บทความโดย...ลูกชาวนาไทย
ผมได้รับจดหมายจากเพื่อนคนหนึ่งที่เขียนถึงสื่อมวลชน จากความอึดอัดและรับไม่ได้กับความอคติของสื่อมวลชนไทยในขณะนี้ ที่เป็น “เชื้อฟืน” และปัญหาอันหนึ่งของความขัดแย้งในสังคมไทยในเวลานี้ สื่อมวลชนไทย นอกจากไม่ทำให้ความขัดแย้งลดลงและสร้างความเข้าใจอันดีให้กับประชาชนแล้ว แต่กลับซ้ำเติมให้ความขัดแย้งที่มีมากอยู่แล้วให้ขยายตัวมากขึ้น
สื่อมวลชนไทยวันนี้ ทำตัวไม่ได้ต่างกับ “สื่อมวลชนรวันดา” ก่อนเหตุการณ์สังหารหมู่ระหว่างเผ่าฮูตูกับเผ่าตุ๊ดชี่ และประเทศไทยได้ก้าวเข้าใกล้จุดนั้นมาแล้ว
หลังจากการสังหารหมู่ของ “ทหารเสือพระราชินี” หรือทหารที่ใช้นามว่า “บูรพาพยัฆ์” ที่แยกคอกวัว และแยกสตรีวิทย์ ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ผมอยู่ในบริเวณนั้น ผมเห็นความคลั่งแค้นของประชาชนว่ามันมีมากแค่ไหน รถถัง (สายพานลำเลียงพล) 6 คัน ถูกมวลชนระบายแค้นทำลายเรียบ
อย่าคิดว่าประชาชนไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง “คำสั่งสังหารหมู่ในวันนั้น” อย่าได้มั่นใจเกินไปว่า “โปรประกันดากว่าครึ่งศตวรรษมันยังมีมนตร์ขลัง วันคืนเก่าๆ มันไม่มีเหลือแล้ว
ผมขออนุญาตนำ จดหมายเปิดผนึกมาลงเลยนะครับ
----------------------------------
จดหมายเปิดผนึกถึงสื่อมวลชนไทย (ส่วนใหญ่)
หยุดสนับสนุนรัฐบาลโจร (อำมาตย์) รุมโทรมประชาชน (ไพร่) เสียที
โดย..ไพร่เสื้อแดง
มีคำกล่าวไว้ว่า “การปกครองของรัฐบาลประเทศนั้นเป็นเช่นใด สะท้อนได้จาก(เสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารของ) สื่อในประเทศนั้นๆ” การปิดกั้นช่องทางสื่อสารระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงและสังคมแทบทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทีวีคนเสื้อแดง (People channel) วิทยุชุมชนเกือบ 1000 คลื่น และเว็บไซต์กว่า 36 เว็บไซต์ คือความจริงที่เป็นเผด็จการ ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังกระทำอยู่ มิหนำซ้ำ ยังมีสื่อกระแสหลักจำนวนมากช่วยกระหน่ำ ซ้ำเติม ให้ข่าวที่เป็นความจริงเพียงด้านเดียวมอมเมาประชาชนอย่างบ้าคลั่งและไร้อารยะที่สุด มิได้ต่างจากสื่อเผด็จการในเดือนตุลาคม 2516 2519 พฤษภาคม 2535 และเมษายน 2552 แต่อย่างใด เผลอๆ อาจมีดีกรีความโหดเหี้ยมมากกว่าด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริงผ่านเทคโนโลยีการสื่อสารต่างๆ ที่มีมากกว่า เพื่อสร้างความชอบธรรมในการสั่งปราบปรามผู้ชุมนุมเสื้อแดงอย่างรุนแรงของนายอภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา และไม่มีทีท่าจะหยุดกระพือโหมข้อมูลบิดเบือนที่สอดประสานกันอย่างต่อเนื่องระหว่างสื่อของรัฐบาล (ทั้งวิทยุและโทรทัศน์) ฟรีทีวีทุกช่อง (ที่อยู่ภายใต้การควบคุมเบ็ดเสร็จของรัฐบาล) และทีวีและวิทยุชุมชนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
การโหมกระหน่ำโฆษณาชวนเชื่อ ใช้วาทกรรมทางการเมืองบิดเบือนข้อเท็จจริงผ่านสื่อต่างๆ ว่า การตายของเสื้อแดง 17 คน และทหาร 4 นาย (ข้อมูลล่าสุด ขณะเขียนจดหมายฉบับนี้) อาจเป็นการกระทำของมือที่สาม ผู้ก่อการร้าย กลุ่มนายทหารที่ปลดเกษียณแล้วและเป็นเสื้อแดง หรือเสื้อแดงปลอมเป็นทหารไม่ทราบฝ่ายสร้างสถานการณ์ขึ้นมา ฯลฯ ตลอดจนโทษว่าเป็นความผิดของแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) เพียงฝ่ายเดียว ที่ทำให้มีการตายเกิดขึ้น เป็นต้น ล้วนเป็นความพยายามอย่างโจ่งแจ้งและต่อเนื่องของสื่อกระแสหลัก เพื่อทำให้สังคมหลงประเด็นและข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เป็นผู้จุดชนวนแห่งโศกนาฎกรรม 21 ศพ ด้วยการสั่งสลายการชุมชนของคนเสื้อแดงอย่างรุนแรงและทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการกระหน่ำยิงกระสุนยางอย่างไม่ขาดสายบริเวณสี่แยกคอกวัว และถนนข้าวสาร ตลอดจนการปล่อยก๊าซน้ำตาจากเฮลิคอปเตอร์ลงบนเวทีและบริเวณหน้าเวทีปราศรัยตรงสะพานผ่านฟ้าของผู้ชุมนุมเสื้อแดง โดยไม่สนใจผู้ชุมชนที่เป็นคนแก่ ลูกเด็กเล็กแดง ซึ่งนั่งฟังการปราศรัยอยู่บริเวณนั้นอย่างสงบ ทั้งนี้ได้กระทำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงเย็น ตามด้วยการใช้อาวุธหนัก เช่น M16 ลั่นกระสุนปืนจริง ในแนววิถีกระสุนตรงเข้าใส่มวลชนเสื้อแดงบริเวณสี่แยกคอกวัวและสี่แยกจปร. อย่างไม่บันยะบันยัง จนประมาณ 4 ทุ่มของวันเดียวกัน ที่ปฏิบัติการอำมหิตของฝ่ายรัฐบาลได้ถอนกำลังออกไป หลังจากมีการยิง M79 จากบุคคลไม่ทราบฝ่ายสวนเข้าไปในแนวทหาร ส่งผลให้แม่ทัพผู้บัญชาการสลายผู้ชุมนุม (พลตรีวลิต โรจนภักดี) ได้รับบาดเจ็บสาหัส และทหารอีก 4 นาย เสียชีวิต ในเวลาต่อมา
การนำเสนอข่าวสารอย่างอคติ ขาดจรรยาบรรณของสื่อมวลชนไทยส่วนใหญ่เกี่ยวกับการชุมนุมและการเคลื่อนไหวของมวลชนไพร่เสื้อแดง ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากความล้มเหลวของความคิดที่เป็นระบบ (The failure of system thinking) การติดอยู่ในกับดักของระบอบจารีต-อนุรักษ์นิยมล้าหลัง ภาพความน่ากลัวของระบอบทักษิณที่ถูกสร้างขึ้นมาหลอกหลอนสังคมไทยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และส่งผลให้สื่อมวลชนไทยส่วนใหญ่และประชาชนอีกส่วนหนึ่ง (เสื้อเหลือง-ขาว-ชมพู?)กลัวระบอบนี้อย่างไร้สติจนถึงขั้นขี้ขึ้นสมอง หรือการยอมศิโรราบรับใช้อำนาจที่มองไม่เห็น ผ่านวาทะกรรม “เป็นคนดีเลิศ ประเสริฐจริยธรรม คุณธรรมสูงส่ง” เพื่อผลประโยชน์ต่างตอบแทนต่อเจ้าของสื่อ ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้ ล้วนมีส่วนไม่มากก็น้อยในการสร้างความแตกแยกร้าวลึกของสังคมไทยในปัจจุบัน และการตายของประชาชนและทหารรวม 21 ศพ จากเหตุการณ์สลายการชุมชนเมื่อวันที่ 10เมษายน ที่ผ่านมา หากเปรียบรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เป็นโจรที่ปล้นอำนาจกลางสภา แล้วข่มขืนประชาชน (ไพร่เสื้อแดง) ผู้เป็นเจ้าของอำนาจ สื่อมวลชนเหล่านี้ ก็ไม่ต่างกับสมุนโจร ที่นอกจากจะยืนส่งเสียงเชียร์การรุมโทรมประชาชนที่ไม่มีทางสู้ แล้วยังใช้อาวุธ (ปากกาเปื้อนหมึก คำโฆษณาชวนเชื่อออกทีวี)ทิ่มแทง ซ้ำเติมให้ประชาชนเหล่านี้ตายอย่างไร้ความชอบธรรมในสังคม ทั้งๆ ที่เป็นผู้ถูกกระทำ
ในฐานะประชาชนไพร่เสื้อแดงคนหนึ่ง ที่ถูกกระทำจากรัฐบาลเผด็จการอำมาตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเป็นส่วนหนึ่งของไพร่ที่ได้รับการปฎิบัติที่เป็นสองมาตรฐานในสังคมไทยในปัจจุบัน ขอเรียกร้อง (แต่ไม่อ้อนวอน) สื่อมวลชนไทยที่มีพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น ดังนี้
1. พิจารณาและปรับปรุงบทบาท-หน้าที่การเป็นสื่อมวลชนของคุณ ให้มีความเป็นมืออาชีพ ในการนำเสนอข่าวสารอย่างรอบด้าน มีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ มากกว่าที่เป็นอยู่ หากมิเช่นนั้นแล้ว คุณก็ไร้ความชอบธรรมที่จะตำหนิ ติติงสังคม หรือประนามว่าคนอื่นเลว เพราะพฤติกรรมของคุณก็ไม่ต่างกัน หรืออาจจะชั่วช้าต่ำทรามกว่าด้วยซ้ำ เพราะคุณกำลังใช้ปากกาเปื้อนหมึก ทำมาหากินบนหยาดน้ำตาของประชาชนชาวไพร่ด้วยกัน (อย่าลืมว่าพวกคุณก็คือไพร่เช่นเดียวกับเรา) แต่ไม่เคยเหลียวแล หรือรับฟังเสียงของพวกเราผ่านสื่อของพวกคุณเลยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
2. หยุดดูถูกการเคลื่อนไหวของมวลชนไพร่เสื้อแดงและคิดแทนพวกเขาเสียที ว่าทำเพื่อคนใดคนหนึ่ง (ดร.ทักษิณ ชินวัตร) หรือถูกล้างสมองจนสามารถตายเพื่อแกนนำมวลชน เป็นต้น เพราะความจริงพวกเราทุกคนล้วนถูกล้างสมองภายใต้ระบอบอุปถัมภ์-ศักดินาที่คงอยู่กับประเทศไทยมาช้านาน แต่ก็ไม่เคยปรากฎว่าภายใต้ระบอบที่ว่านี้ มีคนยินดีวิ่งแอ่นอกไปรับลูกกระสุนปืนหรือตายแทนใครด้วยความเต็มใจ นอกจากนี้ ความจริงอันเจ็บปวดอีกด้านหนึ่งที่สื่อมวลชนไทยส่วนใหญ่รับไม่ได้ ยังตามความคิดของมวลชนไพร่เสื้อแดงไม่ทัน หรือหลอกตัวเองอยู่ ก็คือ ประการแรก ไพร่เสื้อแดงมีจำนวนมหาศาล เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศนี้ มากกว่า 14 ล้านคน ลงทะเบียนและทำบัตรสมาชิก นปช. เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ไพร่เสื้อแดงอีกจำนวนมากยังต่อคิวรอทำบัตรสมาชิก นปช.อยู่ทั่วประเทศ และไพร่เสื้อแดงอีกส่วนหนึ่งที่เป็นคนรุ่นใหม่ หัวก้าวหน้า จบการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาโท-เอก จากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ไม่ต่ำกว่า 20% ของคนประเทศนี้ ที่ไม่จำเป็นต้องมีบัตรนปช. แต่ยืนเคียงข้างไพร่สีเสื้อเดียวกัน ประการที่สอง ข้อเรียกร้องของมวลชนไพร่เสื้อแดงที่ย้ำแล้วย้ำอีกในการชุมนุมครั้งนี้ คือการให้รัฐบาลเผด็จการอำมาตย์ของนายอภิสิทธิ์ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเจ้าของประเทศภายใต้เสื้อทุกสี ได้ใช้หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงของเขาเลือกรัฐบาลที่เขาต้องการนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องบนหลักการประชาธิปไตยและมีความชอบธรรมในการเรียกร้อง นอกจากนี้ เป็นที่ชัดเจนว่า สำหรับมวลชนไพร่เสื้อแดงนั้น เราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
3. หยุดสนับสนุนหรือส่งเสริมรัฐบาลเผด็จการอำมาตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในการใช้สองมาตรฐานปกครองไพร่ภายใต้เสื้อต่างสี ไม่ว่าจะเป็นการกระทำทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่ปรากฎให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เช่น สื่อมวลชนส่วนใหญ่แทบจะไม่เคยตำหนิการยึดทำเนียบรัฐบาลกว่า 3 เดือนในปี 2551 และการยึดสนามบินนานาชาติเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกันของกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างจริงจัง ตลอดจนการดำเนินการทางกฎหมายต่อแกนนำพันธมิตรฯ ในการกระทำดังกล่าวที่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมาปีกว่าแล้ว ขณะที่การชุมนุมบนถนนบริเวณสี่แยกราชประสงค์และถนนราชดำเนิน-บริเวณสะพานผ่านฟ้าของกลุ่มมวลชนไพร่เสื้อแดงในปัจจุบัน กลับถูกสื่อมวลชนส่วนใหญ่ร่วมด้วยช่วยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์โจมตีแทบไม่เว้นแต่ละวัน เป็นต้น
4. หยุดกระพือโหมข่าวที่เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว หรือการสุมเพลิงเติมเชื้อไฟใส่มวลชนไพร่เสื้อแดงให้เป็นผู้ร้ายและจำเลยของสังคมโดยไร้ความเป็นธรรม ขณะที่ผู้ร้ายตัวจริงลอยนวลอยู่บนความชอบธรรมจอมปลอมที่นักวิชาการ องค์กรอิสระ และสื่อไทยส่วนหนึ่งให้การสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ (ออกหน้า ออกตา)
ท้ายสุดนี้ ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า ข้อเรียกร้องทั้ง 4 ข้อข้างต้น ไม่ได้เกินเลย หรือสุดวิสัยของสื่อมวลชนไทยจะกระทำได้ หากขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะ ความรู้จักแยกแยะผิดชอบ-ชั่วดี หิริโอตปะ(ความอายและเกรงกลัวต่อการกระทำความชั่ว) และจุดยืนของสื่อมวลชนเองว่าจะเลือกข้างไหน ระหว่าง ข้างที่หนึ่ง “ขอเป็นสื่อมวลชนไพร่ ขี้ข้ารับใช้เผด็จการอำมาตย์ทุกชาติไป” หรือข้างที่สอง “ขอเป็นสื่อมวลชนไพร่ ยืนอยู่บนหลักการประชาธิปไตย เสนอข่าวสารที่ถูกต้อง เป็นจริง และเป็นธรรมต่อไพร่ทุกสีเสื้อ”
----------------------------------