรมของพวกหัวเก่าที่ยึดติดแบบโบราณ นั่นคือการใช้ข้อกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี โดย ปชป.ใช้มาตั้งแต่ 2490 จนถึงวันนี้ก็ยังใช้องคมนตรีทั้งหลายผูกขาดความจงรักภักดี ทั้งที่คนไทยทุกคนจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวทุกคน แม้จะอยู่ไกลก็จงรักภักดีไม่น้อยกว่าคนอยู่ใกล้ โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้เบื้องพระยุคลบาท ดังนั้น ต้องเลิก อย่ากล่าวหาใคร วิธีการนี้มันเก่า รวมถึงวิธีการปิดข่าว ที่ใช้ตอนพฤษภาทมิฬ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าเรื่องสมัยทำเคเบิ้ลไอบีซีว่า ตอนนั้นมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งโทร.มาบอกว่า ข่าวในไทยถูกปิดหมดแล้ว แต่ซีเอ็นเอ็นทำข่าวให้คนไทยดู จนตนต้องติดตั้งตัวเชื่อมสัญญาณ ซึ่งวันรุ่งขึ้นมีคนโทร.เข้ามามากมาย จนต้องโทร.ไปบอกกับนายพลท่านนั้นว่า ขอปิดก่อนไม่งั้นแย่ ทั้งที่อยากเปิด เพราะโลกทุกวันนี้มีแต่ความจริง ต้องขอขอบคุณท่านสมัครที่ตั้งชื่อรายการความจริงวันนี้

พฤษภาทมิฬคนเต็มถนนเพราะปิดข่าว

ตอนหนึ่งของการปราศรัยผ่านระบบวีดิโอลิงค์ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวถึงช่วงพฤษภาทมิฬ ที่มีคนออกไปเต็มถนนราชดำเนินเพราะทหารสั่งปิดข่าว พร้อมเล่าเรื่องครั้งนั้นว่า ที่คนออกมามากมายเพราะใช้ระบบสื่อสารผ่านมือถือ และโฟนลิ้งค์ ที่ตอนนั้นทำอยู่แล้วมีคนแจ้งไปที่ศูนย์โฟนลิ้งค์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีภาษาไทย แต่ไม่รู้ใครที่ใส่คำว่า มิลิทารี่ คิลลิ่ง พีเพิ่ลทหารกำลังฆ่าประชาชน เท่านั้นแหละคนออกมากัน วันนี้ทหารทำเหมือนเดิมคือสกัดทุกอย่างปิดข่าว บิดเบือน กล่าวหาล้มราชบัลลังก์ แต่ปิดคนไทยที่อยากมีความเจริญไม่ได้

ย้ำชัดๆ ไม่คิดล้มสถาบัน

วันนี้ผมอยากจะเตือนผู้ที่โลภโกรธหลง ให้มีสมาธิหน่อย เพราะจะปัญญาเสื่อม พวกเรากำลังต่อสู้ด้วยสันติ ด้วยปัญญา และความห่วงใยอนาคตลูกหลาน ขอย้ำว่าเราไม่มีความคิดแม้แต่นิดเดียวว่าจะล้มล้างราชบังลังก์ก็เราจะล้มระบอบอำมาตยาธิปไตย ชัดๆนะครับ เราต้องการเอาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ชัดมั้ยครับ อย่าบิดเบือนพ.ต.ท.ทักษิณกล่าว และว่ามีการวิจัยว่าโลกข้างหน้าไม่ว่าผู้นำการเมือง นักธุรกิจ และผู้นำองค์กรทั้งหลาย หรือคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตได้ และมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ ไม่ใช่แค่จมอยู่หน้าจอ ตนได้ตอบว่าอนาคตประเทศไทย ต้องมีอนาคตที่ถูกต้อง และมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และนำประเทศไทยทันชาวโลก ไม่ใช่โกหกเขาแบบนี้ ขอย้ำอีกครั้งว่า วันนี้เรากำลังเดินทางมาถึงทางแยกที่ประชาธิปไตยต้องตัดสินใจแล้วว่า เราจะถอยหลังหรือเดินหน้า ตัวอย่างของประชาธิปไตยที่เดินหน้า คือตัวอย่างของช่วงที่ตนเป็นนายกฯ ช่วงนั้นยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง นำนโยบายต่างๆ นโยบายเศรษฐกิจมาใช้กับประชาชน สามารถทำให้ประชาชนอยู่อย่างมีความสุขได้

เสี้ยม ตร.ทหารต้องคิดเป็น

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวอีกว่า เศรษฐกิจวันนี้ น่าห่วง ตนไม่คิดว่าเศรษฐกิจวันนี้ง่ายที่จะแก้ ภายใต้ระบอบการเมืองที่เป็นอำมาตยาธิปไตยแบบนี้ เศรษฐกิจวันนี้จะแก้ได้ ต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่มีการแทรกแซงใดๆต่อระบบกระบวนการยุติธรรม หรือสองมาตรฐานแบบวันนี้ ถ้าทั่วโลกไม่เชื่อถือไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ถ้าเราเปลี่ยนแปลงในวันที่ 8 เม.ย. ให้เป็นประชาธิปไตย เศรษฐกิจจะแก้ง่าย ถ้าไม่มีใครแก้ ตนจะแก้

ขอย้ำวิธีคิด วิธีทำของคณะปัจจุบัน ไม่ว่ารัฐบาล หรือทหาร เหมือนตอนคอมมิวนิสต์เลย พี่น้องทหารทั้งหลาย อย่าให้ทหารใหญ่ชักจูง เพราะวันนี้ ทหารใหญ่ กำลังสนุกกับอำนาจ กับการเมืองที่ยอมทหาร วันนี้พี่น้องทหาร ตำรวจ โปรดเข้าใจว่าการต่อสู้ของเสื้อแดงและคนมีหัวใจสีแดงวันนี้ เป็นการต่อสู้เพื่อลูกหลานของเขาในอนาคต เพื่อเกียรติภูมิของประเทศไทย เป็นการสู้เพื่อรักษาไว้ในระบอบพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่มีความคิด ล้มล้างใดๆทั้งสิ้น บรรดาผู้ว่าฯองค์กรปกครองท้องถิ่น ท่านอย่าไปเชื่อคำสั่ง ต้องมีวิจารณญาณ จำไว้ว่า ผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนสูงสุด

ย้อน มาร์คเรื่องเงินเคย์แมน

นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลจะตรวจสอบเส้นทางการเงินที่เกาะเคย์แมนว่า ถ้าหาเจอจะเอามาให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ยืมฟรีๆ เอาแบ่งให้ใช้เลย เพราะมันไม่มี มันปล่อยข่าวแบบไม่มีสำนึก ขอให้ไปบอกอภิสิทธิ์ ให้ไปหาที่เคย์แมน อาจจะไปเจอเงินที่เลย์แมนฯ ฝากให้ใครก็ไม่รู้

เย้ย ป๋ากลัวการอภิปราย

จากนั้นอดีตนายกฯย้อนไปเล่าเรื่องเก่าว่า สมัยยุค พล.อ.เปรม 8 ปี ปฏิวัติ 3 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ มีเลือกตั้ง 3 ครั้ง มีการลดค่าเงินบาท และต่อมาก็เศรษฐกิจโต เหมือนไต้หวัน เกาหลี โตเหมือนกันหมด ตอนยุค พล.อ.เปรม ท่านกลัวการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พออภิปรายเมื่อไรท่านยุบสภาหนี มีครั้งหนึ่งมีคนเสนอให้อภิปรายไม่ไว้วางใจท่านอีกครั้ง ท่านก็ให้คนช่วยวิ่งกันถอนชื่อ ตนก็ถูกลูกท่านคนหนึ่ง ให้ไปขอให้ ส.ส.ถอนชื่อหน่อยเถอะ ท่านจำได้มั้ย คนที่ถอนชื่อคนสุดท้ายให้การอภิปรายจบไป ชื่อชัย ถอนตอนตี 5 เพราะมีการตกลงพิเศษ ฉะนั้นการเมืองที่เกิดขึ้นแบบนี้มาจากประชาธิปไตยที่อ่อนแอ เราจึงมีนักการเมืองอาชีพเยอะ วันนี้ประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลได้ ไม่ใช่เพราะประชาชนเลือกเสียงส่วนใหญ่ แต่เป็นรัฐบาลเพราะนักการเมืองที่หากินกับการเมือง ซื้อ ส.ส.เข้าไปจนได้เป็นนายกฯ นี่คือแบบฉบับของประชาธิปไตยที่ไม่แท้จริง รัฐธรรมนูญ 50 เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำลาย นักการเมืองโดยตรง

ขอให้ออกมาเยอะๆ เพื่อ ปชต.

ขอให้เรามาร่วมใจกัน วันที่ 8 เม.ย.นี้ พี่น้องที่อยู่ใน กทม.และจังหวัดใกล้เคียงขอให้เข้ามาใน กทม. มาแสดงพลัง เพราะพวกผู้ดีจิตใจสูง เราต้องการแสดงพลังให้รู้ว่า เราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง เราไม่อยากเห็น ถอยไปๆ แบบนี้ กำลังจะรวยก็จนอีกแล้ว เราอยากจะรวยจริงๆ ซักที ถ้าพี่น้องเอาประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับมาให้พี่น้อง แล้วใช้ผม ผมจะทำให้ดู แต่ถ้ามีคนอื่นทำได้ ผมก็จะขอเป็นคนสุดท้าย เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าไปเรียกร้องให้พี่น้องมาต่อสู้เพื่อผม ลูกหลานเรา เด็กไซเบอร์ เด็กเน็ต ทั้งหลาย สมัยก่อนนักศึกษาสนใจเรื่องการเมือง แต่ตอนนี้ ถ้าเรานอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น ถูกคนแก่ลากไป แต่อนาคตของเขาเป็นเรื่องสำคัญ เขาต้องโตมาในสังคมที่มีมาตรฐานเดียวกัน มีความยุติธรรม เปิดโอกาสให้คนไทย ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ว่าจะยากดีมีจนอดีตนายกฯกล่าว

ตีตุลาการภิวัตน์ทำไทยเสื่อม

นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังกล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมของไทยด้วยว่า ขณะนี้เหมือนมี 2 มาตรฐาน โดยระบุว่า ขบวนการตุลาการภิวัตน์ เป็นระบบที่สร้าง 2 มาตรฐานให้ประเทศไทยอย่างชัดเจน ทำให้ทั้งโลก ไม่สนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทยอีกแล้ว ขอร้องเถอะ เลิกใช้ได้แล้ว ใช้รอบแรกตอนจัดการกับตนและรัฐบาลไทยรักไทย รอบที่ 2 ตอนที่พลังประชาชนได้รับการเลือกตั้ง คุณสมัครมาเป็นนายกฯ สรุปแล้วตุลาการภิวัตน์ คือว่า จะเอาอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ก็จะทำแบบนี้ มีอะไรมั้ย มองไม่เห็นหัวประชาชน วันที่ 8 เม.ย.เป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยอีกครั้ง ว่าเรามาถึงทางแยกเราจะไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง หรือประชาธิปไตยที่จริงๆ แล้วคืออมาตยาธิปไตย เราต้องเลือก

โอดเป็นนายกฯ ที่ถูกแทรกแซง

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า มีเรื่องอีกเยอะแต่ไม่อยากเล่า ระหว่างที่เป็นนายกฯถูกแทรกแซงอย่างไร เพราะเป็นนายกฯ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 40 หรือฉบับประชาชน ยังไม่วายถูกแทรกแซง ทำงานยากมาก ถ้าไม่ใช่คนสไตล์ อย่างตน ยิ่งทำงานยาก ถึงเวลาแล้วการเมืองต้องเป็นการเมืองเพื่อประชาชนเท่านั้น ระบบถ่วงดุลตรวจสอบต้องเป็นระบบที่มาจากประชาชนด้วย ไม่ใช่คอยตั้งข้าราชการเกษียณให้มีอำนาจเหนือการเมือง ที่เราเห็นในองค์กรอิสระทั้งหลาย สุดท้ายก็มาแก้แค้นแบ่งพวกแบ่งฝ่ายกันมาก่อน มันไม่มีทางยุติหรอก โยนอำนาจกลับไปที่มือประชาชน เพราะฉะนั้นวันนี้ รัฐบาลนี้ไม่มีความชอบธรรมเลย เมื่อไม่มีความชอบธรรมโยนอำนาจให้ประชาชนตัดสิน ถ้าท่านมั่นใจท่านเป็นคนดีของป๋า ท่านอาจจะได้รับเลือกก็ได้ แต่ตนคิดว่าเสื้อแดงไม่เลือกอยู่แล้ว

ของดจ้อ 1 วันมาอีก 7 เม.ย.

ผมมีรายละเอียดอีกมากมายแต่ไม่อยากรบกวนเวลาของพี่น้อง ไม่ว่าตุลาการภิวัตน์ และการแทรกแซงรัฐบาล โดยอำมาตย์ทั้งหลาย แต่ขออย่างเดียวว่าวันที่ 8 เม.ย. เป็นวันสำคัญของเรา พาลูกพาหลานออกมาให้หมด พอกันทีการเมืองที่ล้าหลัง เลือกตั้งสองทีปฏิวัติทีหนึ่ง การเมืองที่นักการเมืองรวมแก๊งกัน 5-6 คน แล้วต่อรองได้ การเมืองที่นักการเมืองหากินอยู่กับงบประมาณแผ่นดิน พี่น้องเพื่อนข้าราชการทั้งหลาย วันที่ 8 เม.ย. อย่าสกัดประชาชนที่บริสุทธิ์ เพราะเขาต้องการแสดงสิทธิ์ประชาธิปไตย วันที่ 6 เม.ย.ผมขอพักวันหนึ่ง เพราะต้องเดินทาง แต่ไม่ใช่ไปเขมรแน่นอน วันที่ 7-8 เม.ย. พบกันใหม่พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว และทิ้งท้ายด้วยก่อนจะอำลาขอบคุณผู้มาชุมนุมว่า ขอให้ตนเองเป็นนายกฯ คนสุดท้ายที่เป็นเหยื่อของเผด็จการรัฐประหาร ระบอบสองมาตรฐาน และขอบคุณพี่น้องที่ต่างจังหวัด บางคนเตรียมตัวที่จะเดินทางแล้ว บางคนก็เตรียมที่จะเอารถปิกอัพเข้าเมือง แต่ก็มีข่าวว่า มีความพยายามที่จะสกัด จ้างหัวละ 60 บาท ให้มาแสดงพลังคัดค้าน ก็อย่าเชื่อฟังใครทั้งสิ้น ต้องเชื่อตัวเองถามตัวเองว่าจะอยู่ในประเทศไทยอย่างไรถึงมีความสุข

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker