“สมเจตน์” นำทีมโต้ “ทักษิณ”
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 6 เม.ย.ที่ห้องศาลาชื่นอารมณ์ โรงแรมสวนดุสิตเพลส ม.ราชภัฏสวนดุสิต ได้มีการเปิดตัวบุคคลที่ใช้ชื่อว่า “กลุ่มสยามสามัคคี” อันประกอบด้วย ข้าราชการบำนาญ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) นักวิชาการอิสระ แนวร่วมแพทย์เพื่อประชาธิปไตย และนักธุรกิจ จำนวน 20 คน อาทิ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) พล.อ.ภาษิต สนธิขันธ์ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ร่วมด้วย ส.ว.สรรหา ได้แก่ นายคำนูณ สิทธิสมาน นายสมชาย แสวงการ นายไพบูลย์ นิติตะวัน นายวรินทร์ เทียมจรัส นางพรพรรณ บุญยรัตพันธุ์ นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายทวี สุรฤทธิกุล อดีต สนช. อจ.ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช นายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง น.ส.สุมล สุตวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี ฯลฯ ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เรื่องการล่วงละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยระบุว่า การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงมีเจตนาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ทั้งในทางเปิดเผยและทางลับ จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านการกระทำของคนเสื้อแดง
ตั้งค่าหัว “แม้ว” 1 ล้านบาท
ทั้งนี้ พล.อ.สมเจตน์กล่าวว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นภัยร้ายแรงของประเทศ พวกเราจึงมาหาหนทางเรียกร้องให้คนไทยเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเสนอข้อเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ เพื่อไม่ให้ประเทศชาติไปสู่วิกฤติ ทั้งนี้ เป็นที่แน่ชัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด จึงขอตั้งรางวัลจำนวน 1,000,000 บาท กับผู้ที่สามารถนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยได้ โดยผู้ที่พร้อมจะให้เงินรางวัลคือ กลุ่มนักธุรกิจที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นภัยร้ายแรงของประเทศชาติ เป็นผู้นำภัยร้ายแรงมาสู่ประชาชนทุกหมู่เหล่า หากนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีได้ เหตุการณ์ทุกอย่างจะยุติ
ชี้ไล่ป๋าเท่ากับละเมิดเบื้องสูง
ด้านนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า การล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางเปิดเผยและทางลับ ตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 19 กันยายน 2549 จากบุคคลบางคน เช่น คอมมิวนิสต์ อกหัก นักการเมืองที่สูญเสียอำนาจ โดยการเคลื่อนไหวผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต ใบปลิว และวิทยุชุมชน มีกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นฐานกำลัง โดยการเคลื่อนไหวอ้างว่าต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อสู้กับเผด็จการ แต่กลุ่มคนดังกล่าวได้ใช้ถ้อยคำเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย นอกจากนี้ ยังปรากฏกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้โจมตีศาลและกระบวน การยุติธรรม องค์กรอิสระ โดยเรียกร้องให้ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษลาออก ทั้งที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดว่า การพ้นจากตำแหน่งขององคมนตรี ต้องเป็นไปตามพระราชอำนาจ การกระทำดังกล่าวเป็นการล่วงละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
เชื่อม็อบอยู่ไม่เกิน 3 วัน
ส่วนการประเมินสถานการณ์ วันที่ 8 เมษายน นั้นนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าจะมีผู้ชุมนุมมากน้อยเพียงใด หากรัฐบาลยึดหลักกฎหมายที่จะเปิดโอกาสให้ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ย่อมสามารถให้มีการชุมนุมได้โดยเสรี ทั้งนี้ เชื่อว่าการชุมนุมไม่น่าจะยืดเยื้อเกิน 3 วัน เพราะประชาชนจะต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา ในวันที่ 10 เมษายน หากยังไม่ได้รับการตอบรับ ผู้ชุมนุมอาจประกาศชัยชนะระดับหนึ่งแล้วสลายการชุมนุมไปก่อน เพื่อกลับมาชุมนุมใหม่ในเดือนพฤษภาคมก็ได้ อย่างไรก็ตาม บทเรียนจากการชุมนุมที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าฝ่ายที่เริ่มใช้ความรุนแรง ก่อน มักจะเป็นฝ่ายแพ้ และขอยืนยันว่า ฝ่ายพันธมิตรฯ ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสยามสามัคคี
อย่างไรก็ตาม กลุ่มสยามสามัคคี ได้เสนอให้รัฐบาลใช้สื่อชี้แจงประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณบิดเบือน โดยไม่จำเป็นใช้เฉพาะช่อง 11 แต่เป็นสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นด้วย โดยต้องออกแรงทางด้านสื่อให้เข้มข้นมากกว่านี้
“มท.3” เชื่อม็อบแดงไม่ถึงแสน
อีกด้านหนึ่ง ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 8 เม.ย. ว่า ที่พรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช.ระบุว่า จะระดมคนมาได้ถึง 3-5 แสนคนนั้น จากการประเมินของกระทรวงมหาดไทย คิดว่าจะมีไม่ถึงแสนคน เท่าที่กระทรวงมหาดไทยได้มอบหมาย
ให้ ผวจ. นายอำเภอ ตลอดจนกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและอสม.ลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน ถือว่าเราเข้าถึงและประสบความสำเร็จพอสมควร ประชาชนมีความเข้าใจข้อเท็จจริงมากขึ้นว่า สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มการเมืองของระบอบทักษิณทำ เป็นการทำลายบ้านเมืองอย่างไม่ถูกต้อง แม้จะยังมีบางจังหวัดที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่บ้างแต่ก็ไม่มาก เช่น จ.อุดรธานี คงจะมีคนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมไม่เกินพันคน ส่วนที่มีกลุ่มคนรักป๋าเปรมในจังหวัดต่างๆ เริ่มออกมาเคลื่อนไหวนั้น มั่นใจว่าจะไม่เกิดการปะทะกันกับคนเสื้อแดง เพราะกลุ่มคนรักป๋าเปรมเพียงแต่ต้องการแสดงออกเพื่อทบทวนความจำถึงคุณูปการของ พล.อ.เปรม ที่ทำคุณประโยชน์ไว้กับบ้านเมือง เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะป้องกันไม่ให้ ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน
มั่นใจ “ทักษิณ” จะมีอันเป็นไป
รมช.มหาดไทย กล่าวว่า ทั้งนี้ มั่นใจว่าการชุมนุมใหญ่วันที่ 8 เม.ย. จะไม่นำไปสู่การนองเลือดเหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มเครือข่ายระบอบทักษิณ จะต้องมีอันเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมแน่นอน เหมือนในอดีตตั้งแต่พรรคไทยรักไทยถูกยุบพรรค พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลพิพากษาจำคุก คนที่รับใช้ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง จนกระทั่งมาถึงพรรคพลังประชาชนถูกยุบพรรค หลังจากนี้พวกเขาจะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย เริ่มตั้งแต่กรณีปลัดสำนักนายกฯ ยื่นฟ้องศาลแพ่งให้เปิดทางทำเนียบฯ ก็อยู่ในขั้นตอนการบังคับคดีแล้ว และคำพูดที่ใส่ร้ายป้ายสีหมิ่นประมาทผู้อื่น และคำพูดที่เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ซึ่งคำพูดและการกระทำดังกล่าวจะมีความผิดทั้งทางป.อาญาและรัฐธรรมนูญ จะทำให้พวกเขาเหล่านั้นได้รับโทษตามกฎหมาย ส่วนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณสั่งให้ทนายความฟ้อง พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรีนั้น เป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพยายามทำให้เห็นว่าองคมนตรีทำผิด ทั้งที่จริงๆท่านไม่ได้มีความผิด แต่พูดไม่ถูกใจก็เลยโกรธหาทางฟ้องให้เห็นว่าคนระดับนี้เขายังไม่เกรงไม่กลัว
เย้ยไม่มีทางเผด็จศึกรัฐบาล
ขณะที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า สำหรับการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงในวันที่ 8 เม.ย. ว่า คงไม่ใช่การชุมนุมวันสุดท้าย ที่จะเผด็จศึกรัฐบาลได้อย่างที่เขาประกาศ เพราะเขาสู้ ไปพลางก็ประเมินสถานการณ์ไปด้วย เพราะคนเกิดความสงสัยว่า การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือล้มล้างสถาบันหรือไม่ หรืออย่างกรณี พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี หลายคนก็สงสัยในจุดยืนของท่าน เพราะวันหนึ่ง ยืนอยู่อีกข้าง ก็พูดอย่างหนึ่ง แต่วันนี้กลับมาพูดอีกอย่าง ดังนั้น พล.อ.พัลลภถือเป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณใช้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวเขาเอง ถ้าเป็นละครก็ต้องขึ้น อักษร “น” ให้ใช้ดุลพินิจในการฟัง ขณะที่การวีดิโอลิงค์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในระยะหลังตนมีข้อสังเกต ไม่ค่อยเชื่อว่าเป็นการใช้สัญญาณผ่านดาวเทียม เพราะไม่ค่อยมีเสียงดีเลย์เลย เหมือนกับการเปิดแผ่นซีดีมากกว่า อย่างไร ก็ตาม มีเสียงเรียกร้องว่าทำไมไม่ตัดสัญญาณดีสเตชั่นนั้น ในทางกฎหมายคงไม่สามารถทำได้ และรัฐบาลต้องคิดเหมือนกัน เพราะถ้ายิ่งไปปิด จะยิ่งไปเติมจำนวนคน เหมือนกับกรณีที่มีการสั่งปิดเอเอสทีวี แล้วมีคนร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อเหลืองมากขึ้น
ลั่นรัฐบาลจะยึดทำเนียบฯคืน
นายสาทิตย์กล่าวว่า ยอมรับว่ารัฐบาลอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง มีการแบ่งขั้วความคิดอย่างรุนแรง รัฐบาล ก็ต้องพยายามลดเงื่อนไข ไม่ไปเพิ่มความขัดแย้ง อะไรที่รัฐบาลสมัยนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย ทำเราก็ไม่ทำ เช่น การใช้กำลังไปปราบปรามผู้ชุมนุม ส่วนกรณีที่คณะรัฐมนตรีจะประชุมที่โรงแรมรอยัล คลิฟบีช พัทยา จ.ชลบุรี ก่อนการประชุมอาเซียนทุกครั้ง ก็ต้องไปดูสถานที่ ซึ่งวันที่ 7 เม.ย. ก็เป็นจังหวะที่ดีที่ได้ไปดูสถานที่ประชุมล่วงหน้า แต่หลังจากนั้นคงต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ในการเข้าไปทำงานที่ทำเนียบฯ เพราะจะปล่อยให้กลุ่มผู้ชุมนุมทำเช่นนี้ตลอดไม่ได้ แต่ผู้ชุมนุมต้องเข้าใจด้วย ซึ่งหลังการประชุม อาเซียน รัฐบาลต้องเข้าไปทำงานแล้ว เพราะจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ กลุ่มผู้ชุมนุมต้องรู้ด้วยว่ารัฐบาลต้องดำเนินการตามกฎหมายเป็นหลัก
“สุเทพ” เชื่อม็อบอยากรุนแรง
จากนั้นในเวลา 16.45 น. นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังการประชุม ส.ส. ของพรรค มีนายชุมพล กาญจนะ ประธาน ส.ส.พรรคฯ เป็นประธานว่า ที่ประชุมได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ ทางการเมืองและการเตรียมการในส่วนของพรรค และรัฐบาล โดยรับฟังความสัมพันธ์จากทุกส่วนที่ต้องช่วยกันถอดสลักวิกฤติทางการเมือง เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้ออกมาประกาศชัดว่า ในวันที่ 8 เม.ย.นี้ จะเป็นวันดีเดย์เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ทางพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า การดำเนินการนี้จะเป็นความพยายามทำให้เกิดความวุ่นวายและสงบเรียบร้อย ส่งเสริมหรือยั่วยุอย่างต่อเนื่องทั้งบนดินและใต้ดิน เพื่อหวังให้เกิดการเผชิญหน้ากับ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกคือรัฐบาล ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง ยืนยันว่า ผู้มีอำนาจรัฐ ทั้งทหารและตำรวจ จะไม่ใช้ความรุนแรง เพราะตระหนักดีว่าเป้าหมายของการชุมนุมครั้งนี้ต้องการให้เกิดความรุนแรง
“ทักษิณ” แค่หวังเพิ่มอำนาจต่อรอง
นพ.บุรณัชย์กล่าวต่อว่า กลุ่มที่ 2 คือ เหล่าทัพ โดยการชุมนุมพูดจายั่วยุให้เหล่าทัพเป็นปฏิปักษ์ มีการพาดพิงองคมนตรีและกองทัพ และกลุ่มที่ 3 คือ ประชาชน โดยการปลุกระดมมวลชน ซึ่งมีประชาชนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วย เคยเกิดเหตุการณ์ปาไข่ใส่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค คราวนี้คาดว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น อีกและเป็นห่วงว่าจะมีการเผชิญหน้าระหว่างมวลชน จนทำให้บาดเจ็บล้มตาย โดยทั้งหมดที่ประชุมประเมินว่า เพื่อเป้าหมายเดียวคือ เพิ่มอำนาจต่อรองของ พ.ต.ท.ทักษิณในการที่จะใช้ความไม่สงบและการเผชิญหน้ากับ 3 กลุ่มดังกล่าวมากดดันรัฐบาล องคมนตรี สังคมโดยรวม เพื่อให้ เกิดการประนีประนอมตั้งคณะกรรมการเพื่อเจรจา หรือ เพื่อให้รัฐบาลจำนน สอดคล้องกับที่ นปช. และ พ.ต.ท. ทักษิณออกมาปฏิเสธการร่วมเจรจา
ย้ำ รบ.ยึดหลัก 5 มาตรการ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้พูดถึงเป้าหมายของการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง โดยนายสุเทพได้สรุปสถานการณ์ว่ารัฐบาลจะต้องมุ่งมั่น ดำเนินการ 5 เป้าหมาย คือ 1. รักษากฎหมายโดยเคร่งครัด ไม่ใช้ความรุนแรง 2. ไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า 3. รักษา สถานที่ราชการไม่ให้ถูกทำลาย เพื่อให้รัฐบาลและข้าราชการ สามารถทำงานต่อไปได้ 4. ป้องกันการก่อวินาศกรรม ไม่ว่าจะรูปแบบใด และ 5. ความสงบเรียบร้อยส่วนรวม ทั้งสาธารณูปโภค ทรัพย์สินของเอกชน สำหรับการประเมิน สถานการณ์ทั่วไป ที่ประชุมยังได้พูดกรณีใบปลิว และเว็บไซต์ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ไม่ทราบว่าบังเอิญหรือไม่ ที่ เว็บไซต์ดังกล่าวได้เสนอเนื้อหาเรื่องคุณธรรมความดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ
เหน็บ “ทักษิณ” กำลังลำบาก
ด้าน นพ.วรงค์ เดชวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสริมว่า ที่ประชุมได้ประเมินว่าถึงกรณีที่ว่าเหตุใด การเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมครั้งนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงต้องแรงที่สุด ซึ่งประเมินว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะรู้ว่าตัวเองจะต้องแผ่วปลาย โดยเฉพาะ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ รู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณดี สามารถเอาให้จนมุมได้ โดยเป้าหมายในการเคลื่อนไหวของเขาคือ 1. หนี ไม่ยอมให้ติดคุก 2. ไม่สามารถสูญเสียทรัพย์สิน และ 3. ไม่สามารถสูญเสียอำนาจทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะลักษณะนอมินีก็ตาม นอกจากนี้ พรรคยังประเมิน ด้วยว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีการจัดการที่ดี ทั้งการเปิด ตัวหนังสือ “ทักษิณ are you ok” ของหมวดเจี๊ยบ และการออกหนังสือ “คนอื่นเรียกนายกฯ แต่เราเรียก...พ่อ” ของลูกทั้ง 3 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เพื่อแย่งพื้นที่ทางสื่อ
แฉเสื้อแดงจัดตั้งคนชุมนุม
นพ.วรงค์กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ จะมานั้น ประเมินกันว่าจะมาจากคน 4 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มคนรักทักษิณ 2. กลุ่มจัดตั้ง ที่รับอามิสสินจ้าง ซึ่ง มีการรายงานในที่ประชุมว่า ขณะนี้พยายามเพิ่มยอดคนในกลุ่มนี้ให้มากที่สุด โดยให้คนรับใช้ของแต่ละบ้านบอกต่อกัน เพื่อรับค่าจ้างเดินทางมาร่วม รายละ 500-1,000 บาท ขณะที่ ส.ส.จะขนคนเข้ามาสมทบ มีงบประมาณให้ 2 แสนบาท ต่อ ส.ส.1 คน กลุ่ม 3 คือ กลุ่มไม่เอาพรรค ประชาธิปัตย์ และ 4. กลุ่มไม่เอากลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งกลุ่ม 1 และ 2 มียอดคนราวร้อยละ 60 กลุ่ม 3 และ 4 มีร้อยละ 40 โดยทั้งหมดน่าจะมียอดรวมประมาณ 1 แสนคน อย่างไรก็ตาม นายสุเทพยืนยันว่าได้กำชับกับเจ้าหน้าที่ ไม่ให้มีปืนหรืออาวุธ ให้มีเฉพาะกระบองและโล่เท่านั้น ขณะที่แก๊สน้ำตาที่ยังจำเป็นสำหรับบางจุด แต่ให้ใช้แบบขว้าง รวมถึงกำชับให้ใช้กล้องวงจรปิดในการค้นหาข้อมูล หากมีเหตุการณ์ และวันที่ 7 เม.ย.นี้จะเรียกประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจ กำชับให้ดูแลสถานการณ์
ผบ.ตร.ขอทหารมาช่วยอีกแรง
สำหรับการดูแลความสงบเรียบร้อยของการชุมนุมในส่วนของตำรวจนั้น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. กล่าวถึงสถานการณ์ชุมนุมประท้วงของกลุ่ม นปช.ว่า จากการติดตามการปราศรัยของแกนนำกลุ่ม นปช. และการประเมินด้านการข่าวเชื่อว่า จะมีการเคลื่อนตัวของกลุ่มผู้ชุมนุมจากบริเวณด้านหน้าทำเนียบรัฐบาลไปชุมนุมที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่ง พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. ได้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่วางกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยไว้แล้ว โดยได้ประสานขอกำลังทหารเข้าร่วมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน
สั่งสกัดอาวุธหวั่นมือที่สามป่วน
ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินจำนวนผู้ที่เข้ามาร่วมชุมนุมได้ เนื่องจากมีการปราศรัยระดมคนจากต่างจังหวัดเข้ามาร่วมชุมนุม เชื่อว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีความเข้าใจในเรื่องสิทธิการแสดงออกตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ คงไม่มีการทำอะไรที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง และแกนนำกลุ่ม นปช.ได้ทำมาโดยตลอด ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ให้ใช้ความรุนแรง ให้ใช้การเจรจาทำความเข้าใจกลุ่มผู้ชุมนุมเจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้ เพียงโล่ไว้ป้องกันตัว จะไม่ใช้อาวุธที่จะเป็นอันตรายต่อผู้ชุมนุม คิดว่าไม่น่าจะมีความรุนแรง แต่ที่เป็นห่วงคือกลุ่มมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ ทำให้เกิดความสับสนและรุนแรงมากขึ้น ซึ่งได้กำลังให้ตำรวจสันติบาลติดตามหาข่าว และมีการจัดตั้งจุดเพื่อตรวจค้นอาวุธและวัตถุระเบิดในพื้นที่โดยรอบร่วมกับทหารเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง
วอนรักษาหน้าประชุมอาเซียน
พล.ต.อ.พัชรวาทยังกล่าวถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกประเทศคู่เจรจา ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมในช่วงระหว่างวันที่ 10-12 เม.ย. ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ได้มอบหมาย พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้ช่วย ผบ.ตร.ให้เข้าร่วมจัดเตรียมแผนการรักษาความปลอดภัย และการอำนวยการจราจรให้บุคคลสำคัญที่เข้าร่วมประชุม โดยประสานงาน พล.ต.ท.อัศวิน ณรงค์พันธ์ ผบช.ภ.2 ซึ่งมีการเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลสถานที่ประชุมและโรงแรมที่พัก รวมทั้งติดตามประเมินสถานการณ์ ชุมนุมทุกกลุ่มที่เข้ามาเรียกร้องหรือขัดขวางการประชุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนสถานการณ์ ชุมนุมประท้วง คิดว่าพี่น้องคนไทยทุกคนเข้าใจสภาพปัญหาของบ้านเมืองขณะนี้เป็นอย่างดี หากมีการขัดขวาง หรือกระทำการที่ทำให้เกิดความเสียหายกับการประชุมระดับสากลที่มีระดับผู้นำ รมต. แขกวีไอพี และผู้สื่อข่าวต่างประเทศมาร่วมงานจำนวนมาก จะทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างมาก ซึ่งขอความร่วมมือพี่น้องคนไทยทุกคน ช่วยกันทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งสำคัญ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคมโลก
ขน ตร.กว่า 2 พันดูแลบ้านสี่เสาฯ
ด้าน พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รองผู้บัญชาการตำรวจ นครบาล กล่าวถึงมาตรการดูแลการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่จะเคลื่อนไหวไปชุมนุมกันที่บ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษว่า ได้เตรียมกำลังตำรวจ 15 กองร้อย หรือ 2,250 นาย ดูแลความปลอดภัยพื้นที่โดยรอบบ้านสี่เสาเทเวศร์ ส่วนภายในบ้านพักประสานขอกำลังทหารมาช่วยดูแล ขณะที่บริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาลยังคงตรึงกำลังตำรวจจำนวน 23 กองร้อยเช่นเดิม เบื้องต้นมีการตั้งจุดตรวจสกัดรอบบริเวณบ้านพักของประธานองคมนตรีอย่างเข้มงวด เนื่องจากเกรงว่าจะมีมือที่สามเข้ามาสร้างความวุ่นวาย และหากมีการก่อความวุ่นวาย ทางตำรวจจะประเมินสถานการณ์ก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป แต่จะบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ ทุกครั้ง เพื่อง่ายในการติดตามตัวมาดำเนินคดีในภายหลัง และเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล และยังไม่ได้สั่งกำชับ หรือออกมาตรการใดเป็นพิเศษ
เจอฝนกระหน่ำเสื้อแดงกร่อย
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลมา 12 วันแล้ว ปรากฏว่าในช่วงเช้า วันที่ 6 เม.ย. มีผู้ชุมนุมน้อยกว่าทุกวัน เพราะสภาพอากาศครึ้มฝนตั้งแต่เช้า รวมทั้งมีฝนตกหนักมาตลอดทุกวันทำให้มีคนป่วยจำนวนมาก ขณะที่บนเวทีปราศรัยแกนนำยังมุ่งโจมตีองคมนตรีและพรรคประชาธิปัตย์ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีต้นทุนต่ำในการเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะการเข้ามาเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลของประชาธิปัตย์ ทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และระบบการทำงานของศาล โดยมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เข้ามาช่วยกู้วิกฤติในช่วงที่พรรคกำลังตกต่ำ จึงอย่ากล่าวหาคนเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยว่าไม่มีความจงรักภักดี ซึ่งบรรยากาศบนเวทีมีการปราศรัยสลับกับการประกาศแจ้งเตือนสถานที่ในการรวมตัวของกลุ่มเสื้อแดงในต่างจังหวัด ก่อนจะเคลื่อนขบวนพากันเข้ามาชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 8 เม.ย. โดยเฉพาะใน จ.นครราชสีมา จะมีการจัดรถบัสจำนวน 40 คัน ไว้รอให้ บริการที่บริเวณอนุสาวรีย่าโม
จับชายแจกเอกสารหมิ่นสถาบัน
ต่อมาเวลา 10.00 น. ที่หลังเวทีปราศรัย นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำเสื้อแดง เปิดแถลงข่าวการจับกุมตัวชายคนหนึ่งที่แฝงตัวเข้ามาแจกเอกสารหมิ่นสถาบันเบื้องสูงในบริเวณการชุมนุม โดยให้การ์ดควบคุมตัวนายวันชัย แซ่ตัน อายุประมาณ 50 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ มายืนโชว์ตัวให้ สื่อมวลชนถ่ายภาพแต่ปฏิเสธที่จะให้อ่านเอกสารดังกล่าวโดยให้เหตุผลว่าจะเป็นการเผยแพร่ ก่อนจะแจ้งไปยัง สน. ดุสิต ให้นำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ นายก่อแก้ว กล่าวว่า ชายคนนี้นำเอกสารปึกใหญ่มาแจกผู้ชุมนุม แต่ การ์ดพบผิดสังเกตจึงนำมาตรวจสอบพบว่ามีข้อความเข้าข่ายหมิ่นสถาบันเบื้องสูง จึงต้องควบคุมตัวส่งตำรวจ ที่ต้องนำตัวมาแถลงยืนยัน เพราะต้องการให้เห็นว่าเสื้อแดงไม่เห็นด้วย และที่ผ่านมาก็มีการพยายามใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงไม่จงรักภักดี
แฉให้ทหารใส่เสื้อขาวมาต้านแดง
นายก่อแก้วกล่าวว่า วันนี้ได้มีการตรวจพบว่ามีการเกณฑ์ชายฉกรรจ์ใส่เสื้อขาวประมาณ 600-700 คน ให้มารวมตัวกันที่สนามหลวง เป็นการรวมตัวโดยไม่มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน คนกลุ่มนี้เป็นทหารที่ถูกตามตัวมาจากหน่วยต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นทหารบก บางคนเข้าไปรวมตัวแล้วยังไม่รู้ว่าให้มาทำอะไร เมื่อสงสัยและสอบถามไปยังผู้บังคับบัญชาก็ได้รับคำตอบกลับว่าให้มาต่อต้านเสื้อแดง เมื่อคนเหล่านั้นเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม จึงได้โทรศัพท์มาแจ้งให้ทราบ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าการรวมตัวของคนกลุ่มนี้จะมีการทำอะไรกันบ้าง แต่ได้ให้ทีมงานติดตามดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ไม่สนหากไม่มาป่วนที่ชุมนุม
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเตรียมรับมือกับกลุ่มคนเสื้อขาวอย่างไร นายก่อแก้วตอบว่า พบว่าคนกลุ่มนี้มีทั้งทหารบกและทหารอากาศ ได้รับคำสั่งว่าหลังออกเวรแล้ว ให้มารวมตัวที่สนามหลวง แต่พบว่าไม่มีการติดอาวุธ แค่มาแสดงตัวเพื่อต้านเสื้อแดงเท่านั้น ถ้าไม่มีการเคลื่อนตัวมาทำร้ายคนเสื้อแดงและไม่มาสร้างปัญหา ก็เป็นสิทธิที่จะแสดงออกได้ แต่ขอฝากไปยังผู้บังคับบัญชาของทหารกลุ่มนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องเกณฑ์ลูกน้องมาแสดงออกแบบนี้ ประชาชนทางบ้านมองออกว่าอะไรเป็นอะไร การสร้างภาพเป็นเรื่องที่ไม่สง่างาม แต่ก็มีทหารบางคนที่มาแล้วเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงได้พากันกลับ
โต้ “ป๋า” อย่าอ้างเบื้องสูง
ต่อมาเวลา 10.30 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มเสื้อแดงเปิดแถลงหลังเวทีปราศรัยถึงการชุมนุมใหญ่วันที่ 8 เม.ย. ว่ามีความพร้อมแล้วทุกเรื่อง วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะงดการวีดิโอลิงค์ เพราะอยู่ระหว่างการเดินทาง แต่ในวันที่ 7-8 เม.ย. ยืนยันว่าจะมีการวีดิโอลิงค์เข้ามาที่เวทีปราศรัยอย่างแน่นอน สำหรับท่าทีของพวกอมาตยาธิปไตยที่มีหลายคนออกมากล่าวหาว่าเสื้อแดงพยายามล้มสถาบันเบื้องสูง และล่าสุดมีท่าทีของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การกล่าวโจมตีบุคคลที่ทำงานใกล้ชิดสถาบันเป็นการบั่นทอน เป็นการกล่าวหาที่ร้ายแรงฉกาจฉกรรจ์มาก คนเสื้อแดงขอยืนยันว่ามีความเคารพศรัทธาเชื่อมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่คิดให้กระทบกระเทือนสถาบันเบื้องสูง ฝากไปยัง พล.อ.เปรม หรือใครก็ตามที่พยายามสร้างกระแสให้พิจารณาข้อเท็จจริง
อย่าป้ายสีเสื้อแดงไม่จงรักภักดี
นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า ถ้าแนวทางการเคลื่อนไหวคนเสื้อแดงชี้ชัดว่ามีความพยายามโค่นล้มสถาบันเบื้องสูง คงไม่ยืนระยะการชุมนุมมาได้ถึงทุกวันนี้ จะเห็นว่ามีมวลชนเข้ามาร่วมมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ เข้ามาร่วมชุมนุมมากเป็นประวัติการณ์ในช่วงเวลา 18.00-24.00 น. ทุกวันจะมีคนเข้ามามาก จึงเป็นการยืนยันอย่างหนึ่ง จึงขอตั้งคำถามย้อนกลับการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ. เปรมที่ว่า การโจมตีองคมนตรีเป็นการบั่นทอนสถาบันว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น อยากถามว่า คนที่ปฏิบัติงานใกล้ชิด สถาบันต้องปฏิบัติตัวตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัดใช่หรือไม่ ในฐานะองคมนตรีต้องไม่เข้ามาแทรกแซงทางการเมืองใช่หรือไม่ การอยู่เบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯถือเป็นการแทรกแซงการเมืองหรือไม่ การแสดงการสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ แต่ไม่สนับสนุนชุดนั้น เป็นการแทรกแซงหรือไม่ เป็นการแสดงในฐานะที่ เหมาะสมหรือไม่ ถ้าการกระทำไม่เหมาะสม ควรเลิกใช้สถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือกล่าวหาคนเสื้อแดงไม่จงรักภักดี
ย้ำจุดยืนล้มอำนาจ “ป๋า”
แกนนำเสื้อแดงกล่าวว่า คนเสื้อแดงจะโค่นล้มอำนาจของอำมาตย์ที่ พล.อ.เปรมยึดครองอยู่ จะถือว่าเป็นปลายทางสุดท้ายของการเคลื่อนไหวจะไม่สูงหรือต่ำกว่านี้ ส่วนการล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นเพียงหลักกิโลเมตรหนึ่งของเส้นทางการต่อสู้ เป้าใหญ่อยู่ที่อำมาตย์ และไม่ได้คิดว่าล้มแล้วจะไปยึดอำนาจไว้เองหรือจะไปยกย่องสร้างฐานอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณขึ้นมาใหม่ ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาก็จะต้องพิสูจน์ข้อกล่าวหาทุกเรื่องตามกระบวนการยุติธรรมไทย หรือหากจะหวนคืนกลับมาเล่นการเมืองอีก ก็จะต้องได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
ไล่ ปชป.ส่องกระจกดูตัวเอง
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ระบอบอมาตยาธิปไตยจะใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง เป็นในลักษณะงูกินหางให้ผลประโยชน์แก่กันและกันในการดำรงอำนาจ พล.อ.เปรม กล่าวอ้างว่าทำเพื่อประชาชนแต่จะเห็นว่าประชาชนไม่ได้ ประโยชน์อะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นการยึดอำนาจหรืออะไรก็ตาม ขณะที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาตอบโต้ว่าใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.เปรม จะได้รับการตอบโต้อย่างรุนแรง และจะไม่ได้รับการยอมรับจากประชาธิปัตย์ ทำไมไม่ถามตัวเองว่า ทำไมที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ถึงมีชื่อของ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ลงเป็นผู้สมัครผู้แทน ไม่รู้หรือว่าในอดีต พล.ต.มนูญกฤต พยายามยึดอำนาจ พล.อ.เปรม และพยายามลอบสังหารถึง 2 ครั้ง เรื่องนี้เป็นภาพสะท้อนว่าระบอบอมาตยาธิปไตยอยู่กันอย่างไร
เย้ยกลัวกระทั่งเงา “ทักษิณ”
นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ สะท้อนความเขลาเบาปัญญา โดยเฉพาะการนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงออกมาโชว์ น่าสงสัยว่าเอกสารนั้นมาอย่างไร ขอยืนยันว่าไม่เคยมีใครรับค่าจ้างในการออกมาต่อสู้ การทำแบบนี้สะท้อนภาพของประชาธิปัตย์ได้ชัดเจนว่า เวลาจวนตัวก็พร้อมที่จะทำอะไรก็ได้ เวลานี้กลัวแม้กระทั่งเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นได้จากทีมโฆษกของพรรคมีการออกมาแถลงกีดกันนายพานทองแท้ ชินวัตร ที่เขียนไว้ในหนังสือว่าอาจเข้าสู่การเมือง ขณะที่คนเสื้อแดงไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ใครที่จะเข้าสู่การเมือง และไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ “น้องปลื้ม” ลูกของนายชวน หลีกภัย
แจ้งเอาผิด “พิจิตร” หมิ่นประมาท
จากนั้นเวลา 11.00 น. นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ทนายความส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมทีมงาน เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.สุรพันธ์ สุวรรณประดิษฐ์ พงส. (สบ 2) สน.พระราชวัง เพื่อให้ ดำเนินคดี พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาพร้อมนำหลักฐานเป็นเอกสาร หนังสือพิมพ์หลายฉบับ และแผ่นวีซีดีที่บันทึกภาพ เสียงการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.พิจิตร ที่กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการล้มล้างสถาบัน ทำให้ได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติยศ เข้าข่ายหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งยังกล่าวหาว่า พ.ต.ท. ทักษิณ มีเงินฝากอยู่ที่หมู่เกาะเคย์แมน เป็นแสนล้านบาท โดยทีมทนายความของอดีตนายกรัฐมนตรียังมีพยานบุคคลที่ยืนยันได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้คิดล้มล้างสถาบัน คือ ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ประธานคณะกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิบำรุงขวัญทหาร ตำรวจ อาสาสมัครชายแดน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท สามารถยืนยันได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นเดียวกับคนไทยอีก 60 ล้านคน
ขู่ยึดศาลากลางถ้าถูกสลาย
ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงในต่างจังหวัด ตลอดวันก็มีความพยายามระดมคนจากหลายพื้นที่ โดยที่ จ.เชียงราย กลุ่มคนเสื้อแดงเชียงราย หรือ นปช.เชียงราย 52 ประมาณ 10 คน ได้นำรถยนต์ติดเครื่องเสียงจอดบนถนนรัตนาเขต บริเวณหน้า บก.ภ.จ.เชียงราย กล่าวโจมตีการทำงานของรัฐบาลและชักชวนประชาชนรวมทั้งข้าราชการ ตำรวจเดินทางไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯในวันที่ 8 เม.ย.นี้ เพื่อเรียกร้องนำประชาธิปไตยที่แท้จริงคืนมา โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ นปพ.ภ.จ.เชียงราย กว่า 20 นาย นำแผงเหล็กปิดกั้นประตูเข้าออกแต่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ ซึ่งจากการสอบถามนายบุญเลิศ บุญทิพย์ แกนนำ นปช. เชียงราย 52 กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างระดมกำลังคนให้ได้มากที่สุดเพื่อเดินทางไปชุมนุมที่ กทม. หากสมาชิกคนใดไม่สามารถไปที่กรุงเทพฯได้ ให้ไปรวมตัวที่หน้า ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพราะหากรัฐบาลสั่งสลายการชุมนุม หรือตัดสัญญาณโทรทัศน์ วีดิโอลิงค์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จะเข้าปิดล้อมศาลากลางจังหวัดทันที
ใช้เช็คช่วยชาติหนุนเสื้อแดง
ขณะที่ จ.เชียงใหม่ นายเจริญ ปัญญาวงค์ อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 236/12 ถนนวัวลาย ต.หายยา อ.เมืองเชียงใหม่ ในชุดเสื้อแดงได้มารับเช็คช่วยชาติที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ หลังได้เงิน 2,000 บาท ก็ได้มอบเงินทั้งหมดให้แกนนำคนเสื้อแดงเป็นค่าน้ำมันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาล โดยนายเจริญกล่าวว่า ขอบคุณนโยบายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มอบเช็คช่วยชาติมาให้ แต่ต้องขอมอบเป็นค่าน้ำมันรถให้คนเสื้อแดงร่วมสร้างประวัติศาสตร์เรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อลูกหลาน ไม่ได้ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องขับไล่รัฐบาลที่ได้อำนาจมาโดยไม่ถูกต้อง สำหรับบรรยากาศในเชียงใหม่ แกนนำคนเสื้อแดงได้นำรถบรรทุกเครื่องเสียง ออกเชิญชวนคนเชียงใหม่ให้ร่วมเดินทางไปกรุงเทพฯให้มากที่สุด
สั่งระดม อปพร.3 หมื่นคุ้มกัน
ที่ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี นายอำนาจ ผการัตน์ ผวจ.อุดรธานี เป็นประธานการประชุมติดตามการชุมนุมของกลุ่ม นปช.และกลุ่มคนเสื้อแดงในพื้นที่โดยมีตัวแทนจากมณฑลทหารบก 24 กองบิน 23 ตชด.24 ตร.ภ.จ. อุดรธานี ตำรวจทางหลวง อพปร.และฝ่ายปกครอง เข้าร่วมประชุม ภายหลังนายอำนาจเปิดเผยว่า คาดว่าคนเสื้อแดงอุดรธานีเดินทางไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯประมาณ 1,500 คน แต่เมื่อมีการโฟนอินตรงมาที่อุดรธานี คาดว่าจะมีการเดินทางมากกว่าเดิม และไม่น่าจะมีการปิดล้อมศาลากลาง หากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงที่กรุงเทพฯ จึงได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการร่วม 24 ชม. ที่ศาลากลางจังหวัดมีการเก็บข้อมูลในเชิงลึกมากขึ้นรู้ว่าใครเป็นผู้นำเคลื่อนไหว ส่วนที่ศาลากลางจังหวัด แต่ละกลุ่มชุมนุมกันได้ที่จุดเดิม ขอเพียงไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า ห้ามปิดล้อมศาลากลาง โดยใช้กำลังฝ่ายปกครอง และ อปพร.ทั้งจังหวัดกว่า 30,000 คน
“ขวัญชัย” หวิดปะทะกลุ่มรักชาติฯ
บ่ายวันเดียวกัน ที่หน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กลุ่มรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จ.อุดรธานี ประมาณ 40 คน ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศเชิญชวนให้ชาวอุดรธานีออกมารวมตัวกันที่สนามทุ่งศรีเมือง จากนั้นเดินขบวนไปยังหน้าศาลากลางจังหวัดเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันอันเป็นที่เคารพรักของปวงชนชาวไทย และยื่นหนังสือยืนยันความจงรักภักดีต่อสถาบันกับ ผวจ. อุดรธานี โดยมีนายวิเชียร ปิยะวรากร ปลัดจังหวัดอุดรธานี รับหนังสือแทน ระหว่างนั้นกลุ่มคนรักอุดร นำโดยนายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร นำสมาชิกเสื้อแดงประมาณ 10 คน ขับรถกระบะติดเครื่องกระจายเสียงมาจอด แล้วชี้หน้าถามกลุ่มรักชาติฯว่าด่าตนเองมาตลอดทางทำไม จนเกิดโต้เถียงดังลั่น ดีที่เจ้าหน้าที่เข้าห้ามได้ ทันก่อนจะยกพวกปะทะกัน
ชุมนุมปฏิญาณปกป้องสถาบัน
ส่วน จ.บุรีรัมย์ ประชาชนจากทั้ง 23 อำเภอกว่า 10,000 คน ร่วมประกาศเจตนารมณ์ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ยิ่งชีพ พร้อมปฏิญาณตนจะจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันจักรี นำโดย นายมงคล สุระสัจจะ ผวจ.บุรีรัมย์ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการข้าราชการชุมนุมกันที่บริเวณอนุสาวรีย์ รัชกาลที่ 1 ถนนเสด็จนิวัฒน์หน้าศาลากลางจังหวัด เพื่อรวมพลังประกาศเจตนารมณ์จะปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา หากมีใครคิดจะทำลาย พสกนิกรที่จังหวัดบุรีรัมย์ทุกคนจะร่วมกันลุกขึ้นมาปกป้องด้วยชีวิต เช่นเดียวกับที่หอประชุมไพรพะยอม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี นายชวน ศิรินันท์พร ผวจ.อุบลราชธานี นำข้าราชการ พลังมวลชน ประกอบพิธีเนื่องในวันระลึกมหาจักรีราชวงศ์ กล่าวคำสัตย์ปฏิญาณจงรักภักดีและเทิดทูนต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และที่หอประชุมใหญ่ศูนย์
ราชการจังหวัดกำแพงเพชร นายวันชัย สุทิน ผวจ.กำแพงเพชร นำหัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ประชาชนกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณตน ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการปกป้องสถาบันสำคัญของชาติด้วยชีวิต
แม่ทัพ 2 พร้อมปกป้องสถาบัน
ที่หอประชุมศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา พล.ท. วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยถึงสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในวันที่ 8 เม.ย.นี้ ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจคงดูแลในพื้นที่หรือสถานที่ราชการโดยวางแผนและเตรียมการไว้แล้ว สำหรับทางกองทัพภาคที่ 2 ได้เตรียมกำลังเพื่อสนับสนุนเมื่อได้รับการร้องขอในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด ผู้สื่อข่าวถามว่า กองทัพภาคที่ 2 พร้อมยืนหยัดในการที่จะปกป้องสถาบัน พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ตอบว่า เรื่องปกป้องสถาบันคนไทยทุกคนต้องเทิดทูนสถาบันและรักษาสถาบันไว้ เนื่องจากว่าในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยอยู่ได้เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะให้ประเทศอยู่รอดตลอดไป เราต้องปกป้องสถาบันเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยอยู่รอดตลอดไป
เมืองคอนคุมเข้มศาลากลาง
ส่วน จ.นครศรีธรรมราช นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผวจ. นครศรีธรรมราช ได้สั่งกำลัง อส. 100 นาย เข้าคุมเข้มรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณศาลากลางจังหวัด ตรวจค้นรถยนต์และอาวุธผู้ที่เข้าออกบริเวณศาลากลางอย่าง เข้มงวด เพราะเกรงว่าอาจมีการสร้างสถานการณ์ปันป่วนขึ้นได้ ขณะที่ พล.ต.ต.สราวุธ พีรานนท์ ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช ได้วิทยุด่วนสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกสถานี ในพื้นที่จัดเตรียมกำลังและเตรียมพร้อมในที่ตั้งโดยสามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ทันที หากมีสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และที่ จ.สุราษฎร์ธานี นายประชา เตรัตน์ ผวจ. สุราษฎร์ธานี นำข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ประมาณ 5 พันคน ประกอบพิธีถวายราชสักการะวันระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ และแสดงพลังความจงรักภักดี เทิดทูน และปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ
ระดมคนดอนตูมร่วมวันแดงเดือด
เย็นวันเดียวกันที่ตลาดเทศบาลสามง่าม หมู่ 4 ต.สามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก อดีต ผบช.ก.และอดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นแกนนำรวมพลังคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดิน เปิดปราศรัยโจมตีรัฐบาลพร้อมเชิญชวนชาว อ.ดอนตูม ไปร่วมชุมนุมในวันที่ 8 เม.ย.นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล และมีประชาชนมานั่งฟังราว 300 คน พร้อมจำหน่ายเสื้อสีแดงและผ้าโพกศีรษะให้กับผู้มาชุมนุมด้วย โดยมี พ.ต.อ.วรวิทย์ เหล่างาม ผกก.สภ.ดอนตูม นำกำลังตำรวจมารักษาความสงบ
ดักคอ รบ.หาก “เนวิน” ป่วน
ต่อมาเวลา 17.00 น. นายจตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมด้วยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายสุพร อัตถาวงศ์ แถลงข่าวยืนยันว่า ตั้งแต่คืนที่ 6 เม.ย.ต่อไปถึงเช้าวันที่ 8 เม.ย.จะมีรถกระบะไม่ต่ำกว่า 10,000 คัน และรถบัสอีกจำนวนหนึ่ง นำประชาชนจากจังหวัดต่างๆ เดินทางมาปักชุมนุมใหญ่ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ขับไล่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ออกจากตำแหน่ง เป็นเวลาอย่างน้อย 3 วัน โดยไม่สนใจว่าจะมีกลุ่มคนรักป๋ามาปิด ถนนศรีอยุธยาตั้งแต่แยกกองพลที่ 1 ไปจนถึงแยกสี่เสาฯ คนเสื้อแดงจะเดินฝ่าไปให้ได้ด้วยความสันติวิธี และยกระดับการต่อสู้เข้มข้นขึ้นทุกวัน ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นเชื่อว่า พล.อ.เปรมจะทนไม่ได้ และนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของ พล.อ.เปรมในที่สุด แต่ถ้ามีพยายามใช้กลไกของรัฐผ่านนายเนวิน ชิดชอบ สร้างสถานการณ์ความวุ่นวายให้เกิดขึ้น รัฐบาลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทุกกรณี
“ตู่” โวย “มาร์ค” ใช้สื่อรัฐป้ายสี
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประชุมหน่วยงานความมั่นคงเพื่อประเมินสถานการณ์กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง ในวันที่ 8 เม.ย. และจะจัดรายการชี้แจงตอบโต้อดีตนายกรัฐมนตรี และกลุ่มคนเสื้อแดงที่กล่าวพาดพิง รวมถึงให้ข้อมูลด้านลบเกี่ยวกับสถาบัน ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เอ็นบีที นั้น เป็นเพียงถ้อยแถลงแบบเดิมที่พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง กล่าวหาว่าคนเสื้อแดงไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งที่ตลอดการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ได้มีการประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่าต้องการขับไล่กลุ่มอมาตยาธิปไตย ที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นหัวหน้าเท่านั้น เพื่อคืนอำนาจประชาธิปไตยให้กับประชาชนทุก กลุ่มทุกสีอย่างเท่าเทียมกัน แต่ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ก็ยังฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง บิดเบือนใส่ร้ายคนเสื้อแดงไม่เลิก
ตอก คมช.ตั้งค่าหัวนายใหญ่
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า การที่รัฐบาลจะใช้ช่องทางสื่อของรัฐออกมาตอบโต้ และกล่าวหาคนเสื้อแดงว่าไม่จงรักภักดีนั้น รัฐบาลก็ควรจะเปิดโอกาส ให้คนเสื้อแดงมีสิทธิใช้สื่อของรัฐ ในการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน ถึงการแนวทางการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างเสมอภาคเช่นกัน เมื่อถามผู้สื่อข่าวว่า ถ้ารัฐบาลจะเปิดเวทีให้มีการดีเบตระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดงและให้ประชาชนตัดสิน นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ถ้าเปิดให้มีการดีเบตจริง คนเสื้อแดงก็พร้อมจะขึ้นเวทีเผชิญหน้า และกล่าวถึงกรณีมีกลุ่มสยามสามัคคี ประกอบด้วย ข้าราชการบำนาญ กลุ่ม 40 ส.ว. นักวิชาการอิสระ แนวร่วมแพทย์เพื่อประชาธิปไตย และนักธุรกิจ จำนวน 20 คน นำโดย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ประกาศตั้งรางวัล 1 ล้านบาท กับผู้ที่สามารถนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยได้ ว่าเป็นเพียงตลกหน้าม่าน คมช. พวกตนไม่ให้ความสนใจ ที่สำคัญการแสดงออกของกลุ่มบุคคลดังกล่าว เป็นใบเสร็จที่ชัดเจนว่า คมช. พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นขบวนการเดียวกัน ที่ชอบใช้สถาบันเบื้องสูงเป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง
ชาวนาลั่นสวมเสื้อแดง
จากนั้นบรรยากาศการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในช่วงเย็นถึงค่ำกลับยังไม่คึกคักเท่าที่ควร เนื่องจากมีฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนักในช่วงบ่าย ทำให้มวลชนคนเสื้อแดงเดินทางมาร่วมบางตา ทั้งนี้ ในเวลา 18.00 น. หลังเคารพธงชาติ แกนนำคนเสื้อแดงพร้อมใจขึ้นเวทีเชิญชวนแนวร่วมคนเสื้อแดงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพื่อรำลึกวันจักรี จากนั้นเวทีปราศรัยคนเสื้อแดงก็เริ่มร้อนแรงขึ้นเมื่อนายชรินทร์ ดวงดารา ผู้ประสานงาน เครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย ขึ้นเวทีพร้อมประกาศว่า จะนำเครือข่ายหนี้สินชาวนาฯที่มีสมาชิกทั่วประเทศกว่าแสนคน เข้าร่วมการชุมนุมเพื่อโค่นล้มระบอบอมาตยาธิปไตย ทั้งนี้ ที่ทางกลุ่มตัดสินใจเข้าร่วมช้าถึงสิบวัน เนื่องจากเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ มีสมาชิกมาก แต่ เมื่อได้พิจารณาจุดยืนของคนเสื้อแดงว่ามีจุดยืนอย่างไร ซึ่งเมื่อเห็นว่าเป็นการล้มอมาตยาธิปไตย จึงตัดสินใจเข้าร่วม พร้อมประกาศให้เครือข่ายเตรียมพร้อมเท่ากับการอยู่ในภาวะสงคราม และให้ประสานกับแกนนำในสังกัดเพื่อรอการรวมพลอีกครั้ง
นปช.แจ้ง “สมเจตน์” หมิ่นประมาท
อย่างไรก็ดี ขณะที่กิจกรรมบนเวทีปราศรัยบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นนั้น ในเวลา 19.30 น. นายสุพร อัตถาวงศ์ และนายเรืองเดช เหลืองบริบูรณ์ แกนนำกลุ่ม นปช. ก็เดินทางโดยรถแท็กซี่เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.ขรรค์ชัย เดิมยิริง พงส. (สบ 1) สน.ดุสิต เพื่อให้ดำเนินคดีกับ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตเลขาธิการ คมช. และนายสมชาย แสวงการ ส.ว. กับพวก รวม 20 คน ในข้อหาหมิ่นประมาท ทั้งนี้ นายสุพรเปิดเผยว่า จากแถลงการณ์ของ พล.อ.สมเจตน์และพวก ที่ระบุว่า การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง มีเจตนาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงทั้งเปิดเผยและทางลับนั้น ความจริงแล้วทางกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงไม่ได้จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงแต่ประการใดทั้งสิ้น การออกมาแถลงการณ์ดังกล่าวของ พล.อ.สมเจตน์และพวก ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงได้รับความเสียหาย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วทางกลุ่มคนเสื้อแดงได้ ออกมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย โดยปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญและเพื่อเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม และ พล.อ.สุรยุทธ์ไม่ให้เข้ามาก้าวก่ายการทำงานของ รัฐบาลเท่านั้น ทั้งนี้ ในส่วนของการพาดพิง พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ทางทนายความส่วนตัวคือ นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล กำลังศึกษาข้อกฎหมายว่าในแถลงการณ์นั้นเข้าข่ายความผิดใดบ้าง เพื่อจะเดินทางมาแจ้งความในวันต่อไป
ด้าน ร.ต.ท.ขรรค์ชัยเปิดเผยว่า เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนก็จะรับเรื่องดังกล่าวไว้ แต่จะต้องดูข้อกฎหมายนั้นเข้าข่ายใดบ้าง หลังจากนั้นจะต้องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาอีกครั้ง
คนรักป๋าเมืองคอนฮือถล่ม “สุรชัย”
ขณะที่ จ.นครศรีธรรมราช ก็หวิดเกิดเหตุปะทะกันของกลุ่มคนรักป๋ากับคนเสื้อแดง โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่าเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. ขณะที่ กลุ่มคนรักป๋าเปรมเมืองคอน ประมาณ 500 คน รวมตัวกันบริเวณศาลาประดู่หก ถนนราชดำเนิน ก่อนเคลื่อนขบวนเดินเท้าไปยังซอยโรงช้าง ข้างศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นสถานที่กลุ่มคนเสื้อแดง นำโดย นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) เปิดเวทีปราศรัย พอไปถึงกลุ่มคนรักป๋าเปรมได้ฮือเข้าไปปิดล้อมเวทีจนเหตุการณ์โกลาหลขึ้น พ.ต.อ.สุทัศน์ ชาญสวัสดิ์ รอง ผบก. ภ.จ.นครศรีธรรมราช สั่งระดมกำลังตำรวจเข้าตรึงพื้นที่ไม่ให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน กระทั่งนายจารุมัย นพรัตน์ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช รีบเข้าเจรจาจนนายสุรชัยยอมยุติการปราศรัยและยอมรื้อเวที กลุ่มคนรักป๋าพอใจพากันสลายตัวทันที