สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทย รวมทั้งความตื่นตัวเรื่องประชาธิปไตยของพี่น้องประชาชนได้พัฒนาไปมากมายภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะว่าไปก็เพียงไม่เกิน 3 - 4 ปีมานี้เอง....
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า “ใคร” เป็นผู้กำหนดสัญลักษณ์ในการต่อสู้ครั้งนี้ให้ใช้ “เสื้อสีแดง” เป็นตัวแทน* ซึ่งนับได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่แยบคายและเข้าเป้าอย่างที่สุด
เพราะำคำว่า “ประชาธิปไตย” นั้นเป็น “นามธรรม” ไม่สามารถกำหนดออกมาเป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจน และแต่ละคนก็มีความเข้าใจที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้การรวมผู้คนเพื่อต่อสู้กับเผด็จการที่ทำลายประชาธิปไตยในระยะแรก ๆ จึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก และถูกแปรเจตนาไปว่าเป็นการต่อสู้เพื่อท่านนายกทักษิณ ชินวัตร เสียด้วยซ้ำ.........
สัญลักษณ์ “เสื้อแดง” เป็นสิ่งที่เรียบง่าย เข้าใจได้ไม่ยาก และเห็นภาพทันที แม้คนที่มีความรู้น้อยที่สุดก็สามารถเข้าใจได้ คำว่า “ประชาธิปไตย” อันเป็นนามธรรมถูกแปรให้เป็นสัญลักษณ์ที่เข้าใจได้ทันที ด้วยเหตุนี้การกระจายตัวทางความคิดเรื่องประชาธิปไตยจึุงเป็นไปได้โดยสะดวก และเข้าถึงประชาชนได้กลุ่มในประเทศ.....
วิกฤติประชาธิปไตยของประเทศในครั้งนี้ ได้เกิดเป็นคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชนไทยทุก ๆ คน ในเรื่องการเมืองการปกครองที่ถูกต้อง ซึ่งการพัฒนาองค์ความรู้นี้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและจับต้องได้...
อดีตที่ผ่านมาประชาชนไทยเป็นผู้คนที่ “ว่านอนสอนง่าย” มีความ “ภักดี” สูงมาก ไม่ค่อยจะคิดถึงความต้องการและผลประโยชน์ของตัวเองมากนัก แต่มักจะโยนให้เป็นเรื่อง “เวรกรรม” เสียมากกว่า ด้วยเหตุนี้คำว่า “การปกครองในระบอบประชาธิปไตย” ในมุมมองของประชาชนไทยในอดีต มักจะมองเป็นเรื่องการปกครองของ “ศักดินา” มากกว่าที่จะเป็นการปกครองของ “ประชาชน” เอง.....
ทันทีที่ประชาชนไทยได้รู้จักกับการปกครองในระบอบ “ประชาธิปไตย” ที่แท้จริง และเป็น “ประชาธิปไตยที่กินได้” ความเข้าใจเรื่อง “เวรกรรม” และความ “ภักดี” ที่เคยมีได้แปรเปลี่ยนไป “ความรู้” เกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟัง จากการประสบการณ์โดยตรง หรือ โดยอ้อม และได้พัฒนาไปสู่พฤติกรรมที่แสดงออกมา.....
ปรากฏการณ์ “แดงทั้งแผ่นดิน” ที่มาจากประชาชนไทยทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ และต่างคนก็ต่างมารวมตัวกันเอง เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาการขององค์ความรู้ในเรื่อง “การปกครองในระบอบประชาธิปไตย” ที่ได้เกิดขึ้ันแล้วในมวลหมู่ประชาชนไทย และความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ตรงนี้จะเป็นความรู้ที่ “ถาวร” และ “ยั่งยืน”
ไม่ว่าวิกฤตการณ์ประชาธิปไตยในครั้งนี้ จะพัฒนาความขัดแย้งไปสู่ด้านใด แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนก็คือ ประชาธิปไตยที่จะได้รับมาในครั้งนี้ จะเป็นประชาธิปไตยของประชาชนไทยอย่างแท้จริง และจะไม่มีใครสามารถแย่งชิงไปได้อีก.....
ภาพของตำรวจและทหารจำนวนมากมายที่พากันสวม “เสื้อสีแดง” ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นชัดว่า ประชาชนไทยเริ่มที่จะแยกกันได้ระหว่าง “ประชาธิปไตย และความภักดี” ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน.....
ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผาแทบจะไหม้เกรียม อุณหภูมิที่ร้อนแทบละลาย หยาดเหงื่อที่หลั่งรินของผู้คนที่มารวมตัวกัน ซึ่งถ้าจะนำมารวบรวมกันไว้ก็คงจะเติมคลองเปรมประชากรที่อยู่ใกล้ ๆ ให้เต็มล้นได้....แต่ถึงกระนั้นทุก ๆ ใบหน้าก็ยัง “เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม” และแววตาที่มุ่งมั่นที่จะนำประชาธิปไตยกลับมาให้กับเป็นของคนไทยทุก ๆ คนอย่างแท้จริง
ประชาชนไทยเมื่อเ่กิดมาแล้ว ก็จะต้องตายไป มีน้อยคนนักที่จะอยู่ได้จนครบ 100 ปี แต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบ หรือ กี่ร้อยปี ประเทศไทยก็จะยังคงอยู่เป็นส่วนหนึ่งในแผนที่โลก และจะยังคงมี “ลูกหลานของเรา” สืบเชื้อสายความเป็นคนไทยสืบต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
ด้วยเหตุนี้วิกฤตการณ์ประชาธิปไตยในครั้งนี้ จึงเป็นคุณูปการอย่างใหญ่หลวงสำหรัีบประเทศไทยที่จะพัฒนาไปสู่ความเป็นดินแดนแห่ง “ชาววิไล” ที่สมบูรณ์ในอนาคต......
แม้ว่าวิกฤตการณ์ครั้งนี้อาจจะต้องแลกมาด้วยชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยก็ตาม
0000000000000
*หมายเหตุไทยอีนิวส์:สัญลักษณ์สีแดงกำหนดขึ้นครั้งแรกโดย บก.ลายจุด หรือคุณสมบัติ บุญงามอนงค์ นักกิจกรรมทางสังคม ใช้ในการรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเผด็จการ ฉบับพ.ศ.2550 และได้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์การต่อต้านเผด็จการอมาตยาฯ และขบวนการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยนับแต่นั้นมา