จาก ประชาไท
8 เมษายน 2552
เมื่อวันที่ 6 เม. ย. ในช่วงเย็นของการชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ ที่ข้างทำเนียบรัฐบาล นายชรินทร์ ดวงดารา แกนนำเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย (คชท.) และแกนนำ คชท. ได้ขึ้นปราศรัยบนเวที นปช.
นายชรินทร์ปราศรัยว่า อาจมีคำถามว่า เครือข่ายหนี้สินชาวแห่งประเทศไทยทำไมมาช้านัก ทั้งๆ ที่พี่น้องเสื้อแดงล่วงหน้ามาแล้ว 10 วัน ขอกราบเรียนเหตุผลว่า 1.เนื่องจากเป็นองค์กรขนาดใหญ่มีสมาชิกทั่วประเทศ 63 จังหวัด ทั้ง 4 ภาค มีสมาชิกภายใต้เครือข่ายทั่วประเทศนับแสนคน การทำงาน การนำ ไม่ได้นำโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เราจัดรูปแบบองค์กรการนำด้วยการจัดตั้งเป็นคณะกรรมการในระดับต่างๆ เพราะฉะนั้นการจะขอความเห็นมวลสมาชิกทั่วประเทศ เพื่อการตัดสินใจครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ครั้งนี้จึงมีความล่าช้าไปบ้าง
2.ชาวนา เราพูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ว่าเราเองก็พยายามเฝ้ามองติดตามพี่น้องเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลาย อยู่ว่า ธงนำของท่านคืออะไรกันแน่ ท่านสู้เพื่อตัวบุคคล หรือท่านสู้เพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตย
ใน ที่สุด จากการประชุมผู้ประสานงานระดับประเทศ ซึ่งยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าท่านทั้งหลาย เรามีความเห็นตรงกันว่า วันนี้การต่อสู้ของพี่น้องประชาชนไทยคือการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย ฝ่ายหนึ่งเพื่อโค่นอำมาตยาธิปไตย เมื่อธงนำของพี่น้องเสื้อแดง ชัดเจน สูงเด่นแบบนี้ เครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทยก็ไม่รั้งรอที่จะเข้าร่วมอย่างเอาเป็น เอาตาย
ความจริงทำเนียบรัฐบาลที่อยู่ ณ เบื้องหน้า พี่น้องเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทยหลายหมื่นคนเคยยึดมาก่อนพันธมิตรฯ แล้วพี่น้อง 8 พฤศจิกายน 2547 พี่ น้องชาวนาทั่วประเทศชุมนุมเต็มตรงนี้หมดจนไม่มีที่จะเดิน เพื่อเป็นสักขีพยานในการแก้ปัญหาหนี้สินที่มีนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานในวันนั้น ทักษิณ ชินวัตร เชิญพี่น้องชาวนาเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาลอย่างสมเกียรติ
อดีต ที่ผ่านมาไม่กี่ปี พี่น้องชาวนาชาวไร่ทั่วประเทศ ต้องชุมนุมเดินขบวนนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุด เราก็สรุปว่า เหตุแห่งปัญหาทั้งปวง การที่ไม่ได้รับความเอาใจใส่แก้ปัญหาทั้งปวงโดยเฉพาะรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ รากเหง้าแห่งปัญหาคือระบอบอำมาตยาธิปไตยที่กดหัวเรา
ต่อมานายวัชรพงษ์ คงมั่น ที่ปรึกษาเครือข่ายหนี้ชาวนาแห่งประเทศไทย (คชท.) กล่าวคำประกาศเจตนารมณ์ของ คชท.
“คำประกาศชาวนา เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรี และระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ประมุข”
นับ เนื่องเป็นระยะเวลายาวนานตลอดประวัติศาสตร์ของการสร้างบ้านแปงเมืองนี้ ที่ชนชั้นเราคือผู้สร้างโภคทรัพย์ บำรุงเลี้ยงผู้คนในสังคม ในยามสงคราม ชนชั้นเราก็ถูกเกณฑ์เข้าทำศึกรักษาอธิปไตย ต้องตายก่อนบรรดาขุนนางอำมาตย์เสมอ การกดขี่ขูดรีดชนชั้นเรา กระทำโดยขุนนางอำมาตย์ทั้งรุนแรง หนักหน่วง และทารุณอย่างยิ่ง
กว่า 10 ครั้ง ที่ชนชั้นเราก่อการลุกขึ้นสู้อย่างสู้ตายถึง 15 ครั้ง ด้วยทนต่อการกดขี่ขูดรีดไม่ไหว แต่ก็ถูกบรรดาขุนนางอำมาตย์ทั้งหลาย ปราบปรามอย่างเหี้ยมโหด ด้วยกองทหารและกำลังอาวุธที่เหนือกว่า
คุณูปการ แห่งการลุกขึ้นต่อสู้เพื่อภารกิจการปลดปล่อยชนชั้นเรา ถูกตีค่าและตราหน้าว่า กบฏอาทิ กบฏผีบุญ กบฏธรรมเสถียร กบฏเงี้ยว กบฎผญาผาบเชียงใหม่ เป็นต้น
2475 ชนชั้นเราถูกใช้เป็นข้ออ้างในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือที่เรียกกันว่าการอภิวัฒน์ 2475 คำประกาศของคณะราษฎรตอนหนึ่ง “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทั้งนี้ก็เพื่อแก้ปัญหาการทำนาบนหลังคน” ที่บรรดาขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายกระทำกับชาวนา แต่ผลกลับเป็นว่า บรรดาขุนนางอำมาตย์ทั้งหลาย เพียงแค่การผลัดหน้าทาแป้งการกดขี่ขูดรีดเสียใหม่เท่านั้น ชนชั้นเราก็ยังทุกข์ยากเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสเหมือนเดิม การแยกสลาย กดหัว กระทำแบ่งแยกแล้วปกครองชนชั้นเราเป็นมาตรการทั่วไปที่บรรดาขุนนางอำมาตย์ กระทำต่อเรา จนชนชั้นเราไม่สามารถตั้งตัวติด
ถึงยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน 2516 เหล่า ขุนนางอำมาตย์ทั้งหลาย อกสั่น ขวัญแขวน กับพลังอำนาจของประชาชน ต้องถ่อยร่นไปที่ตั้งชั่วคราว เปิดโอกาสให้ชนชั้นเราสบช่องอีกครั้งหนึ่ง สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยอันยิ่งใหญ่ ที่เกิดจากการผนึกของชาวนาชาวไร่ในขอบเขตทั่วประเทศ ได้รับการสถาปนาอย่างมีเกียรติ พลังการต่อสู้ของชาวไร่ชาวนาเชี่ยวกรากดุจสายน้ำด้วยการถูกกดหัวมาช้านาน ส่งผลให้บรรดาขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายตั้งตัวไม่ติด
พ.ร.บ.ค่าเช่านา พ.ร.บ.ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม คือดอกผลสำคัญของการต่อสู้อันยิ่งใหญ่และมีเกียรตินั้น
แต่เพียง 2 ปี ของการลุกขึ้นต่อสู้สำคัญนี้ ผู้นำชาวนากว่า 10 ชีวิต ต้องถูกสังหารโหด โดยที่รัฐไม่สามารถหาฆาตกรมาลงโทษได้ นั่นเป็นตัวชี้วัดว่าเหล่าขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายตั้งหลักติด และตีโต้ชนชั้นเราแล้ว และในที่สุดก็ตีโต้ฝ่ายประชาธิปไตยได้ทั้งขบวนด้วยการก่อสังหารโหดกลางเมือง รอบทุ่งพระสุเมรุในกรณี 6 ตุลามหาโหด
2520 – 2539 คือ ยุคมืดแห่งระบอบประชาธิปไตย ที่เหล่าขุนนางอำมาตย์ทั้งหลาย เหิมเกริม เถลิงอำนาจ โดยไม่เห็นหัวประชาชนและฝ่ายประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง จนเมื่อรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้รับการประกาศใช้ ประชาธิปไตยเริ่มเบ่งบานอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเลือกตั้งปี 2544 ขบวน การชาวนาเริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อกฎหมายว่าด้วยปัญหานี้สินเกษตรกรได้รับการประกาศใช้ และมีการพัฒนาเติบใหญ่จนเป็นขบวนการที่เข้มแข็ง ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายที่มาจากประชาชนอย่างขนานใหญ่ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายพักการชำระหนี้เกษตรกร การแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกร ด้วยวิธีการตัดดอกเบี้ย และลดเงินต้นครึ่งหนึ่ง มีการแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกรที่มีปัญหาถูกยึดที่ดิน 4-5 พันรายในระยะเวลา 8 เดือน กระทั่งรัฐบาลประกาศให้นโยบายการแก้ไขการแก้ไขปัญหานี้สินเกษตรเป็นวาระแห่งชาติ เป็นต้น
แต่ เหล่าขุนนาง อำมาตย์ ไม่ได้หายไปไหน ผัดหน้าทาแป้งเสียใหม่อีกครั้งหนึ่ง หาที่หลบซ่อนที่เหมาะสม แต่กลับรวมศูนย์การบัญชาการระบบขุนนาง อำมาตย์ อย่างเป็นระบบ เป็นเอกภาพและเข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อทำลายระบอบและขบวนการประชาธิปไตย เริ่มด้วยการสร้างความแตกแยก แบ่งฝ่าย แบ่งข้าง แบ่งสี จนนำไปสู่ปลายทางแผนร้าย คือการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
จากนั้นการแก้ไขปัญหาเกษตรกร ก็ถูกเก็บเข้าลิ้นชัก ไม่รู้ร้อนรู้หนาว กับที่ดินของเกษตรกร ที่กำลังถูกแย่งยึดกว่า 38 ล้านไร่ หรือว่าพวกเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังของการแย่งยึดที่ดินชาวนา คือคำถามที่ไม่มีคำตอบจนถึงปัจจุบัน
บรรดา ขุนนางอำมาตย์ ได้สมคบกันสถาปนาระบอบอำมาตยาธิปไตยอย่างมั่นคงในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน บทเรียนการต่อสู้ของชาวนาชาวไร่สอนเราว่า อำมาตยาธิปไตยคือศัตรูตัวจริงของชนชั้นชาวนาไทย เมื่อใดที่ประเทศไม่มีประชาธิปไตย และอยู่ภายใต้การปกครองของระบอบอำมาตยาธิปไตย ชนชั้นเราก็ถูกเหยียบหัวจนจมดิน อย่าว่าแต่พวกเขาจะคิดแก้ปัญหาของชนชั้นชาวนาเลย เพราะหากเขาคิดที่จะแก้ปัญหาแล้ว ป่านนี้ชนชั้นเราคงอยู่ดีมีสุขไปนานแล้ว
เนื่อง จากตลอดช่วงระยะเวลายาวนานในประวัติศาสตร์ ก็ไม่ใช่พวกเขาดอกหรือที่เป็นผู้ยึดครองอำนาจรัฐ นอกจากไม่แก้ปัญหาเราแล้ว ยังกดขี่ขูดรีดชนชั้นเราอย่างหนักหน่วงแทบเหลือแต่กระดูก
วันนี้ ชาวนาไทยกลายเป็นเพียงทาสที่ติดดินเท่านั้น หนำซ้ำ เขายังใช้ปากที่กินข้าวชาวนา ด่าทอชาวนา ดูถูกเหยียดหยาม ย่ำยี ชนชั้นเรามายาวนานตลอดประวัติศาสตร์นั้น
ประวัติ ศาสตร์สอนเราว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตย กับชนชั้นเรานั้น อยู่ร่วมกันไม่ได้ เฉกเช่นน้ำกับน้ำมัน หรือดุจดังเส้นขนานที่ปลายทางไม่มีจะจบกันได้ ฉันใดก็ฉันนั้น การโค่นระบอบอำมาตยาธิปไตยจึงเป็นข้อเรียกร้องเดียวของเรา เนื่องเพราะมันคือรากเหง้าปัญหาทั้งปวงของสังคมของเรา และประวัติศาสตร์ยังสอนเราว่า ความพ่ายแพ้ของชาวนา เหตุที่พ่ายแพ้ เนื่องมาจากการต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ขาดแนวร่วม มีแต่พลังของชาวนาต้องประสานกับพลังประชาธิปไตยในขอบเขตทั่วประเทศ อิสรภาพ การปลดปล่อยพลังการผลิตของชนชั้นเราให้รุดหน้าก้าวไป จึงจะปรากฏเป็นจริง นั่นหมายความว่า รัฐธรรมนูญใหม่ ประชาธิปไตยใหม่ และสังคมใหม่ จะต้องมีสาระสำคัญในการแก้ไขปัญหา และคุ้มครองชีวิตของเกษตรกร
ชาวนา จะต้องมีสวัสดิการอย่างเท่าเทียมกับชนชั้นกลุ่มอื่นๆ ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรจะต้องได้รับการแก้ไข พื้นที่เกษตรกรรมต้องได้รับการคุ้มครอง ต้นทุนและราคาผลิตผล จะต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม
บัดนี้ เราขอประกาศว่าทัพชาวนาทั่วประเทศกว่า 3 หมื่น คนจะผนึกกำลังกับคนเสื้อแดง ภายใต้การบังคับบัญชาของกองบัญชาการผสมฝ่ายประชาธิปไตยอย่างแน่นอน และหากฝ่ายอำมาตยาธิปไตยใช้กำลังปราบปรามก็ดี ก่อการรัฐประหารก็ดี กองกำลังชาวนา 63 จังหวัดทั่วประเทศนับแสนคนจะ เคลื่อนเข้าตัดหลังข้าศึก แยกสลายกองกำลังของรัฐบาลให้ปั่นป่วน ด้วยการทำให้เศรษฐกิจ ท่อน้ำเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร ห้างสรรพสินค้า โรงงานของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยให้เป็นอัมพาตทันที
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มพลานุภาพของคนเสื้อแดงทั่วแผ่นดิน จะปิดล้อมศาลากลางจังหวัดให้การบริหารแผ่นดินของรัฐบาลเป็นอัมพาต
ระบอบอำมาตยาธิปไตย จงพินาศ ระบอบอำมาตยาธิปไตย จงพินาศ
การต่อสู้และเจตนารมณ์ของผู้รักชาติ รักประชาธิปไตย จงเจริญ จงเจริญ
จาก นั้น นายชรินทร์ กล่าวว่า วันนี้สังคมไทยมีเพียงทางเลือกสองทาง ประชาชนไทยกำลังเดินมาถึงทางสองแพร่ง ซีกฝ่ายอำมาตย์เชิญ ซีกฝ่ายประชาธิปไตยเข้ามา ในนามเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทยโดยมติฉันทานุมัติของผู้ประสานงาน ระดับประเทศขอประกาศว่า นับแต่นาทีนี้เป็นต้นไป เครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทยใช้รูปแบบการจัดตั้งและการต่อสู้ภายใต้ สถานการณ์สู้รบ ให้ทุกจังหวัด ทุกหน่วย ขึ้นตรงกับต่อผู้ประสานงานระดับประเทศโดยตรง ให้ที่ปรึกษาเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทยเป็นกองเสนาธิการ ประกาศไปยังสมาชิกเครือข่ายทั่วประเทศให้รับทราบตามนี้