ภายหลังจากการล้อมปราบของทหารเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา.. แม้จะสร้างความตระหนกอกสั่น และเศร้าสลดใจให้กับพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยมากเพียงใด.. แต่ก็มิได้ทำให้เจตนารมย์อันมุ่งมั่นของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยเสื่อมถอยลงไปแม้แต่น้อย..ตรงข้ามกลับยิ่งได้รับความเห็นอกเห็นใจ และเกิดเป็นแนวร่วมมุมกลับจากประชาชนที่เฝ้าดูอยู่ทางบ้านอย่างมากมาย... เห็นได้จากระยะที่ผ่านมานี้มีผู้คนมากมายมาให้การสนับสนุน โดยทั้งขึ้นมาปราศัยบนเวที และสนับสนุนในด้านอื่น ๆ
ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น, แน่วแน่, และไม่ย่อท้อของเหล่าพี่น้องคนเสื้อแดงที่ได้แสดงให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศได้เห็นแล้วว่า พวกเขาจะไม่ยอมท้อถอยแม้จะถูกล้อมปราบ, ถูกบิดเบือนโจมตี, ถูกทำร้ายโดยผู้มีอำนาจของประเทศนี้... สิ่งเหล่านี้ต้องยอมรับในหัวจิตหัวใจอันยิ่งใหญ่ของพี่น้องเหล่านี้..
ภาพที่ผมเห็นในค่ำวันที่ 10 เมษายน ขณะที่ผมอยู่บริเวณถนนดินสอตอนนั้นก็คือ ประชาชนมือเปล่าที่ปราศจากอาวุธ ถือเพียงตีนตบ, หัวใจตบ, หรืออย่างดีก็ถือธงชาติ.. ต่างวิ่งกรูกันไปท่ามกลางเสียงปืนซึ่งดังระงมจากแถวทหารที่อยู่ในบริเวณสี่แยกคอกวัว และบริเวณใกล้เคียง.. เสียงโห่ร้องเรียกขานกันดังระงมเซ็งแซ่.. เสียงตะโกนสั่งการเรียกกันโหวกเหวก.. ประสานกับเสียงปืนดังรัวออกมาเป็นระยะ ๆ,เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด, พร้อมๆ กับเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น,
ขณะที่มีเสียงระเบิดดังออกมาจากที่ใดที่หนึ่ง..ประกายไฟแตกกระจายพร้อมกับเสียงตะโกนโห่ร้องฟังไม่ได้ศัพท์.. เสียงปืนยิ่งดังรัวออกมาไม่ขาดสาย.. แต่ภาพเหล่านี้มิได้ทำให้ประชาชนเสียขวัญหรือล่าถอยออกมาจากจุดปะทะแต่อย่างใด ตรงข้ามกลับยิ่งทำให้ประชาชนเหล่านั้นรีบวิ่งกรูกันเข้าไปอย่างไม่ลดละ..เหมือนดังว่าเสียงปืนเสียงระเบิด และการบาดเจ็บล้มตายเหล่านั้น มิได้เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด..
ในค่ำคืนนั้นมีประชาชนมากมายนับหลายหมื่นคนได้รับประสบการณ์เดียวกันกับผมในจุดล้อมปราบที่ผ่านฟ้า.. และผมเชื่อว่าทุก ๆ ท่านต่างก็จะมีความรู้สึกเดียวกันก็คือ..เมื่อถึงเวลานั้น, ถึงจุดนั้น, ไม่มีใครเกรงกลัวต่อความตายอีกต่อไป.. ความรู้สึกเดียวกันที่มีในขณะนั้นก็คือ ต้องปกป้องพื้นที่เอาไว้ให้ได้..
พี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายครับ.. ด้วยหัวใจนักสู้, ความไม่เกรงกลัว และไม่ยอมแพ้ที่ได้เห็นแล้วนั้น.. “ข้าพเจ้าขอน้อมคารวะ ด้วยหัวใจอย่างแท้จริง” และด้วยความไม่กลัวนี่เอง จะเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้ได้มาซึ่งชัยชนะต่ออำนาจเผด็จการในที่สุด..
ไม่ว่าการชุมนุมครั้งนี้จะจบลงอย่างใด หรือแม้จะถูกล้อมปราบอีกหรือไม่ก็ตาม.. แต่ในที่สุดแล้วก็คือ “เมล็ดแห่งความกล้าที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรม” นั้นได้ถูกสำแดงให้เห็น และได้หว่านลงไปในจิตใจของพี่น้องประชาชนไทยทั่วทั้งประเทศแล้ว.. เพียงแต่รอวันที่เมล็ดนั้นจะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่เติบโตเต็มที่ และยั่งยืนสถาพรต่อไปในประเทศนี้เท่านั้น
ปูนนก