เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่พรรคชาติไทยพัฒนา นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ ถึงจุดยืนของพรรคชาติไทยพัฒนาที่ไม่เห็นด้วย ที่จะให้สถาบันพระปกเกล้าตั้งคณะกรรมการอิสระในการปฏิรูปการเมืองว่าต้องมีการพูดคุยกันกับตัวแทนพรรคการเมือง และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าเรามีจุดยืนว่าควรจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราก่อน เพราะกว่าการปฏิรูปการเมืองจะเสร็จก็อีก 2 ปี แล้วจะมานั่งศึกษาอีกทำไม เพราะมีการศึกษามามากแล้ว ของแบบนี้ทำไมต้องมานั่งงมเข็มในทะเลอีก ไปย่ำทะเลทำไม ไม่ต้องมาอ้อมรอบโลก ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนา ได้รวบรวมรัฐธรรมนูญที่จำเป็นต้องแก้ไขบางมาตราไว้หมดแล้ว แต่จะไม่มีการเสนอกับรัฐบาล เราจะทำของเราเอง ใครจะร่วมก็ได้ ทั้งนี้นายกฯก็เห็นด้วยในบางประเด็น เมื่อถามว่าจะหารือกับนายกฯอีกหรือไม่ นายชุมพลตอบว่า ไม่คุยกับใครทั้งนั้น พรรคเราเป็นตัวของตัวเอง หากไม่มีใครร่วมก็ยืนอยู่คนเดียว
พท.โวรัฐบาลใกล้ถึงทางตัน
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 13.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย มีการประชุมพรรคเพื่อไทย โดยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นประธานการประชุม แต่บรรยากาศ ไม่คึกคักเท่าที่ควร นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า บรรยากาศในที่ประชุม มี ส.ส.มาเข้าร่วมประชุมไม่มาก ที่ประชุมได้พูดคุยและประเมินสถานการณ์ทางการเมือง โดยวิเคราะห์ว่าอีกไม่นานจะได้รับข่าวดีทางการเมือง เพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ใกล้จะถึงทางตัน ต้องตัดสินใจทางการเมือง เพราะถูกกดดันทั้งจากคนเสื้อแดง และสังคมที่ได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรัฐบาลชุดนี้
แจกสมุดปกขาวตีปีบหลังอภิปราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยได้แจกสมุดปกขาวเล่มใหญ่ใช้ชื่อว่า “พรรคประชาธิปัตย์ ทำอะไรใครๆก็รู้” มีความหนา 96 หน้า จำนวน 3 เล่ม ให้ ส.ส.ของพรรค ซึ่งเป็นการรวบรวมเนื้อหาคำอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ประธาน ส.ส.พรรค ได้นำมาเปิดเผยและอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะรายละเอียด ข้อมูล หลักฐานต่างๆในส่วนของผู้บริหารระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์ ปกปิดการรับเงินสนับสนุนทางการเมืองจากบริษัททีพีไอฯจำนวน 27 ครั้ง เป็นเงิน 261,436,000 ล้านบาท และเงินที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นเงิน 29 ล้านบาท นำเงินไปใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ เพื่อให้ ส.ส.นำไปเผยแพร่ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบและเห็นข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ทางพรรคเพื่อไทยมีมติให้ส่งนายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด ลงสมัคร ส.ส. ในการเลือกตั้งซ่อมในเขตเลือกตั้งที่ 3 จ.ร้อยเอ็ด หลังจาก กกต.มีมติให้ใบแดงแก่นายนพดล พลซื่อ ส.ส.ร้อยเอ็ด เขตเลือกตั้งที่ 3 พรรคเพื่อแผ่นดิน
“เฉลิม” ฉะ ปชป.รังแกดีเอสไอ
เมื่อเวลา 15.40 น. ที่พรรคเพื่อไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีเงิน 263 ล้านบาทว่า ขอประณามการกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ที่เล่นการเมืองไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรมกับข้าราชการ พยายามเข้าไปตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทั้งๆที่ดีเอสไอทำงานอย่างตรงไปตรงมายืนยันว่าเรื่องเงิน 263 ล้านบาทนั้น จำเป็นที่ดีเอสไอต้องส่งเรื่องให้ กกต. เพราะเกี่ยวข้องกับการบริจาคเงินให้พรรคการเมือง ซึ่งเป็นการรับเงินบริจาคแล้วไม่แจ้ง ส่วนตัวสงสารและสมเพชโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะกำลังโยนความผิดให้คนอื่น พรรคประชาธิปัตย์นั้นพอเห็นว่าเขากำลังจะสอบตัวเอง จึงไปสอบสวนเขาบ้าง ดังนั้น ตนจึงขอให้กำลังใจกรมสอบสวนคดีพิเศษในการทำงานต่อไป ส่วนที่รองปลัดกระทรวงยุติธรรมจะเรียกตนไปสอบนั้น ไม่ขัดข้อง แต่ถ้าจะถามเรื่องข้อมูลก็เสียเวลาเปล่า เพราะยืนยันว่าข้อมูลของตนมีก่อนที่ดีเอสไอจะมี
แจกขันทักษิณปลุกใจชาวบ้าน
ด้านนายนิรมิต สุจารี ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่า ในที่ประชุมได้แจกขันให้ ส.ส. เนื่องจากในเดือน เม.ย.นี้ เป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ ภาคอีสานจะมีประเพณีรดน้ำดำหัว คนเฒ่าคนแก่ พ.ต.ท.ทักษิณได้สำนึกในบุญคุณคนภาคอีสานที่เลือก ส.ส.เข้ามาเยอะมาก แต่ขณะนี้ตัวอยู่ต่างประเทศจึงไม่มีโอกาสมารดน้ำดำหัว จึงได้ทำขันพลาสติกสีแดง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 นิ้ว ข้างขันมีข้อความเป็นตัวหนังสือสีขาว ลายมือ พ.ต.ท.ทักษิณ มีใจความว่า “ผมขอฝากความรักและความห่วงใยให้ จากคนตกยากในต่างแดน พร้อมกับลงลายมือชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ” เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณในการใช้รดน้ำดำหัวคนเฒ่าคนแก่
ด้านนายสุรสิทธิ์ เจียมวิจักษณ์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ต.ท. ทักษิณได้ฝากความระลึกถึงพี่น้องประชาชน โดยฝากขันน้ำให้ ส.ส.แต่ละคนประมาณ 2 พันใบ นำไปมอบให้ชาวบ้าน โดยจะเริ่มแจกตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย.
ขึ้นคัตเอาต์โปรโมตผลงาน
แหล่งข่าวจากที่ประชุมพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่าในที่ประชุมพรรคในช่วงพิจารณาระเบียบวาระอื่นๆได้มีการหยิบยกกรณีการเคลื่อนไหวขึ้นมาหารือ โดยที่ประชุมได้วิเคราะห์ว่าขณะนี้คนเสื้อแดงทั่วประเทศรู้ทันกระแสใน กทม.เร็วกว่า ส.ส. ดังนั้น เชื่อว่าทหารหรือรัฐบาล หากสั่งทำเกินกว่าเหตุเชื่อว่าม็อบเสื้อแดงจากทั่วประเทศจะลุกฮือขึ้นมาชุมนุมใน กทม.แน่นอน นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังเห็นว่าการที่ ส.ส.จะเข้าร่วมชุมนุมหรือขึ้นเวทีปราศรัยสามารถทำได้ เป็นเอกสิทธิ์ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังแจ้งต่อ ส.ส.ว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีการขึ้นป้ายคัตเอาต์พร้อมกันทุกจังหวัด เพื่อโปรโมตผลงานของพรรคในอดีต เป็นการโหมโรงเพื่อเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง
ชู “เสนาะ” นายกฯรัฐบาลแห่งชาติ
นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทางออกประเทศไทยวันนี้ มีอยู่ 3 แนวทางใหญ่ๆ 1. แนวทางประนีประนอม การจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติที่ข้อ เสนอมาก่อนหน้านี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะต้องลาออกก่อนเพื่อเปิดทางในการตั้งนายกฯคนกลาง กับการเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ เพื่อให้ทุกฝ่ายสมานฉันท์ กัน 2. นายกรัฐมนตรีต้องลาออก หลังจำนนต่อหลักฐาน คงไม่พอในส่วนขององคมนตรีควรพิจารณาตนเองด้วย และ 3. นายกฯประกาศยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่ ส่วนตัวคิดว่าในข้อ 2 และข้อ 3 คงไม่สามารถลบล้างความขัดแย้งและความคลางแคลงในสังคมได้ วันนี้ทางออกจะต้องทำควบคู่กันออกกฎหมายปรองดองฯแล้ว เพื่อปลดล็อกนักการเมืองทั้ง 111 และ 109 ให้มีอิสระ เหมือนคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ในเรื่องนโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างผ่อนคลาย เพื่อนักการเมืองเข้าสู่การเมืองได้หลังถูกขังไว้และจะต้องตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้นโดยเลือกนายกรัฐมนตรีจากพรรคเล็ก อย่างนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีพร้อมตั้งคณะรัฐมนตรีมาจากทุกพรรค มีกรอบเวลาในการเข้ามาบริหารทำงานชัดเจนทั้งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและยกร่างกฎหมายลูกทั้งกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. กฎหมายพรรคการเมือง และกฎหมายคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ใช้เวลาอย่างช้าประมาณ 90 วัน เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน คงไม่เร็วหรือช้าเกินไป
พท.บี้สอบภาษีคนขนเงินส่ง ปชป.
ทางด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงภายหลังเดินทางไปยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมสรรพากรว่า ได้ไปยื่นให้ตรวจสอบการเสียภาษีของ27 คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีการโอนเงินจากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านบริษัทเมซไซอะ จำนวน 263 ล้านบาทเข้าพรรคประชาธิปัตย์ และกรณีเงิน 23 ล้านบาทของ กกต. ผ่านบุคคลเหล่านี้ไปถึงคนของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้ากรมสรรพากรตรวจสอบพบว่าบุคคลเหล่านี้ไม่ได้เสียภาษีจากเงินได้ดังกล่าว แสดงว่ารับเงินมาเพื่อผ่านไปถึงคนของพรรคประชาธิปัตย์ หลักฐานตรงนี้จะไปยื่นให้ กกต.เพื่อประกอบการพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ มีคำสั่งมอบอำนาจให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นประธานประชุมข้าราชการตำรวจ เพื่อพิจารณาโยกย้ายข้าราชการตำรวจนั้น นายอภิสิทธิ์ออก คำสั่งโดยมิชอบเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 274 และ และนายสุเทพมีความผิดตาม พ.ร.บ.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนั้นได้รวบรวมรายชื่อ ส.ส.1 ใน 4 ของสภาฯ เพื่อยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งต่อประธานวุฒิสภาและส่งผ่านไปยัง ป.ป.ช.
ยื่นถอดถอนนายกฯ-รมว.คลัง
ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย แถลงว่า กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ให้ผู้ประกอบกิจการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือส่งเอสเอ็มเอส จำนวน 17 ล้านเลขหมาย เลขหมายละ 1 บาท เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง โดยระบุกลางที่ประชุมสภาฯในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า เป็นการขอความร่วมมือ และไม่มีการจ่ายค่าบริการนั้น ถือว่าเป็นการสารภาพกลางสภาฯ เข้าข่ายความผิดกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103 ที่กำหนดข้อห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเกินจาก 3,000 บาท ดังนั้นจึงได้รวบรวมหลักฐานที่เป็นคำสารภาพกลางที่ประชุมสภาฯ ส่งให้ ป.ป.ช. และผู้ตรวจการแผ่นดินต่อไป เพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่ง และขอใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 275 และ 276 เพื่อให้ศาลฎีกาพิจารณาแต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระเพื่อดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้ด้วย
พผ.ขอเพิกถอนคำวินิจฉัย กกต.
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 13.30 น.ที่อาคารเบญจมาศ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน พร้อมด้วย นพ.วัลลภ ไทยเหนือ และนายสมเกียรติ ศรลัมภ์ แถลงถึงมติของ กกต.ที่ระบุว่าการเลือกตั้ง พล.ต.อ.ประชา เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 51 ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย โดย พล.ต.อ.ประชากล่าวว่า พวกตนไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของ กกต.ในบางประเด็น จึงจะหาช่องทางทางกฎหมายอื่นเพื่อขอความเป็นธรรมต่อไป นพ.วัลลภ กล่าวว่า มั่นใจว่าได้มีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคเพื่อแผ่นดินอย่างถูกต้องแล้ว ซึ่งคำวินิจฉัยของ กกต.ในเรื่องดังกล่าวมีประเด็นที่น่าสนใจมากคือมีมติออกมาไม่เป็นเอกฉันท์คือ 3 ต่อ 1 โดยยอมรับว่าการออกหนังสือเชิญประชุมใหญ่ชอบด้วยข้อบังคับพรรคเพื่อแผ่นดิน การกำหนดองค์ประกอบและจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมครบถ้วนถูกต้อง แต่การที่วินิจฉัยว่าการทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมของนายมั่น พัธโนทัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ไม่ชอบด้วยข้อบังคับของพรรคเพื่อแผ่นดินเนื่องจากไม่ได้เป็นรองหัวหน้าพรรคลำดับต้น และไม่มีการกำหนดจำนวนกรรมการบริหารพรรค การลงคะแนนเลือกตั้งก็มิได้เป็นการลงคะแนนลับนั้น คิดว่าน่าจะเป็นการวินิจฉัยที่ผิดพลาด
ไม่ส่งชื่อ “ประชา” ชิงหัวหน้าพรรค
เมื่อถามว่า จะยื่นศาลให้วินิจฉัยทันการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินในวันที่ 20 เม.ย.นี้หรือไม่ นพ. วัลลภตอบว่า ไม่เกี่ยวกัน เมื่อถามว่า แสดงว่าจะไม่เสนอชื่อ พล.ต.อ.ประชาเข้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้งนพ.วัลลภถามกลับว่า คุณคิดว่าน่าจะส่งหรือ ทั้งนี้ การยื่นศาลปกครองสูงสุดมิใช่เป็นการแพ้ชวนตี แต่เป็นการหาช่องทางเพื่อหาความเป็นธรรม เพราะอยากให้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างด้วยว่าการลงคะแนนลับคืออะไร ต่อไปทุกพรรคการเมืองจะต้องทำคูหาลงคะแนนเลือกหัวหน้าพรรคทุกครั้งใช่หรือไม่ ซึ่งจากการหารือฝ่ายกฎหมายแล้วพบว่าสามารถยื่นต่อศาลปกครองสูงสุดได้ เนื่องจากเข้าข่าย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งมาตรา 22