หลังจากที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล มาตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้เป็นเวลาจะครบสัปดาห์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ส่งภาพและเสียงผ่านระบบวีดิโอลิงค์มาหาพลพรรคคนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 แล้ว ยิ่งก่อปฏิกิริยาให้กับผู้ถูกพาดพิง
เสื้อแดงสกัดประชุม ครม.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลถึงบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ที่ปักหลักล้อมทำเนียบรัฐบาลมาเป็นวันที่ 6 ว่า การชุมนุมในช่วงเช้าวันที่ 31 มี.ค. ผู้ชุมนุมกระจายกำลังอยู่บริเวณรอบทำเนียบฯ มากกว่าทุกวัน เนื่องจากเป็นวันประชุม ครม. จึงมีการระดมคนมาชุมนุมเพื่อสกัดไม่ให้นายกรัฐมนตรี และ ครม.เข้ามาประชุมภายในทำเนียบรัฐบาลได้ โดยตามประตูเข้าออกทำเนียบรัฐบาลทุกประตู กลุ่มผู้ชุมนุมนำรถบรรทุก 6 ล้อมาจอดขวางไว้ ส่วนที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ มีการนำรถแท็กซี่ และแผงรั้วเหล็กมาขวางสะพานไว้ ตลอดจนมีการปิดถนนตั้งแต่สี่แยกสวนมิสกวัน ถึงสะพานมัฆวานฯ เพื่อป้องกันไม่ให้นายกฯ และ ครม.ใช้เส้นทางดังกล่าวเข้าทำเนียบรัฐบาล ขณะที่บริเวณทางเข้าออก มีการตั้งกำลังร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มเสื้อแดงตรวจค้นบุคคลที่เข้าออกพื้นที่ชุมนุม ป้องกันมือที่สามเข้ามาก่อความวุ่นวาย ส่วนการรักษาความปลอดภัยภายในทำเนียบรัฐบาล ตำรวจและทหารจำนวนมากยังคงกระจายกำลังอยู่รอบพื้นที่ เพื่อรักษาความปลอดภัยตามปกติ
“เทพเทือก” กลับลำงดประชุม
ต่อมาเวลา 08.10 น. ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลประมาณ 1 กองร้อย เดินทางมาสับเปลี่ยนกำลังกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาล แต่ถูกผู้ชุมนุมสกัดไม่ให้เข้า เนื่องจากเกรงว่าจะมาเสริมกำลังเพื่อสลายการชุมนุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ใช้เวลาเจรจาประมาณ 5 นาที ผู้ชุมนุมจึงยินยอมให้ เจ้าหน้าที่ผ่านเข้าไป โดยไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น จนกระทั่งเวลา 08.30 น. หลังจากที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประกาศยกเลิกการประชุม ครม.ในวันที่ 31 มี.ค. ทำให้ผู้ชุมนุมเริ่มผ่อนคลายมาตรการรักษาความปลอดภัยลง และกระจายตัวไปนอนพักผ่อนตามจุดต่างๆ ส่วนข้าราชการทำเนียบรัฐบาล ได้เริ่มทยอยเดินเท้าเข้ามาทำงานกันตามปกติ
อ้างสถานการณ์ไม่เอื้อ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ประเมินสถานการณ์เป็นระยะๆ เนื่องจากช่วงเช้านี้มีกำหนดการเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อถวายพระพรและเห็นว่าสถานการณ์ ยังไม่เอื้ออำนวยที่จะจัดประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปประชุมจี 20 ในต่างประเทศ จึงตัดสินใจงดการประชุมคณะรัฐมนตรี เพราะไม่ต้องการให้มีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุม อีกทั้ง พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รายงานสถานการณ์ว่า จะนำพยานไปศาลแพ่ง เพราะศาลนัดไต่สวนกรณีสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีฟ้องศาล ขอความคุ้มครองฉุกเฉินเรื่องเปิดเส้นทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งจะติดตามรอฟังว่าศาลจะวินิจฉัยอย่างไรก่อน ทั้งนี้ ยืนยันจะดำเนินการทุกอย่างตามกฎหมาย หากผู้ชุมนุมไม่ยอม รัฐบาลก็จะหาทางเข้าไปทำงานให้ได้
เชื่อวางแผนไว้ล่วงหน้า
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่การชุมนุมลุกลามในต่างจังหวัด โดยมีการไปปิดล้อมศาลากลางจังหวัด นายสุเทพ ตอบว่า ไม่ใช่เป็นการลุกลาม แต่เป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะสร้างสถานการณ์ เชื่อว่าหากประชาชนได้ฟังข้อมูลรอบด้านก็จะเข้าใจ และยืนยันว่าจะไม่มีการทำตามข้อเสนอของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะทั้งหมดเป็นการเรียกร้องเพื่อตัวเอง ซึ่งเขาอาจคิดว่าแผนการของตัวเองสำเร็จ แต่ประชาชนเข้าใจว่าการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการสร้างความวุ่นวาย และตนไม่เชื่อว่าแผนของ พ.ต.ท.ทักษิณจะประสบความสำเร็จ เพราะประชาชนเริ่มเบื่อ แต่รัฐบาลก็จะติดตามการเคลื่อนไหวต่อไป แต่ก็ไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่ไหน ถ้าทราบก็จะตามตัวมาดำเนินคดี
ไม่ใช่แพ้แต่อยากให้สงบ
ทั้งนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยังให้สัมภาษณ์หลังการหารือกับ ผบช.น. ด้วยว่า การสั่ง งดประชุม ครม. จนดูเหมือนรัฐบาลแพ้กลุ่มคนเสื้อแดงยกแรก เพราะไม่สามารถเข้าร่วมประชุม ครม.ที่ทำเนียบรัฐบาลได้นั้น ไม่ใช่เรื่องเอาแพ้เอาชนะกัน แต่เป็นเรื่องของการรักษาบ้านเมือง ซึ่งรัฐบาลพยายามรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองโดยอาศัยกฎหมาย ขณะนี้มีผู้ชุมนุมชุมนุมอยู่ทุกถนนรอบๆ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งถ้าไม่ฝ่าฝืนกฎหมายจะไปผลักดันเขาก็ลำบาก ดังนั้นวิธีที่ทำได้ คือ ร้องศาลไต่สวนฉุกเฉิน
ยันไม่ยอมตกหลุมพราง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ นปช. ปิดล้อมทำเนียบฯ ทำให้รัฐบาลเข้าใจหัวอกรัฐบาลสมชายมากขึ้นหรือไม่ นายสุเทพตอบว่า ส่วนตัวไม่ได้ไปพิจารณาเรื่องเก่า แต่ดูเรื่องของรัฐบาลชุดนี้และมีหน้าที่ปฏิบัติก็ต้องทำไปตามหน้าที่ เมื่อถามว่า ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อจะกระทบการประชุม ครม.สัปดาห์หน้าหรือไม่ นายสุเทพ ตอบว่า ต้องคอยดูกันต่อไป ต้องค่อยๆ แก้ไปด้วยความอดทนอดกลั้น พยายามให้สถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเข้าใจดีว่าสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าไปตกหลุมบางฝ่ายบางพวกที่กำหนดเอาไว้ ก็จะทำให้บ้านเมืองเสียหาย ส่วนสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติใช้เวลากี่วันนั้น ก็ต้องดูไป ตนไม่ใช่หมอดูคงทำนายไม่ได้ แต่ รัฐบาลยืนยันจะดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อถามว่า ที่บอกว่าเกรงจะตกหลุมพรางของใครนั้น แสดงว่ามีสัญญาณบอกเหตุใช่หรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี ตอบว่า คิดว่าประชาชนและสื่อคงสังเกตเห็นว่า การดำเนินการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ประสานทั้งในและนอกสภา ซึ่งมีเป้าหมายเห็นชัดว่าพร้อมยั่วยุให้เกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้น แต่เราก็ระมัดระวัง ยิ้มสู้
ปลงแล้วหาก ตร.เกียร์ว่าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ วีดิโอลิงค์ พาดพิงถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ คิดว่าต้องการเสี้ยมให้มีปัญหากันหรือไม่ นายสุเทพตอบว่า หลายเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูด แม้แต่งานที่แอบอ้างทำไป เท่าที่รู้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ที่กล่าวหาทหารและองคมนตรี ก็ไม่ถูกต้อง แต่คนไม่รู้ฟังแล้วน่าเชื่อถือ ทั้งที่ไม่จริงทั้งสิ้น เมื่อถามว่า หลายฝ่ายมองว่า ทำไมตำรวจถึงทำอะไรล่าช้า เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คิดว่าเป็นการเกียร์ว่างหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะแสดงความเห็น เพียงแต่ยิ้มยิงฟันและพูดเพียงสั้นๆ พร้อมหัวเราะว่า “ปล่อยเหอะ”
“อภิสิทธิ์” ปูดมีบ่างยุให้รุนแรง
ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางเข้าร่วมประชุมจี-20 ที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักรว่า ช่วงที่ตนไม่อยู่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง จะทำหน้าที่รักษาการ และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับสถานการณ์และฝากไปถึงประชาชนทุกคนว่าขอให้สบายใจ เพราะรัฐบาลพร้อมที่จะดูแลความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ที่ผ่านมาการชุมนุมไม่ได้เป็นปัญหาถึงขั้นที่จะมีการฝ่าฝืนกฎหมาย ที่สำคัญเราทราบว่าบางฝ่ายต้องการให้เกิดความรุนแรงในช่วงนี้จนถึงก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมีความพยายามหลายอย่างเพื่อให้เกิดความตึงเครียดขึ้นมา เช่นเมื่อวันที่ 30 มี.ค.มีการพูดปล่อยข่าวว่าจะมีการสลายการชุมนุม จะมีการใช้กำลัง รวมถึงทหารจะเข้าไปทำร้ายประชาชน เชื่อว่าประชาชนทราบว่ารัฐบาลนี้ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา บริหารราชการแผ่นดินโดยการยอมรับการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน บริหารราชการแผ่นดินด้วยความอดทน อดกลั้น ดังนั้น ข่าวที่ปล่อยออกมาจนทำให้เกิดกระแสต่างๆนั้นอยากให้ประชาชนแยกแยะ เพราะสามารถดูจากประวัติการทำงานได้
รัฐบาลยึดหลัก ก.ม.ไม่หลงกล
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เราทราบด้วยซ้ำว่ามีความพยายามประสานไปถึงสื่อต่างประเทศ เพื่อให้มาคอยติดตามทำข่าวว่าจะมีการปะทะหรือความรุนแรง ดังนั้น รัฐบาลจะไม่ตกหลุมในการที่จะทำสิ่งนั้นให้เกิดขึ้น เพราะรู้ว่านั่นคือการทำร้ายบ้านเมืองมากที่สุดในช่วงที่มีการประชุมระหว่างประเทศ และเรากำลังเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมอาเซียนบวก 3 และบวก 6 รวมถึงเป็นช่วงที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจกำลังเดินหน้า ดังนั้น เราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของแนวทางการยั่วยุให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ขณะเดียวกันการชุมนุมที่มีผลกระทบใดๆต่อการปฏิบัติหน้าที่ รัฐบาลจะใช้แนวทางตามกฎหมาย ส่วนการปราศรัยในส่วนที่กระทบต่อความมั่นคง ขอยืนยันว่าไม่ได้ละเลย หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แน่นอน มีการรวบรวมหลักฐานและจะดูข้อกฎหมายเพื่อดำเนินการต่อไป
ย้ำทำผิด ก.ม.จัดการทันที
เมื่อถามถึงกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบางส่วนหลังการปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบฯนำเสื้อแดงมาสวมทับเครื่อง แบบ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า นายสุเทพกำลังตรวจสอบราย ละเอียดอยู่ จะถึงขั้นต้องให้พักราชการหรือไม่นั้น คงต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เมื่อถามว่า มีการเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาปกป้องสถาบันองคมนตรีมากขึ้นหลังถูกพาดพิง นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ขอย้ำว่ารัฐบาลได้พูดตลอดเวลาว่า ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะมีการพาดพิงไปถึงประธานฯ และองคมนตรี เพราะท่านไม่อยู่ในฐานะที่จะออกมาชี้แจงได้มากนัก และอย่างที่บอกอะไรที่กระทบกับกฎหมายความมั่นคง ขณะนี้กำลังรวบรวมหลักฐานต่างๆ และจะดำเนินการ ถ้าหากเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย
เชื่อกลับเข้าทำเนียบฯ ได้
เมื่อถามว่า แต่การที่รัฐบาลหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ทำให้ไม่สามารถเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบฯ ได้ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ขณะนี้ข้าราชการได้ไปร้องต่อศาลแล้ว ส่วนของตนในช่วงที่ผ่านมาไม่มีกำหนดการที่จะต้องเข้าไป ถ้ามีกำหนดการเชื่อว่าจะสามารถเข้าไปได้ และไม่เป็นไร ที่ม็อบจะประกาศชัยชนะ ใครจะประกาศอย่างไรก็ได้ ถ้าทำให้เขาสบายใจ ก็ให้เขาประกาศไป เพราะการชุมนุม ถ้าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็สามารถทำได้ แต่ในส่วนที่ส่งผลกระทบก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย และก็เชื่อว่าจะเข้าไปทำงานได้เมื่อกลับมาจากอังกฤษ
เย้ยไม่มีเหตุให้ต้องหนี
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง ประกาศบนเวทีว่า จะไม่ให้นายกรัฐมนตรี กลับเข้าประเทศ นายอภิสิทธิ์หัวเราะก่อนตอบว่า “คุณณัฐวุฒิคงไม่เข้าใจว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิ์กลับมาอยู่ในประเทศ และผมก็กลับมา ผมไม่หนีไปไหน ผมไม่มีอะไรต้องหนี” เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศจะกลับประเทศไทยและเป็นแกนนำหากมีการยิงหรือทำร้ายประชาชน นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ก็ควรจะกลับมานานแล้ว แต่ยืนยันว่ารัฐบาลนี้ไม่มีแนวคิดที่จะให้เจ้าหน้าที่ทำร้ายประชาชน
เร่งล็อบบี้ต่างชาติสกัด “ทักษิณ”
ต่อข้อถามว่า จนถึงวันนี้ทราบที่อยู่ของ พ.ต.ท. ทักษิณหรือยัง นายอภิสิทธิ์ตอบว่า มีกระแสอยู่บ้างและมีการ ดำเนินการทางการต่างประเทศอยู่ แต่ยืนยันว่าไม่ได้อยู่ใกล้กับประเทศไทย ส่วนการดำเนินการนั้น คิดว่าคงจะมีเหมือนกับก่อนหน้านี้ที่มีท่าทีที่ชัดเจนขึ้นในส่วนของฮ่องกง เมื่อถามว่าจุดนี้เกี่ยวข้องกับทางดูไบที่กระทรวงการต่างประเทศเตรียมส่งคณะไปเจรจาใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า ก็มีส่วน เพราะมีหลายช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณไปอยู่ที่นั่น และยืนยันรัฐบาลทำอยู่ตลอดไม่ได้ละเลย แต่ทุกอย่างที่ทำจะยึดกรอบของกฎหมาย
ทึ่ง “แม้ว” แฉเบื้องหลัง “กษิต”
เมื่อถามว่า ได้ฟังสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดถึงนาย กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า ได้อ่านจากข่าว เมื่อถามย้ำว่ารู้สึกอย่างไรที่มีการพูดถึงตัว รมว.ต่างประเทศอย่างนั้น นายกรัฐมนตรี เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า “ก็แปลกใจว่าคนเป็นนายกฯ ถ้าคิดว่ามีคนไม่เหมาะสมยังส่งไปอยู่ที่กรุงวอชิงตันและโตเกียวได้ ไม่น่าเชื่อ” เมื่อถามว่า คิดว่านายกษิตรับเงินจริงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ย้อนตอบว่า ไม่น่าเชื่อว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรีเห็นว่ามีคนที่ทำงานไม่ได้ ไม่เหมาะสม แล้วยังส่งไปอยู่ที่วอชิงตันและโตเกียว อันนี้น่าทึ่งที่สุด
เย้ยโฟนอินได้แต่ไร้ความสุข
ต่อข้อถามว่า จะดูแลในพื้นที่ต่างจังหวัดอย่างไร เพราะขณะนี้มีการชุมนุมตามศาลากลางจังหวัดต่างๆแล้ว นายอภิสิทธิ์ตอบว่า เจ้าหน้าที่ดูแลติดตามอยู่ เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ก็ไม่มีอะไร เมื่อถามว่าขณะนี้สังคมสับสนว่าทำไมรัฐบาลปล่อยให้นักโทษมาเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวขณะนี้ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า อย่างที่บอกว่าขณะนี้กำลังพยายามดำเนินการ แต่ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย รัฐบาลไม่มีสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมายปัญหาบ้านเมืองที่มาถึงวันนี้เพราะในอดีตมีรัฐบาลที่คิดว่าตัวเองอยู่เหนือกฎหมายได้ ดังนั้น วันนี้รัฐบาลต้องทำทุกอย่างอยู่ในกรอบของกฎหมาย และไม่คิดว่าการกระทำของ พ.ต.ท. ทักษิณ จะเป็นแบบอย่างได้ เพราะขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้มีความสุขอะไรดูจากภาพก็เห็น
สั่งฟัน ขรก.หนุนวีดิโอลิงค์
เมื่อถามว่า แสดงว่ารัฐบาลไม่มีสิทธิ์ตัดสัญญาณในการโฟนอินหรือวีดิโอลิงค์ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ขึ้นอยู่กับรายละเอียดทางเทคนิค ขณะนี้กำลังติดตามและมีความชัดเจนขึ้นมาระดับหนึ่ง เช่น ถ้าเป็นการส่งภาพขึ้นดาวเทียมแล้วส่งลงมาและการส่งสัญญาณทำในต่างประเทศกฎหมายก็ไปไม่ถึง อย่างไรก็ดี นายอภิสิทธิ์ ยังได้กล่าวอีกว่า ขณะนี้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำลังติดตามเรื่องกรณีมีข่าวว่าข้าราชการในกรมประชาสัมพันธ์มีส่วนช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณในการเชื่อมสัญญาณ ซึ่งขณะนี้ก็มีรายละเอียดเพิ่มเติมมากขึ้น
ชี้ถึงเวลาใช้ลูกเด็ดขาดก็ต้องทำ
จากนั้น นายอภิสิทธิ์พยายามตอบข้อซักถามของผู้สื่อข่าวในทุกประเด็น โดยพยายามย้ำตลอดว่า จะดำเนิน การทางกฎหมายกับผู้ที่กระทำผิดแน่นอน และทุกคดีมีความคืบหน้า พร้อมยกตัวอย่างคดีบุกยึดทำเนียบฯ ที่ผ่านมา และหากจำเป็นต้องใช้ความเด็ดขาดในการแก้ปัญหาก็ต้องทำ แต่ก็จะยังอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมกันนี้ ได้กล่าวตอบโต้กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวสมน้ำหน้ารัฐบาลว่าไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ หรือดำเนินการอะไรได้ทั้งที่เป็นรัฐบาลว่า ตนเดินหน้าทำงานตามปกติ ยืนยันว่าแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาที่เผชิญอยู่ ถ้าใจร้อน ผลีผลาม จะผิดพลาดซ้ำซาก เพราะการแก้ปัญหาได้ยั่งยืนนั้นต้องใช้เวลาและความอดทน แต่วิธีการต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของฝ่ายที่ต้องการทำลายเสถียรภาพและภาพลักษณ์ของประเทศและยังยืนยันด้วยว่ามั่นใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์ที่กลุ่มคนที่เคลื่อนไหวในตอนนี้จะโค่นล้มรัฐบาลได้
ผบช.น.อ้างทำตามขั้นตอน
เวลา 11.00 น. ที่ บช.น. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. ให้สัมภาษณ์ถึงการออกประกาศให้กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงยุติการชุมนุม เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่ผ่านมาว่า เป็นไปตามขั้นตอนของคำสั่งศาลปกครองที่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งพฤติกรรมการชุมนุมที่มีลักษณะขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี ในการเข้าไปปฏิบัติราชการภายในทำเนียบรัฐบาล ส่วนการโฟนอินผ่านระบบวีดิโอลิงค์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากการตรวจสอบยังไม่พบว่าเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง เป็นเพียงการหมิ่นประมาทตัวบุคคลเท่านั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง
สถานการณ์ยังไม่น่าห่วง
ด้าน พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น. ในฐานะโฆษก บช.น. กล่าวว่า จากการประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ขณะนี้ไม่น่าเป็นห่วง ยังเป็นไปด้วยความสงบ อีกทั้งรัฐบาลได้ประกาศยกเลิกการประชุม ครม. แต่ถึงอย่างไรตำรวจก็ยังตรึงกำลังในพื้นที่โดยรอบทำเนียบรัฐบาล พร้อมสืบสวนหาข่าวความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ส่วนการเตรียมพร้อมรับมือการชุมนุมของกลุ่ม “คนรักป๋าเปรม” ที่จะชุมนุมหน้ารัฐสภาช่วงบ่ายวันที่ 1 เม.ย.นั้น พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.สั่งการให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 จัดกำลังตำรวจเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ คงไม่มีปัญหา หรือการปะทะกันระหว่างกลุ่มคัดค้านแต่อย่างใด เพราะการชุมนุมของทั้งสองกลุ่มนั้นอยู่คนละที่
ห้าม ตร.ในเครื่องแบบใส่เสื้อแดง
นอกจากนี้ โฆษก บช.น ยังกล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายเข้าร่วมกับกลุ่มเสื้อแดง และเข้าคิวรอ รับแจกเสื้อแดงจากผู้ชุมนุมว่า เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ หากอยู่นอกเวลาราชการ และหากจะร่วมชุมนุมก็ต้องมานอกเวลาราชการ และนอกเครื่องแบบ หากมาในชุดเครื่องแบบจะไม่เหมาะสม และไม่สมควรอย่างยิ่ง เนื่องจากตำรวจต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมากจนเกินไป อย่างไรก็ตาม กองบัญชาการตำรวจนครบาลจะตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดใส่เครื่องแบบตำรวจเข้าไปร่วมชุมนุมดังกล่าวบ้าง จากนั้นจะส่งเรื่องไปยังผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยต่อไป
เร่งหาจุดส่งสัญญาณโฟนอิน
ขณะที่ พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผบช.ส.กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งตรวจสอบรายละเอียดและข้อกฎหมายว่า จะสามารถดำเนินการทางกฎหมาย รวมทั้งมาตรการทางศาลอย่างไรได้บ้างกับกรณีที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินเข้ามายังกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งยอมรับว่ามีเนื้อหาบางส่วนปลุกระดมมวลชน นอกจากนี้ ยังสั่งการให้หน่วยข่าวต่างประเทศตรวจสอบจุดโฟนอินของอดีตนายกรัฐมนตรีว่า เชื่อมสัญญาณมาจากประเทศใด และการโฟนอินดังกล่าวเป็นเทปหรือโฟนอินสด
ไอซีทีบ้อท่าสกัด “ทักษิณ”
ในวันเดียวกัน ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวถึงการโฟนอินผ่านระบบวีดิโอลิงค์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ากระทรวงไอซีที ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้เพราะเป็นการส่งสัญญาณผ่านระบบดาวเทียม ซึ่งก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นการเช่าดาวเทียมประเทศไหน ดังนั้น จนปัญญาเพราะจานดาวเทียมที่จะ รับสัญญาณมีจำนวนมาก โดยเฉพาะรถถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์ (โอบี) ที่อยู่รอบๆ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสามารถรับสัญญาณได้ ถ้าจะไม่ให้รับสัญญาณดาวเทียมก็คงต้องคว่ำจานดาวเทียมแทน แต่อย่างไรก็ตาม ไอซีที ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะในส่วนที่ถ่ายทอดผ่านระบบอินเตอร์เน็ตนั้น ได้ขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตทุกราย ไม่ให้มีการถ่ายทอดการโฟนอินผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ถ้ามี ก็ขอให้เอาออก ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากไอเอสพีเป็นอย่างดี ส่วนเว็บไซต์ของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น กระทรวงไอซีทีไม่ได้เข้าไปปิดกั้น ยกเว้นจะมีข้อความที่หมิ่นสถาบัน พระมหากษัตริย์เท่านั้น และการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เพราะรัฐบาลพยายามที่จะบอกให้ชาวโลกรับทราบว่าประเทศไทยว่าสงบแต่ก็ไม่สงบ ส่วนข้อความในการโฟนอินนั้น จริงหรือเท็จ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนฟัง
สปน.ร้องศาลสั่งม็อบเปิดทาง
ขณะที่ในเวลา 13.30 น. ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นายจาตุรงค์ ปัญญาดิลก รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ 3 แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ร่วมกันเป็นจำเลยฐานละเมิด พร้อมยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้จำเลยและกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาลเพื่อให้ข้าราชการเข้าทำงานได้ตามปกติ โดยคำร้องสรุปว่า โจทก์มีหน้าที่อำนวยการบริหารราชการในส่วนที่เกี่ยวกับทำเนียบรัฐบาล อันเป็นที่ทำการของผู้บริหารรัฐบาล จำเลยเป็นแกนนำกลุ่ม นปช.เคลื่อนไหว ต่อต้านรัฐบาล เมื่อวัน 26 มี.ค.ที่ผ่านมาจนปัจจุบัน พวกจำเลยได้ชุมนุมกันบริเวณถนนพิษณุโลกและราชดำเนิน อันเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการธุรการของทำเนียบรัฐบาล ไม่อาจเดินทางเข้าออกได้อย่างปกติสุข จึงขออำนาจศาลมีคำสั่งให้พวกจำเลยเปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้พวกโจทก์ปฏิบัติราชการได้ตามปกติ
วอนม็อบปล่อยรถเข้าทำเนียบฯ
ด้านนายนัที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่ สปน.ยื่นฟ้องกลุ่มผู้ชุมนุมที่ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลต่อศาลแพ่งว่า ได้มอบหมายให้นายจาตุรงค์ ปัญญาดิลก รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และนายมงคล แสงหิรัญ ผอ.สำนักกฎหมายและระเบียบกลาง ไปยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง โดยยืนยันว่า ทาง สปน.ได้ดำเนินการเช่นเดียวกับมาตรฐานที่เคยดำเนินการกับการชุมนุมของทางกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ผ่านมา ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ซึ่งเราต้องการร้องขอให้ศาลคุ้มครองสั่งให้ผู้ชุมนุมเปิดทางเข้าออกโดย อำนวยความสะดวกให้นำรถยนต์ผ่านออกได้ จากเดิมที่กลุ่มผู้ชุมนุมก็ปล่อยให้ข้าราชการเดินเท้าเข้าออกได้อยู่ แล้ว และการฟ้องต่อศาลแพ่งครั้งนี้ไม่มีการฟ้องเรียกค่าเสียหายอะไร เพราะขณะนี้ยังไม่มีทรัพย์สินของทางราชการเสียหายแต่อย่างใด
“สมชัย” ชี้ “แม้ว” ไม่ฉลาด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวัน นักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และบุคคลต่างๆ ได้ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์และวิเคราะห์สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดผ่านระบบวีดิโอลิงค์ เมื่อคืนวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยในช่วงเช้าวันเดียวกัน ที่ตึกเล็กสีขาว บ้านมนังคสิลา ถนน หลานหลวง มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย แถลงข่าวเรื่อง “ข้อเสนอมูลนิธิฯต่อการคลี่คลายวิกฤติการเมืองในปัจจุบัน” มี พล.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานมูลนิธิฯ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการมูลนิธิฯ และนายสกุล สื่อทรงธรรม กรรมการและเลขานุการมูลนิธิฯ ร่วมแถลง ข่าว โดยนายสมชัยกล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มเสื้อแดงและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดแนวรบทุกด้าน และเป็นศัตรูกับหลายฝ่ายพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นองคมนตรี ศาล องค์กรอิสระ รัฐบาล และกลุ่มพันธมิตรฯ ด้านหนึ่งอาจชี้ให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความกล้าเผชิญหน้า ไม่กลัวเกรงใคร แต่ในทางยุทธศาสตร์ไม่ใช่หนทางของคนฉลาดทำ เป็นการใช้ความคิดที่ผิด ส่วนเรื่องประเด็นการโจมตีองคมนตรี ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร เป็นการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง ปลุกเร้า เป็นประเด็นที่เปราะบางและเข้าใกล้สถาบันมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ ยังไม่ควรเปิดเผยหรือขยายประเด็นดังกล่าว
หวั่นมีการจ้างทำปฏิวัติ
นายสมชัยและ พล.อ.สายหยุดยังวิเคราะห์การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยว่าเป็นเพียงการสร้างกำลังใจให้ผู้ชุมนุมเท่านั้น ไม่ก่อให้เกิดการขยายแนวร่วม และคาดว่ากลุ่มเสื้อแดงจะพยายามเผด็จศึกให้สำเร็จภายในวันที่ 6 หรือ 10 เม.ย.นี้ เพราะจะติดเทศกาลสงกรานต์ ส่วนข้อเสนอให้รัฐบาลยุบสภา กลับไปใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 คงเป็นไปไม่ได้ในช่วงนี้ เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่อยู่ และหากจะมีการปฏิวัติรัฐประหารอีก ก็เพราะมีค่าจ้างในมูลค่ามหาศาล
“ชุมพล” ชี้อย่าต้อนคนจนมุม
ส่วนนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ที่พรรคชาติไทยพัฒนา ว่า พ.ต.ท. ทักษิณไม่ต้านรัฐบาลชุดนี้ เพราะไม่ได้ไปทำอะไรให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีแต่คนที่หนุนรัฐบาลชุดนี้ขึ้นมาที่ทำให้ เขาเดือดร้อน “คุณทักษิณเขาไม่ได้หมายถึงรัฐบาล แต่ หมายถึงคนที่หนุนรัฐบาลชุดนี้มา ดาบนั้นมันก็คืนสนองแล้ว” นายชุมพลกล่าวและว่า ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเป็นการครั้งสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ แต่ก็อยากฝากบอกทุกคนว่า บางครั้งคนเราทำอะไรก็ตามที อย่าต้อนคนให้จนมุม เพราะทำให้จนมุมเมื่อไร เมื่อนั้นเขาจะสู้ตาย ดังนั้น ทุกฝ่ายขอให้ร่วมมือกันให้เศรษฐกิจ บ้านเมืองไปรอด ให้เงินทองไหลเข้ามาเมืองไทย
ปชป.เชื่อ “ทักษิณ” หวังคืนอำนาจ
ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงผลการวิเคราะห์ของคณะทำงานติดตามสถานการณ์ทางการเมือง (วอร์รูม) พรรคประชาธิปัตย์ ว่าทางพรรคได้วิเคราะห์ว่าการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความชัดเจนมาก โดยการเอาชาติเป็นตัวประกัน เพื่อคืนอำนาจและผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเป้าหมายที่ระบุว่าต้องการแก้รัฐธรรมนูญ เรียกร้องให้มีการยุบสภา หรือการยื่น พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติเพื่อนิรโทษกรรม ทั้งหมดเป็นแค่พิธีกรรม แต่การกระทำและการเคลื่อนไหวกลับสอดรับการเคลื่อนไหวพรรคเพื่อไทย เช่น กรณีที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ ที่ระบุว่าจะมีเหตุ การณ์การนองเลือด หรือกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ออกมาระบุว่าจะซ้ำรอยเหตุการณ์ 6 ต.ค. 19 หรือแม้กระทั่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าจะนำมวลชนบุกกรุงเทพฯ แต่พรรคมั่นใจว่าประชาชนทั้งชาติ ไม่ว่าใส่เสื้อสีอะไรต่างไม่ต้องการเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก และมั่นใจว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีเงื่อนไข คือการสร้างเหตุเผชิญหน้าความรุนแรงขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้คุยกับพรรคว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงโดยเด็ดขาด หากสถานการณ์ความรุนแรงนั้นอาจเกิดจากกลุ่มผู้ชุมนุมก่อขึ้นเอง
พท.ดักคอกองทัพจ่อสลายม็อบ
ด้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดแถลงในวันเดียวกันว่า ขณะนี้กรณีที่มีกระแสข่าวว่าจะสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยทราบว่ากองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 สนามเป้า) และกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (พล.ปตอ.) เกียกกาย เตรียมกำลังผิดสังเกต โดยอ้างว่าเป็นการฝึกภาคสนาม นอกจากนี้ ยังมีคนระดับสูงในกองทัพไปพบกับอดีตผู้นำเหล่าทัพชื่อ “ส.” และ ผู้นำเหล่าทัพ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ทำตัวเป็นรัฐบาลหอย มีเปลือกหอยคอยคุ้มครองก็จะเดินทางไปประชุมจี 20 ที่ประเทศอังกฤษ โดยมอบให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ดูแลฝ่ายความมั่นคง รักษาการนายกฯ ดังนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลด้านความมั่นคงจะหนีความรับผิดชอบไม่ได้ และอย่าทำเป็นปากว่าตาขยิบ
“กษิต” ของขึ้นโต้แหลก “ทักษิณ”
กระทั่งเวลา 16.15 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ แถลงตอบโต้คำกล่าวหา ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นเวลา 25 นาที ว่า การแถลงข่าววันนี้สืบเนื่องมาจาก พ.ต.ท. ทักษิณกล่าวชื่นชมตนจากต่างประเทศ ตั้งแต่เข้าสู่วงการการเมืองมา 4-5 ปี ทั้งการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ หรือขึ้นเวทีพันธมิตร แต่ตนไม่เคยนำเรื่องส่วนตัวเข้ามายุ่ง ตนเป็นลูกผู้ชายและนักเลงพอที่จะไม่เล่นการเมืองใต้สะดือ ไม่เคยกล่าวอะไรถึง พ.ต.ท.ทักษิณในเรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องความต่างในแง่ของเนื้องาน นโยบายและเห็นว่าไม่ถูกต้องเรื่องความสุจริตในการบริหารราชการ เมื่อครั้งที่เคยเป็นที่ปรึกษารัฐบาลในทำเนียบรัฐบาล ในช่วงปี 2545 ไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามา และลิ่วล้อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็แสดงฝีมือในสภาฯ ก็ล้วนเป็นเรื่องส่วนตัว สาดโคลน แต่นั่นก็เป็นแค่ลิ่วล้อ มือปืนรับจ้าง สวะสังคม ก็ไม่ว่ากัน แต่วันนี้นายใหญ่ลงมาเล่นเอง ก็ยินดี ตนก็ไม่อยากขึ้นเวทีไปชกแบบเฮฟวี่เวตกับ พ.ต.ท.ทักษิณเอง แต่เมื่อ พ.ต.ท. ทักษิณพร้อมจะเปิดสนาม ก็ขอต้อนรับด้วยความยินดี
เปิดเกมท้าประชันปากทุกสนาม
“ขอท้าว่าอย่าเก่งแค่พูดคนเดียวเหมือนตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่พูดวันเสาร์อยู่คนเดียว ไม่กล้าไปสภา หนีสภาอยู่ตลอดเวลา ทำไมไม่ให้เวลากับฝ่ายค้าน วันนี้ข้าพเจ้าเป็นนักประชาธิปไตย ก็เอ็งหนีสภาตลอดเวลา ใช้รัฐสภาเป็นตรายางเท่านั้น ให้หันเหไปตามอำนาจเงินที่มีอยู่ ก็ทราบกันดี เมื่อนายใหญ่จะมาเล่นเอง ก็ด้วยความยินดี ฝากว่าไอ้พวกลิ่วลออย่ามาเกะกะหน้าตาผมได้ไหม ออกไปห่างๆ อย่าเสียเวลามาตอแยนอกสภา เอายังไงกันแน่ จะเล่นบนถนนหรือเล่นกันในรัฐสภา เลือกเอาสักอย่าง เล่นสองอย่างไม่ได้ครับ ผมขอท้าโต้วาทีกับคุณทักษิณ ให้คุณทักษิณเลือกเวทีด้วย ไหนว่าพูดภาษาอังกฤษเก่งนัก จะเอาบีบีซีหรือซีเอ็นเอ็น อัล จาซีรา ซีเอ็นบีซี และเลือกเวทีด้วย จะเอาที่สันป่าตองก็ได้ ที่เชียงใหม่ ดูไบ หรือฮ่องกงก็ได้ ที่ไหนที่คุณทักษิณโอ้อวดว่ามีเพื่อนเยอะๆในต่างประเทศ เวทีไหนก็ได้ หรือจะกลับ ไปที่สเตเดียมของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ได้ทุกเมื่อ ผมพร้อมเสมอ ผมมีเพื่อนอีกเยอะ ยาวเป็นแถวทั้งในพรรคประชาธิปัตย์และเวทีพันธมิตรฯ เลือกมาเลย อย่ามาทำอวดเก่งคนเดียว พูดคนเดียว เอาของแท้มาพูด อย่าบิดเบือน” นายกษิตกล่าวอย่างมีอารมณ์
รับเงินทักษิณไม่เข้ากระเป๋าตัวเอง
นายกษิตกล่าวอีกว่า ตนมาเป็นรัฐมนตรี 3 เดือนแล้ว และในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ของสังคม ความมีเมตตาธรรม ความโอบอ้อมอารีของคนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ส่วนหนึ่งคือให้สตางค์เด็กๆก็ทำกันมาตลอด และโดยที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นประเพณีกันตลอดทุกยุคทุกสมัย เมื่อรัฐมนตรีต่างประเทศเดินทางไปต่างประเทศก็จะมอบเงินส่วนหนึ่งให้กับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยให้กับพนักงานท้องถิ่นหรือฝากให้ไปทำบุญ “คุณทักษิณได้ให้สตางค์ผมในหลายประเทศ ไม่ได้ไปขอแต่ให้เอง ก็เหมือนกับทุกเช้าวันพระหรือวันเสาร์อาทิตย์ เราไปตักบาตร ใส่บาตรให้พระภิกษุสงฆ์ แล้ววันนี้จะมาล้วงออกจากบาตร ถามว่าคุณทักษิณเป็นมนุษย์หรือเปรต ให้สตางค์ผมมา ผมไม่ได้รับมาเพื่อตัวเอง แม้แต่แดงเดียว ถ้ารับคงไม่ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ไม่เข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และวันนี้จะไม่ยืนตรงนี้ เพราะผมจะกลายเป็นลูกทาสของคุณพ่อทักษิณ ผมจะไม่สง่างาม ขอความกรุณา อย่ามาบิดเบือนข้อเท็จจริง สตางค์ทุกบาทที่ให้ผมมา ผมได้เรียนให้ทราบว่าผมเอาไปทำอะไร”
แจงยิบนำไปบริจาคช่วยคน
นายกษิตกล่าวต่อว่า อย่างที่อินโดนีเซียก็แจกพนักงานท้องถิ่นที่ได้เงินเดือนคนละพันกว่าบาท ชาวประมงไทยถูกจับ ไม่มีอาหาร หรือเอาไปทำบุญ และก็มีพนักงาน 2 คนที่สถานทูตตายไปแล้ว จะตามไปเอาที่นรกหรือสวรรค์ จะไปทวงเขาหรือ ยืนยันว่าเงินที่ตนเอามาให้และใช้ไปแล้ว ที่เยอรมันก็เช่นกัน ตนเป็นผู้ริเริ่มทำกงสุลสัญจร ช่วยผู้หญิงไทยในเยอรมัน ไปวัดวาอารามตั้งเป็นสมาคม ฝึกสมาธิวิปัสสนา นวดแผนโบราณ พาหมอไปดูเรื่องจิตแพทย์ หรือเขาอยากจะทำบุญก็ใช้เงินของ พ.ต.ท.ทักษิณไปช่วยเขาเล็กๆน้อยๆไม่กี่สตางค์ รวมทั้งหมดที่เอาสตางค์มาผ่านมือตน ไม่กี่แสนบาทเท่านั้นเอง จะทวงคืนไหม 1 ล้านบาทเดี๋ยวตนจะให้คืนเดี๋ยวนี้ มาล้วงจากบาตรไปได้ไหม มนุษย์อะไร ช่วยเหลือคนเขาไว้แล้ว วันนี้อยากมาทวงคืนเพียงเพื่ออยากกระทืบตนให้จมแผ่นดินการเมืองเท่านั้น โดยไปพูดกับชาวบ้านว่าตนรับเงินทักษิณ อย่างนี้มันไม่ไหวแล้ว ตอน พ.ต.ท.ทักษิณ เป็น รมต.ต่างประเทศ 3-4 เดือน เป็นรองนายกฯ และล่าสุดเกิดอุทกภัยที่มิสซิสซิปปี้ และหลุยส์เซียนนา ซึ่งเป็นช่วงเดือนสุดท้ายในการรับราชการของตน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณมาเยือน มีคนไทย 200-300 คนที่ต้องสูญเสียทุกอย่างที่มีอยู่ ตนก็บอกว่าทำไมไม่ช่วย ก็มอบเงินผ่าน นพ.พรหมินทร์มาให้ 2 หมื่นเหรียญ ทุกเหรียญส่งไปให้คนไทย จะเอาคืนหรือเปล่า หรือคิดว่าตนยักยอก ทำบุญแล้วอย่าล้วงคืน มันบาป ตนไม่ต้องการอะไรจาก พ.ต.ท.ทักษิณ วิ่งจะให้โน่นนี่หรือให้ตนซื้อของให้ ตนปฏิเสธอยู่ตลอดเพราะไม่ต้องการเหล่านี้ และพอกินพอใช้
จวกเละอยู่ไทยรกแผ่นดิน
นายกษิตกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องหนังสือเดินทาง เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณบอกกับชาวบ้านเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาว่าจะส่งคืนให้ ตนก็ยินดีไปรับ บอกสถานที่มา อย่าทำตัวเป็นตุ๊ดตู่ในรูกระบอกไม้ หลบซ่อนอยู่ที่ไหนในเวทีของโลกนี้ ก็ยินดีที่จะบินไปหา หรือถ้าไม่ต้องให้เหน็ดเหนื่อยก็ส่งคืนมาได้ เมื่อไม่ใช้แล้ว และมีพาสปอร์ตของประเทศอื่นก็ยินดี และถ้าเผื่อวันนี้ สละสัญชาติไทยแล้วก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะมันรกแผ่นดินที่จะมีคนอย่างคุณทักษิณอยู่ บนแผ่นดินไทย เมื่อไม่ใช้แล้วก็ส่งคืนมา ขอให้ทำจริงพูดจริง บอกมาจะให้รับที่ไหน หรือว่าไม่มีสตางค์เหลืออยู่แล้ว ตนยินดีที่จะออกค่าพาสปอร์ตอันนั้นให้ด้วยความยินดี ขอย้ำถ้าเผื่อจะให้ไปรับก็บอกมาว่าอยู่ที่ไหน ยินดีไปพบทุกเมื่อ และจะขนไวน์ไปสัก 2-3 ขวด ในฐานะเพื่อนเก่า ขอนั่งดื่มไวน์และคุยกันถึงความหลัง ที่เราเคยเพ้อฝันกันว่าจะเป็นอย่างไร
ร่ายยาวเป็นแฟนคลับชื่นชมนายใหญ่
นายกษิตกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวหาเรื่องการขอตำแหน่งว่า เราร่วมอุดมการณ์มาตั้งแต่ปี 2537 ขณะนั้นตนเป็น ออท.ที่อินโดนีเซีย พ.ต.ท.ทักษิณเป็นรมว.ต่างประเทศ ตนเป็นแฟนและชื่นชมด้วยความยินดี ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณชวนตนลงเลือกตั้ง กทม.เขต 2 พรรคพลังธรรม แล้วตอนหลังเปลี่ยนใจให้ลงผู้ว่าฯ กทม. นี่เป็นที่มาที่ไปที่ตนช่วยแนะนำนโยบายของพรรคพลังธรรม ตนต้องลางาน 2-3 สัปดาห์ มาฝังตัวที่ตึกชินวัตร ซอยพหลโยธิน 8 เพราะคิดว่าเราจะร่วมสร้างประเทศไทยให้เป็นเลิศ ด้วยเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนสมัยใหม่ ซึ่งเราได้ติดต่อไปมาหาสู่กันตลอดเวลา จนกระทั่งกลางปี 2543 ก่อนที่จะเลือกตั้ง 5-6 เดือน ตนเป็น ออท.ที่เบอร์ลิน พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเดินทางไปพร้อมกับนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชาย เพื่อไปร่วมงานโฟโต้ เอ็กซิบีชั่นได้โทร.มาชวนตนให้ไปพบกันที่เมืองดุสเซนดอฟ และโคโลญ และทันทีที่วางโทรศัพท์ เมื่อภรรยาทราบว่าตนจะไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ใจหายแล้ว เชื่อว่าต้องชวนตนมาทำงานร่วมกันอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นไปตามคาดว่าได้ คุยกัน สานฝันร่วมกันว่าจะทำประเทศไทยให้เป็นเลิศ เพื่อแข่งกับเกาหลีให้ได้
เคยร่วมฝัน-ทำงานให้หลายชิ้น
“เราจะปรับปรุงสำนักนายกรัฐมนตรีให้เป็นแบบไวท์ เฮ้าส์ หรือดาวนิ่ง สตรีท เพราะโลกาภิวัตน์ ทุกอย่างมันวิ่งเข้าสู่นายกรัฐมนตรี ต้องใช้เทคโนโลยีบริหารราชการเราจะต้องมีห้องซิมูเลชั่น รูม เพื่อจับตาความเคลื่อนไหวทั้งประเทศ ฝนตกที่ไหน น้ำท่วมที่ไหน ก็จะสั่งการได้ เป็นการขายอุดมการณ์ความฝันภายใต้ผู้นำที่ชื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เราได้คุยกัน 2 วัน 3 คืน พ.ต.ท.ทักษิณ บอกกับผมว่า ถ้าได้เข้ามาเป็นรัฐบาลจะให้ผมมาช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งตอนนั้นก็ชนะการเลือกตั้ง ผมก็ยุติการเป็นทูต แล้วมาเป็นเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง แต่ไปช่วยราชการที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และได้มอบหมายให้ผมทำงานหลายชิ้น เช่น เรื่องเพชรซาอุฯ และทำบันทึกว่าควรปฏิรูปกรมตำรวจ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าทำไม่ได้ เพราะกรมตำรวจเป็นบ้านผม แล้ววันนี้สังคมไทยเป็นอย่างไร ฉะนั้น จะบอกว่าไม่ได้อ่านบันทึกนั้นไม่ได้ สิ่งที่ผมเขียนคือเนื้อแท้อนาคตของบ้านเมือง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่อยากฟัง และหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณล้างมือทางการเมืองไป นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้ชวนผมไปเป็นที่ปรึกษา แต่พออยู่ไป ผมขึ้นเวทีพันธมิตรฯมากเกินไปจึงขอยุติหน้าที่ดังกล่าว” นายกษิตกล่าวและว่า ที่ไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องอุดมการณ์ที่ระบอบทักษิณไม่มีธรรมาภิบาล
สวนกลับมีเปียโนหนักหัวใคร
รมว.ต่างประเทศ กล่าวต่อว่า ตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีไพ่จะเล่นแล้ว นอกจากพยายามจะขุดคุ้ยทำตัวเป็นหนอน อยู่ในโคลนตมในสิ่งที่เน่าเฟะ จะดูว่ามีอะไรในกอไผ่เกี่ยวกับตนอีก ที่จะกระทืบตนลงแผ่นดิน ถามว่าหมดปัญญาแล้วหรือ ไม่เป็นนักเลงพอแล้วหรือ ถึงให้ลิ่วล้อทั้งหญิงชายพยายามขุดคุ้ยเรื่องของตน เปียโนของตนอยู่บ้าน ซื้อมือสองจากเยอรมัน ราคาแสนเศษเท่านั้น แล้วมันหนักกบาล หรือหนักหัวใครหรือ ตนก็พร้อมจะสอนเล่นเปียโนด้วย แล้วถ้าคิดว่าเปียโนนี้ไม่ได้กรอกไว้ในใบแสดงทรัพย์สินจะให้ถูกลงโทษก็ยอม ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องปกปิด อยู่ทาวน์เฮาส์สภาพไหนไม่เคยปิดบัง ไม่ได้เป็นอีแอบซ่อนความร่ำรวยไว้ อยากรู้อะไรตนชี้แจงได้ไม่อย่างนั้นไม่มาเล่นการเมือง เป็นรัฐมนตรี และไม่มาโต้เถียงกับ พ.ต.ท.ทักษิณในที่แจ้ง “ที่จะมาข่มขู่ประชาชนว่ามีกองกำลัง มีกำลัง ตร. กองทัพเสื้อแดง ผมมีมากกว่าคุณทักษิณ จะไปรบที่ไหน วิธีใดก็ได้ เพราะผมไม่ได้วิงวอน ขอญาติพี่น้องทั้งหลายมาแสดงพลัง แล้วมาฟัดกับคุณทักษิณ กลับมาบัญชาการรบที่นี่สิ จะเป็นที่เกาะกง เกาะกูด ก็บอกมา”
ขอบัตร ปชช.-พาสปอร์ตคืน
นายกษิตกล่าวต่อว่า อย่าคิดว่าตัวเองเป็นเตรียมทหารรุ่น 10 แล้วจะมาบงการสังคมไทยได้ หรือจะใช้กองกำลังที่เป็นกุ๊ยทั้งหลาย หรือคนไทยที่ไม่รักชาติ สถาบัน มาข่มขู่สังคมไทย เขาเป็นคนขี้ขลาด การที่ให้ลิ่วล้อมาว่าตนเป็นผู้ก่อการร้ายสากล เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ เป็นด็อกเตอร์ได้อย่างไร แยกแยะไม่ถูกว่าผู้ก่อการร้ายสากล กับคนที่ไปพูดบนเวทีเพื่อแสดงอุดมการณ์ เป็นคนละเรื่องกัน อย่ามาสาดโคลน ใส่ร้ายป้ายสี เพราะทำอย่างนี้เหมือนเด็กเมื่อวานซืน นอกจากนี้ยังหาคดีมาฟ้องร้องอีก อย่างนี้ก็เห็นชัดแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังเชื่อในกระบวนการยุติธรรม ทั้งที่เคยบอกว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยไม่ดี หนีศาล หนีคุก แต่ขณะเดียวกันก็พยายามจะจ้างทนายมาฟ้องร้องคู่ต่อสู้ทางการเมือง แล้วทำไมไม่กลับเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม กลับมาสู่คุกตะราง และที่ท้าให้ตนมารับพาสปอร์ตคืนไปนั้น ตนก็ดีแล้วที่ว่าจะคืนให้ แต่ขอให้คืนบัตรประชาชนกลับมาด้วย แล้วจะไปเป็นประชาชนของประเทศไหนก็เชิญ อย่ามาตอแย รังแกประเทศไทย เพราะสังคมไทยไม่ต้องการเผด็จการรัฐสภา
ประกาศสู้ไม่ถอยจ้องโค่น “ทักษิณ”
“กระบวนการยุติธรรมเป็นไพ่ใบเดียวที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีอยู่ อย่าทำตัวเป็นมนุษย์ขี้ขลาด ผมไม่อยากใช้ คำว่าหน้าตัวเมีย แต่ในที่สุดก็คงต้องใช้ เพราะคงไม่กล้ากลับมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ผมไม่เคยไปเรียนติดอาวุธ ทั้งโรงเรียนตำรวจ และทหาร ผมไม่มีเงิน ผมมีเกียรติประวัติเท่านี้ แต่อย่าได้มาหยามกัน อย่าเล่นสกปรก ผมได้พูดในสภาแล้วว่าจะสู้ไม่ถอย จนชีวิตจะหาไม่ ถ้าผมจะเอาคุณลงได้ ผมทำแน่ๆ” นายกษิตกล่าว และกล่าวขอโทษที่ใช้เวทีกระทรวงการต่างประเทศเป็นสถานที่ตอบโต้ข้อกล่าวหา เพราะรอเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ และขอท้าอีกว่าที่ไหนก็ได้ ซีเอ็นเอ็นบีบีซี อัลจาซีร่า โดยจะเป็นภาษาไทย หรืออังกฤษก็ได้
“ทักษิณ” โทร.ขอบคุณม็อบ
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งเหล่าแกนนำได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นปราศรัยบนเวทีกันอย่างต่อเนื่องมาตลอดวัน โดยช่วงหนึ่ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ได้ขึ้นกล่าวบนเวทีให้ผู้ชุมนุมทราบว่า ตนได้รับโทรศัพท์สายตรงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ โทร.มากล่าวขอบคุณพี่น้องเสื้อแดงออกมาร่วมชุมนุมกันทุกคนที่ช่วยกันรักษาประชาธิปไตย และยืนยันจะวีดิโอลิงค์เข้ามาพบปะกับพ่อแม่พี่น้องอย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน หลังเวทีปราศรัยก็ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด.หลายสิบนายที่มารักษาความสงบเรียบร้อยรอบทำเนียบรัฐบาล ทยอยเดินมาขอรับเสื้อแดงและผ้าโพกหัวของกลุ่ม นปช.อย่างต่อเนื่อง
ให้แดง ตจว.สลายตัวเพื่อออมแรง
ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่ม นปช. ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในเวลาต่อมาว่า หากรัฐบาลตัดสินใจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงอีก กลุ่มเสื้อแดงตามจังหวัดต่างๆ พร้อมที่จะลุกฮือปิดศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อตอบโต้การสลายการชุมนุมของรัฐบาล แต่ในขณะนี้ขอให้กลุ่มเสื้อแดงที่ปิดล้อมศาลากลางจังหวัดต่างๆ ให้สลายตัวกลับบ้าน เพื่อไปพักผ่อนเอาแรงไว้ก่อน
ตั้งข้อสังเกตทหารเยอะจัง
นายณัฐวุฒิยังกล่าวอีกว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่ากำลังทหารภายในทำเนียบรัฐบาลมีมากถึง 6 พันนาย ซึ่งรัฐบาลอาจจะใช้กำลังทหารสลายการชุมนุม โดยยืนยันว่ากลุ่มเสื้อแดงตอบโต้ทุกกรณี เพราะทหารเป็นเพียงเจ้าพนักงานผู้ช่วยปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจเท่านั้น ทั้งนี้หากจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสลายก็ขอบอกว่าขณะนี้ได้มีนายตำรวจที่พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยรอบทำเนียบรัฐบาลแล้ว ต่างมารับเสื้อแดงไปแล้วจำนวน 1 พันกว่าตัว และผ้าโพกหัว 400-500 ชิ้น ซึ่งขณะนี้หัวใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายเป็นสีแดงไปทั้งหมดแล้ว
ย้อนรอยเอาอย่าง พธม.
จากนั้น นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ให้สัมภาษณ์เสริมกรณีที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะไปฟ้องร้องต่อศาลแพ่งให้ศาลมีคำสั่งฉุกเฉินให้กลุ่มเสื้อแดง เปิดทางเข้าออกให้กับคณะรัฐบาลและข้าราชการ เพื่อเข้าทำงานในทำเนียบรัฐบาลนั้นว่า หากศาลแพ่งมีคำสั่งออกมาให้กลุ่มเสื้อแดงเปิดทางเข้าออกให้กับรัฐบาลและออกจากถนนพิษณุโลก แกนนำกลุ่มฯจะทำเหมือนกับกลุ่มพันธมิตรฯเคยดำเนินการทุกอย่าง โดยจะไปยื่นขออุทธรณ์ต่อศาลเพื่อร้องขอการคุ้มครองชั่วคราวให้กลุ่มเสื้อแดงชุมนุมได้ต่อไป และการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงก็ไม่เคยเข้าไปทำให้สถานที่ราชการเสียหาย และไม่เคยบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งศาลยังคุ้มครองให้กลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมอยู่ภายในทำเนียบฯได้ หากมีการฟ้องร้องจริงจะทำให้สาธารณชนรับทราบว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมีกี่มาตรฐาน และนายกรัฐมนตรีเดินทางไปประชุมจี 20 แล้วมอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบการใช้กฎหมายความมั่นคงภายใน นายสุเทพไม่สามารถออกคำสั่งใน พ.ร.บ.ความมั่นคงได้เพราะเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีคนเดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้เซ็นคำสั่งได้
ฮือฮาภาพ “ป๋า” แต่งหญิงเล่นละคร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นายจตุพรกำลังแถลงข่าวอยู่นั้นได้หยิบรูปภาพ ซึ่งได้เป็นซีร็อกซ์ภาพขาวดำ ในภาพรูปใส่ชุดผู้หญิงอายุประมาณ 15-17 ปี แต่งหน้าแต่งตาอย่างสวยงาม โดยทำท่าเอามือสองข้างประกบกันลักษณะคล้ายพนมมือ แต่นำมาวางไว้ติดข้างแก้มด้านขวา ทำท่าเอียงคอเล็กน้อย โดยมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเอียงอาย โดยภาพดังกล่าวที่มองไม่ค่อยชัดเจน และดูไม่ออกว่าเป็นรูปของใคร นายจตุพรหยิบขึ้นมาและตั้งคำถามให้ผู้สื่อข่าวทายว่า เป็นภาพของใคร จำได้หรือไม่ แต่ผู้สื่อข่าวไม่สามารถเดาได้ถูกว่าคนในภาพคือใคร จากนั้นนายจตุพรได้เฉลยว่า บุคคลในภาพคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งใต้ภาพเขียนข้อความระบุว่าเป็นภาพของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2478 ที่มาของภาพจากนิตยสารอาทิตย์สยามนิกร ฉบับที่ 152 วันที่ 24 พ.ย. 2523 ครั้งแสดงละครเรื่อง “เมื่อชายเป็นหญิง” ของโรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา ซึ่งภาพดังกล่าวสร้างความฮือฮาให้กับผู้สื่อข่าวเป็นอย่างยิ่ง
เสื้อแดงกาญจน์หัวใจวาย
ขณะที่บรรยากาศของกลุ่มเสื้อแดงในจังหวัดต่างๆที่ จ.กาญจนบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 31 มี.ค. กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงกาญจนบุรีช่วยกันเก็บเต็นท์ที่พักหลังสลายการชุมนุม ขณะเดียวกัน น.ส.นุชรี โรจนากร แกนนำกลุ่มเสื้อแดง อ.ท่าม่วง เปิดเผยว่า ได้รับการประสานจากญาติของนายสินชัย คูหาอุดมลาภหรือโกอ่ำ อายุ 59 ปี เซียนพระชื่อดัง เจ้าของแผงพระในตลาดท่าม่วง หนึ่งแกนนำเสื้อแดงเมืองกาญจน์ได้เสียชีวิตที่ รพ.กรุงเทพ ในตอนสายวันเดียวกัน เพราะหัวใจวายทั้งนี้ หลังจากนายสินชัยมาร่วมชุมนุมที่หน้าศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี จนกลางดึก ปรากฏว่าหายใจไม่ออก เลยกลับบ้านที่ อ.ท่าม่วง แล้วหมดสติไป ญาตินำส่ง รพ.ท่าม่วง ก่อนส่งต่อ รพ.กรุงเทพ จนเสียชีวิต
นปช.โคราชยังชุมนุมปราศรัย
ส่วนเคลื่อนไหวภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่ม นปช.กล่าวโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทำปฏิวัตินั้น ผู้สื่อข่าวไปสังเกตการณ์ที่บ้านไร้กังวล ซึ่งเป็นบ้านพักของ พล.อ.เปรม ตั้งอยู่ตรงข้ามหน้ากองบัญชาการช่วยรบที่ 2 (บชร.2) เลขที่ 1885 ถนนสืบศิริ ปากซอยสืบศิริ 32 ต.ในเมือง อ.เมืองนครราชสีมา ไม่มีความเคลื่อนไหวภายในบ้าน และไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปปิดล้อม หรือประท้วงแต่อย่างใด ส่วนกลุ่มคนเสื้อแดงโคราชยังคงจัดชุมนุมอยู่บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี มีการปราศรัยโจมตีขับไล่รัฐบาลและ พล.อ.เปรม ผ่านเครื่องขยายเสียงอย่างต่อเนื่องสลับกับการฟังการปราศรัยของ นปช.ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลทางโปรเจกเตอร์
“ขวัญชัย” ยกทีมชุมนุมทำเนียบ
ส่วน จ.อุดรธานี บริเวณสถานีวิทยุชมรมคนรักอุดร เอฟเอ็ม 97.5 เมกะเฮิรตซ์ นายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ได้นำสมาชิกชมรมฯ 300 คน เตรียมเดินทางเข้า กทม.เพื่อร่วมสมทบกับสมาชิกชมรมฯ และสมทบกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทำเนียบรัฐบาล โดยรถบัส 5 คัน นายขวัญชัยเปิดเผยว่า การชุมนุมปิดล้อมศาลากลางจังหวัดได้ยุติลงแล้ว เลยนำสมาชิกชมรมฯไปร่วมสมทบกับคนเสื้อแดง ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมนำข้าวสาร อาหารแห้ง ผักสด น้ำดื่ม น้ำปลา รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่ได้รับบริจาคจากสมาชิกส่งไปสนับสนุนให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย
ม็อบพร้อมยึดศาลากลาง
ขณะที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ กลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 300 คน นำโดยนายนัฐวุฒ ชีววิทยานนท์ นายก อบต.ห้วยต้อน จ.ชัยภูมิ ได้ตั้งเต็นท์พร้อมติดตั้งเครื่องขยายเสียงโจมตีรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างดุเดือด และสั่งห้ามทหารทำร้ายกลุ่มคนเสื้อแดงที่หน้าทำเนียบอย่างเด็ดขาด หากคนเสื้อแดงถูกทำร้ายจะนำกลุ่มคนเสื้อแดงบุกยึดศาลากลางจังหวัดชัยภูมิทันที
จี้รัฐให้จัดการเด็ดขาด “ทักษิณ”
อีกด้านหนึ่ง ในส่วนของกลุ่มที่ไม่พอใจม็อบเสื้อแดงและการพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พาดพิงประธานองคมนตรีฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักงานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทยสาขานครราชสีมา นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทยและคณะ ร่วมกันออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมารับผิดชอบในการรักษารัฐธรรมนูญและกฎหมาย และดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งแกนนำกลุ่ม นปช. ที่กล่าวพาดพิงสถาบันองคมนตรีซึ่งถือว่าเป็นสถาบันชั้นสูงของประเทศ รวมทั้งยังได้ ปลุกระดมปลุกปันให้ประชาชนกระทำผิดกฎหมายคิดล้มล้างการปกครองของแผ่นดิน ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
คนสงขลาชุมนุมให้กำลังใจ “ป๋า”
ด้าน จ.สงขลา ตัวแทน 24 มูลนิธิในจังหวัดสงขลา เทศบาลนครสงขลา อบจ.สงขลา ชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จ.สงขลา สมาคมนักเรียนเก่ามหาวชิราวุธ จ.สงขลา สมาคมเกิดมาต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ข้าราชการพ่อค้า ประชาชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประมาณ 3,000 คน นำโดยนายอุทิศ ชูช่วย นายกเทศมนตรีนครสงขลา รวมตัวกัน ที่หน้าพิพิธภัณฑ์พะธำมรงค์ บ้านเกิดของ พล.อ.เปรม บริเวณสี่แยกถนนจะนะ อ.เมืองสงขลา เพื่อให้กำลัง พล.อ.เปรม พร้อมปราศรัยโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ นายวีระ มุสิกพงศ์ แถมยังนำเอากล่องกระดาษสี่เหลี่ยมที่ติดรูปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาเตะเล่นเหมือนลูกฟุตบอล จากนั้นได้ชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา เปิดปราศรัยให้กำลังใจ พล.อ.เปรม
ยื่น 4 ข้อให้รัฐบาลดำเนินการ
จากนั้น นายอุทิศ ชูช่วย ได้อ่านแถลงการณ์ 4 ข้อ คือ 1. ให้รัฐบาลใช้มาตรการกฎหมายเพื่อหยุดยั้งการใส่ร้ายป้ายสีโจมตีประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษทันที 2. ตัดสัญญาณโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณทันทีเพื่อไม่ให้คนแตกแยกในสังคม 3. รัฐบาลต้องติดต่อ ประเทศที่ทักษิณซ่อนตัวอยู่ ให้ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาในฐานะผู้ร้ายข้ามชาติตามคำพิพากษาของศาล และ 4. ให้จับแกนนำคนเสื้อแดงทั้ง 3 คนมาดำเนินคดีทันที หลังอ่านแถลงการณ์เสร็จกลุ่มมวลชนได้เผารูปโปสเตอร์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ข้างเวที ก่อนแยกย้ายกันกลับ
ฝนกระหน่ำม็อบแตกกระเจิง
ต่อมาในช่วงบ่าย ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล ได้มีฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทำให้ม็อบเสื้อแดงที่ปักหลักอยู่รายรอบทำเนียบฯ โดยเฉพาะบริเวณเวทีปราศรัย บนสะพานชมัยมรุเชฐที่มีคนอยู่มากกว่าจุดอื่นพากันวิ่งหลบฝนกันจ้าละหวั่น โดยลมฝนได้พัดผ้าใบที่ใช้คลุมหลังคาเวทีปราศรัยจนหลุดออก และพัดร่มกันแดดขนาดใหญ่ข้างเวทีล้มระเนนระนาด กลุ่มผู้ชุมนุมได้รีบเก็บจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้ถ่ายทอดภาพวีดิโอลิงค์ พ.ต.ท. ทักษิณ ลงมาจากโครงเหล็กก่อนที่จะได้รับความเสียหาย ซึ่งขณะที่ฝนตกกระหน่ำลงมานานกว่า 1 ชั่วโมง ทางแกนนำ ยังได้สลับสับเปลี่ยนกันขึ้นเวทีปราศรัยปลุกใจให้ทุกคน ร่วมกันต่อสู้ โดยนายจตุพรได้ประกาศว่า ฝนที่ตกลงมาเป็นฝนเทียมที่รัฐบาลพยายามทำในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมาเพื่อใช้ไล่ม็อบ แต่ไม่เป็นผล เพราะทุกคนไม่กลัวเปียกและอ้างว่าทุกครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณปราศรัยในเมืองไทยแล้วมีฝนตก จะไม่หลบฝนและจะร่วมต่อสู้กับทุกคนจนกว่าจะได้รับชัยชนะ
ฉุนเปียกฝน ตะโกนด่าทหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากได้มีฝนตกกระหน่ำลงมาจนทำให้กลุ่มม็อบเสื้อแดงที่ปักหลักชุมนุมรอบทำเนียบฯ เปียกปอนไปตามๆกัน และทันทีที่ฝนได้ซาเม็ดลงหลังจากตกอย่างหนักกว่า 1 ชม. กองกำลังทหารจากหลายหน่วยที่รักษาการอยู่ในทำเนียบรัฐบาลจำนวนหลายกองร้อย ได้มีการถอนกำลังออกไปโดยมีกำลังชุดใหม่ สับเปลี่ยนเข้ามารักษาการแทน ซึ่งขณะที่ทหารเดินเท้าเข้าทำเนียบฯ บริเวณประตู 8 ติดคลองผดุงกรุงเกษม กลุ่มม็อบเสื้อแดงหลายคนได้พากันมายืนดูการสับเปลี่ยนกำลัง และได้พากันตะโกนถามทหารว่า มาจากไหน ทำไมมากันมากนัก เวลาไปรบชายแดนมีมากขนาดนี้หรือไม่ แต่เมื่อไม่มีคำตอบออกมา บางคนจึงหันไปต่อว่าทหารบางนายที่ถือพัดลมไฟฟ้าและเก้าอี้พับ เพื่อนำมาใช้อำนวยความสะดวกแทน โดยตะโกนใส่ว่าสบายเกินไปหรือเปล่า เป็นทหารต้องไม่กลัวร้อน จนกระทั่งมีคนใกล้เคียงมาห้ามจึงได้หยุด
ทหารสับกำลังคุมทำเนียบฯ
ทั้งนี้ เหตุดังกล่าวผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นเพราะ ภายหลังฝนหยุดแล้ว ได้มีการสับเปลี่ยนกำลังทหารหลายกองร้อยออกจากทำเนียบรัฐบาล หลังจากปฏิบัติหน้าที่มาเป็นเวลา 6 วัน โดยมีการสับเปลี่ยนกำลังทหารชุดใหม่ ในจำนวนที่เท่ากันเข้ามาแทนที่ ซึ่งสร้างความตกใจในช่วงแรกให้แก่ผู้ชุมนุมที่เห็นทหารจำนวนมากเข้ามาในทำเนียบรัฐบาล เพราะเกรงว่าเป็นการเตรียมการสลายการชุมนุม แต่เมื่อทราบว่า เป็นแค่การสับเปลี่ยนกำลัง กลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่มีการขัดขวางใดๆ
ศาลแพ่งสั่งม็อบห้ามขวางประตู
ขณะที่ในช่วงค่ำ หลังจากที่นายจาตุรงค์ ปัญญาดิลก รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ร้องต่อศาลแพ่งขอให้กลุ่มเสื้อแดงเปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาลไปเมื่อช่วงบ่าย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 19.15 น. ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้จำเลยทั้งสามเปิดถนนลูกหลวงตั้งแต่ แยกเทวะกรรมจนถึงสะพานชมัยมรุเชฐ และให้เปิดประตูทำเนียบประตูที่ 6 และ 8 ให้ข้าราชการ ครม. และผู้มา ติดต่อราชการนำรถยนต์เข้าออกได้สะดวก และให้ใช้เครื่องขยายเสียงในระดับที่ไม่รบกวนการทำงานภายในทำเนียบรัฐบาลในเวลาทำการตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ทุกวันราชการ จันทร์-ศุกร์ โดยให้มีผลทันที ซึ่งทนายจำเลยที่ 1 ขอรับหมายศาลไปให้จำเลยทั้งสามด้วยตนเอง ดังนั้นจึงไม่ต้องส่งหมายให้จำเลยอีก
สั่ง ส.ส.ระดมคนหลังงานกาชาด
จากนั้นที่บริเวณด้านหลังเวทีปราศรัย แกนนำ นปช. ประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และนพ.เหวง โตจิราการ ได้ประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์ การชุมนุมและกำหนดแนวการการต่อสู้ ซึ่งนายจตุพร พรหมพันธุ์ หนึ่งในแกนนำ นปช.เปิดเผยในเวลาต่อมาว่าที่ประชุม นปช.กำหนดนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ที่บริเวณงานพระบรมรูปทรงม้า หลังเสร็จงานกาชาด วันที่ 7 เม.ย. คาดว่าอาจเป็นวันที่ 9 เม.ย.นอกเหนือจากการชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลตามปกติ เพื่อขยายพื้นที่การชุมนุมไปให้ถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยมีการประสานขอความร่วมมือนักการเมืองในแต่ละจังหวัดให้ช่วยสนับสนุนระดมมวลชนจากทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอีก 2-3 เท่า ซึ่งอาจมีการตั้งเวทีปราศรัยเพิ่มอีก 1 จุดบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อให้เป้าหมาย คือ 1. โค่นล้มระบอบอมาตยาธิปไตย คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ในฐานะหัวหน้าอมาตยาธิปไตย 2. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะต้องออกจากตำแหน่ง หากไม่ได้ทั้ง 2 ข้อนี้ จะไม่หยุดชุมนุม หากไม่ชนะก็จะไม่ยุติ
อุทธรณ์คำสั่งศาลเลียนแบบ พธม.
สำหรับกรณีที่ศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินตามคำร้องขอของสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น นายจตุพร ยืนยันว่า ขณะนี้ได้ตั้งทีมกฎหมายเพื่อเตรียมยื่นอุทธรณ์ โดยกลุ่มเสื้อแดงจะปฏิบัติในลักษณะเดียวกันกับพันธมิตรฯ คือหากศาลมีคำสั่งให้กลุ่มเสื้อแดงเปิดถนนพิษณุโลก และเปิดประตูเข้าออกของทำเนียบฯ ก็จะใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ ซึ่งในครั้งที่พันธมิตรฯถูกยื่นฟ้อง ก็ได้ยื่นอุทธรณ์กรณีที่ศาลแพ่งมีคำสั่งชั่วคราว จนกระทั่งศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้กับพันธมิตรฯ การฟ้องครั้งนี้ ก็จะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมมีมาตรฐานอย่างไร
“ป๊อก” ปัดข่าวทุ่มเงินทำ ปว.
ในค่ำวันเดียวกัน ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวพาดพิงโจมตีประธานองคมนตรีว่า อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติว่า หากสิ่งใดที่ทำให้คนไทยต้องแตกแยก ก็แย่แล้ว ดังนั้นไม่ควรแตกแยกกัน หากไม่ขัดแย้งและไม่ใช้ความรุนแรงน่าจะเป็นสิ่งที่ดี ตนเคยย้ำตั้งแต่สมัยที่เป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ว่า ประธานองคมนตรีถวายงานให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นประชาชนคนไทยที่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ไม่ควรไปล่วงเกิน พร้อมยืนยันไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องทุ่มเงินทำปฏิวัติ และเชื่อผู้ใต้บังคับบัญชาของกองทัพบกไม่มีการปฏิวัติ ซึ่งหากคนไทยช่วยกันแก้ปัญหา มั่นใจว่าทุกอย่างต้องเรียบร้อยและคลี่คลายไปในทางที่ดี
“ทักษิณ” ฉะกลับ “กษิต”
ต่อมาในเวลาประมาณ 20.10 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีอ่อน สวมทับด้วยสูทสีเข้ม ได้โฟนอินในระบบวีดิโอลิงค์ เข้ามายังที่ชุมนุมรอบทำเนียบรัฐบาล โดยในครั้งนี้มีการเปลี่ยนฉากหลังเป็นธงชาติไทย ส่วนคำว่า “THAILAND NEEDS CHANGE” มาแปะอยู่ที่โพเดียมแทน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตอนนี้หลายคนพยายามออกมาปฏิเสธพัลวัน ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิวัติ และการที่ป๋า (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ) บอกว่าประเทศไทยโชคดีที่ได้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ซึ่งไม่รู้ โชคดีหรือไม่ แต่รู้ว่าโชคร้ายที่ได้นายกษิต เป็น รมว.ต่างประเทศ พร้อมย้ำว่าสิ่งที่นายกษิต มาพูดนั้นแสดงให้เห็นกันชัดแล้ว รวมทั้งยังเปรียบเปรยถึงลูกน้องที่นายไม่ใช้แล้วว่า ก็คือการตัดหางปล่อยวัดนั่นเอง
ชม “ชวน” เย้ย “มาร์ค”
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้กล่าวตอบโต้ ปชป.ที่หาว่าการปราศรัยของตนเพราะต้องการทำ 3 อย่างคือ ทำลายสถาบัน ทำเพื่อตนเอง และต้องการเปลี่ยนการปกครองนั้น แต่ขอบอกว่า ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเริ่มจากประชาธิปัตย์ไม่ทำตามกฎเกณฑ์ เพราะรู้อยู่ว่าหากเลือกตั้งก็ไม่ชนะ จึงไปเกาะพันธมิตรฯ เกาะเนวิน การที่ประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งอย่างขาวสะอาดที่ทำให้ชวนเป็นนายกฯสมัยแรก เพราะคุณชวนบอกว่ายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย และต่อต้านการปฏิวัติ ต่อต้านเผด็จการ ซึ่งเป็นจุดยืนที่ถูกต้อง ประชาชนจึงเลือกคุณชวน แต่ตอนที่คุณชวนเป็นนายกฯรอบสอง เป็นเพราะงูเห่า ดังนั้น หากนายอภิสิทธิ์อยากเป็นนายกฯ ต้องเอาอย่างคุณชวนในสมัยแรก อย่าเอาอย่างสมัยสองที่ไปใช้งูเห่า ที่สำคัญคุณชวนไม่เคยเล่นการเมืองนอกสภา แต่นายอภิสิทธิ์เล่นการเมืองนอกสภา พร้อมกันนี้ ก็ยืนยันว่า ตนไม่เคยมีจิตใจที่จะทำลายสถาบันหรือทำให้สถาบันเสียหายเลยแม้แต่นิด ตลอดเวลา 6 ปีที่เป็นนายกฯ ได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทมาตลอด และว่าสมัยที่เป็นนายกฯ มีมหาอำนาจถึงสามประเทศมาเยือนไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะ คือ อเมริกา รัสเซีย และจีน ซึ่งไม่เคยมีสมัยไหนทำมาก่อน แต่ถือเป็นพระเกียรติยศอย่างสูงสุด รวมถึงการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอเปค ซึ่งมีประมุขประเทศมาเยือนเป็นจำนวนมาก
โฟนอินอ้อนยินดีกลับมาช่วยชาติ
พร้อมกันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวถึงข้อกล่าวหาที่ว่า อยากเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งจริงๆแล้วอยากให้ประเทศได้ประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข และกล่าวด้วยความเป็นห่วงถึงสภาพเศรษฐกิจของไทยที่ขณะนี้มีปัญหาลักวิ่งชิงปล้นเกิดขึ้นมาก ซึ่งทำให้น่าเห็นใจตำรวจ และยังเล่าถึงประสบการณ์ที่ไปช่วยประเทศในแอฟริกา ที่กำลังมีการทำเหมืองทอง ก่อนวกกลับมาว่าหากมีคนตามให้มาแก้ปัญหาเศรษฐกิจในไทย ก็ยินดีจะกลับมา แต่หากมีคนแก้แล้วก็จะทำงานแบบปิดทองหลังพระแทน เดี๋ยวจะหาว่าต้องการทำเพื่อตัวเองอีก ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณใช้เวลาปราศรัยร่วม 1 ชั่วโมง ซึ่งยังได้อ้อนผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงว่ายินดีจะกลับมาช่วยประเทศแม้จะต้องเริ่มทำในขณะอายุ 60 ปีแล้วก็ตาม