บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552

รากหญ้าทั้งหลาย จงรวมตัวกันโค่นล้มอำมาตย์ สถาปนาประชาธิปไตย

ที่มา thaifreenews

โลกวันนี้

การชุมนุมใหญ่เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยซึ่งนำโดยแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก้าวมาถึงจุดที่ยกระดับจากกลุ่มต่อต้านเผด็จการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาเป็นขบวนการประชาชนขนาดใหญ่ที่มีกลุ่ม องค์กรต่างๆหนุนเนื่องเข้าร่วมมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับจากวันที่ 6 เมษายน หลายๆองค์กรประชาชนที่จัดตั้งกันอย่างเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง โดยผ่านการพิสูจน์ทดสอบในท่ามกลางการเคลื่อนไหวระดับต่างๆมาเป็นระยะเวลาแน่นอน ประกาศเข้าร่วมการเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการ

มาถึงเวลานี้แทบไม่มีข้อสงสัยใดๆอีกแล้วว่าครั้งนี้เป็นการชุมนุมมวลชนครั้งใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยประชาชนชั้นชนต่างๆตั้งแต่ระดับรากหญ้าขึ้นไปจนถึงคนชั้นกลางในเมือง คนชั้นสูงบางส่วนที่ไม่สามารถนิ่งเฉยกับการแสดงอำนาจเผด็จการอันธพาล แสดงการสนับสนุนการเคลื่อนไหวอย่างไม่ปิดบังอำพรางอีกต่อไป

เป็นปรากฏการณ์ “ใครมีแรงออกแรง ใครมีเงินออกเงิน ใครมีปัญญาออกปัญญา” อย่างมิได้นัดหมายเป็นครั้งแรกนับจากห้วงเวลา “ประชาธิปไตยเบ่งบาน” หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาอันยิ่งใหญ่

ทั้งนี้ รวมถึงการประกาศคำแถลงของ “เครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย” บนเวทีนอกทำเนียบรัฐบาล เพื่อประกาศจุดยืนร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดงในเวลาประมาณ 18.15 น. วันที่ 6 เมษายน ผ่านการถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและสถานีวิทยุชุมชนที่ยังไม่ถูกปิดกั้นสัญญาณออกอากาศด้วยเครื่องมือทันสมัยประดามีของรัฐเผด็จอำนาจ เป็นการประกาศเข้าร่วมรุกรบโดยไม่มีเงื่อนไขในการขับไล่ผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และผลักดันจนเกิดรัฐบาลอภิสิทธิ์ชน ที่ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมเยี่ยงโจรก่อการร้ายสากล...

หัวใจของคำประกาศจากกลุ่มคนรากหญ้าที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาตลอดประวัติศาสตร์ สะท้อนความองอาจแกล้วกล้า ความฮึกห้าวเหิมหาญของผู้คนที่อยู่ในสถานะตกเป็นเบี้ยล่างเสมอมาใน...“ระบอบอำมาตยาธิปไตยเป็นศัตรูกับชาวนา ขอให้สมาชิกเครือข่ายปรับสถานการณ์ขณะนี้เป็นสถานการณ์สู้รบ และรับฟังคำสั่งจากแกนนำในระดับประเทศเท่านั้น และหากรัฐใช้กำลังสลายผู้ชุมนุม สมาชิกของเครือข่ายจะออกมากระทำการให้การบริหารประเทศเป็นอัมพาต และจะทำให้ระบบเศรษฐกิจเดินต่อไปไม่ได้”

ไล่เลี่ยกันในเวลา 20.40 น. นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ออกคำแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ทุกสถานี ที่ ณ บัดนี้รัฐบาลโดยการนำของพรรคประชาธิปัตย์สามารถใช้ “กฎหมาย” ในมือครอบงำบงการเป็นกระบอกเสียงของรัฐอย่างสมบูรณ์...ทุกรูปแบบ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีของระบอบอำมาตยา-อภิชนาธิปไตย หลั่งไหลจากปากผู้นำรัฐบาลที่เป็นผลิตผลจากระบอบเผด็จการทหารหลังการรัฐประหาร 19 กันยา แม้จนที่สุด “มาตรการทางกฎหมาย” ที่เป็นที่กังขาเสมอมาในสายตาของสังคมและผู้คนที่ยึดถือเชื่อมั่นในหลักการ “ความยุติธรรมมาตรฐานเดียว”

น่าเสียดายที่ถ้อยความในเนื้อหาที่ดูเหมือนแข็งกร้าวยิ่งกว่าครั้งใดนับจากการก้าวขึ้นมาฉวยโอกาสจัดตั้งรัฐบาลผสมเมื่อปลายปีที่ผ่านมากลับไม่อาจอำพรางความกระวนกระวาย ลังเลสงสัย เมื่อตระหนักว่าระบอบอำมาตย์-อภิชนที่ตนเป็นตัวแทนอยู่นั้นกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งสำคัญที่สุดเท่าที่รัฐไทย...ในฐานะที่เป็นรัฐอธิปไตยสมัยใหม่จากบรรดาผู้คนที่เคยเป็นเพียง “ผู้ถูกปกครอง” ที่ไม่มีสิทธิมีเสียง หรือมีสิทธิมีเสียงเพียงเท่าที่ “ผู้ปกครอง” ที่เป็น “อภิชน” จะหยิบยื่นให้

ถัดมาอีกเพียงวันเดียว สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ออกแถลงการณ์ “โค่นล้มอำมาตยา สถาปนาระบอบประชาธิปไตยให้สมบูรณ์” มีเนื้อหาที่เป็นข้อเรียกร้องหลัก 4 ประการคือ

“1.ประกาศยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน เพื่อให้ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้กำหนดอนาคตของตัวเอง

2.ฝ่ายอนุรักษ์นิยมและอำมาตยาธิปไตยมีกระบวนการเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย

3.ห้ามรัฐบาลสกัดกั้นหรือใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมโดยเด็ดขาด...

4.สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) เห็นด้วยกับหลักการของ นปช. และขอสนับสนุนการต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยระบบเลือกตั้ง และระบบรัฐสภา”

ประชามหาชนคนรากหญ้าทุกยุคทุกสมัยค่อยตระหนักทีละน้อยว่าไม่เคยมีครั้งใดที่ “ผู้ปกครอง” ดั้งเดิมจะยินยอมสละสถานะได้เปรียบที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นแต่โดยดี อย่างน้อยหลักฐานที่ชัดเจนที่เป็นเสมือนหอกทิ่มแทงความรู้สึกนึกคิดของ “ผู้ปกครอง” เหล่านั้นยังคงเป็นประจักษ์พยานในประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี หนึ่งคือ “อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” หรือที่เดิมเรียกว่า “อนุสาวรีย์ปราบกบฏ” ตั้งอยู่ที่วงเวียนบางเขนหรือแยกหลักสี่ เป็นอนุสรณ์ที่ประชาชนที่รักและหวงแหนในระบอบประชาธิปไตยรวมกำลังกันเข้าต่อสู้กองกำลังฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. 2476 ที่เรียกกันว่า “กบฏบวรเดช” และอีกหนึ่งคือ “อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา” ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน ใกล้กับ “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย”

และที่กำลังเกิดขึ้นและดำเนินไปของการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยอนุสาวรีย์มีชีวิต ในสถานการณ์รุกคืบหน้า โถมเข้าทำลายป้อมปราการของ “ระบอบอำมาตยา-อภิชนาธิปไตย” อย่างเอาการเอางาน...ในท่ามกลางการต่อสู้ที่แหลมคมนี้ ข้อเรียกร้องเฉพาะหน้าคือ


http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=22200

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker