ตราบใดที่บนโลกนี้ยังมีผืนแผ่นดินให้เหยียบ ล่ายังไงก็ยากจนมุม
โดยการหักหน้ากระทรวงการต่างประเทศของไทยที่โหมประโคมข่าวการถอนพาสปอร์ต เปิดปฏิบัติการไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ข้ามโลก
ล่าสุด สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลนิการากัวได้เปิดเผยในเอกสารแถลงข่าวว่า อดีตนายกฯทักษิณได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตพิเศษ เพื่อช่วยดึงดูดการลงทุนมายังนิการากัว โดยได้รับพาสปอร์ตจริง และสิทธิพิเศษทางการทูตในฐานะพลเมืองนิการากัว
“ทักษิณ” ฆ่าไม่ตาย แต่คนที่ส่อเค้าว่าจะตายก่อนกลับกลายเป็นอดีตเกลอเก่าอย่าง “เทพเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง
กับ “ข่าวตั้งใจปล่อย” ที่หลุดออกมาจากวงในพรรคประชาธิปัตย์ ทำนองหวั่นๆกันว่า “เทพเทือก” จะถอดใจไขก๊อกออกจากตำแหน่ง
เพื่อแสดงความรับผิดชอบกับการสั่งทหาร ตำรวจ คุมเกมม็อบเสื้อแดงไม่ได้
และก็ให้บังเอิญรับมุกกับข่าวทางลึกที่พลิกล็อกตาลปัตรจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ กับเกมที่คนประชาธิปัตย์จับได้ว่า มี “เกลือเป็นหนอน” จับมือกับรัฐมนตรี ผู้ทรงพลัง ที่มีลูกน้องเป็นขุนทหารใหญ่ และมีน้องชายเป็นหัวแถวตำรวจ เดินหมากซ่อนเกมหลายชั้น
เปิดช่อง “เคลียร์” ให้อดีตนายกฯทักษิณ
แลกกับโบนัสมหาศาล ค่าหัวคิวจากขุมทรัพย์ที่ถูกแช่แข็งอยู่ในเมืองไทย
นัยหนึ่งก็เป็นเหตุที่แฉเบื้องหลังเบื้องลึกคิวตำรวจใส่เกียร์ว่าง ทหารเล่นบทยึกๆยักๆในช่วงแรก แต่อีกนัยก็เป็นการขยายภาพความเด็ดขาดของคนชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่กล้าทุบโต๊ะชี้นิ้วสั่งการบิ๊กทหาร ว้ากใส่ตำรวจ ให้ลุยหักดิบม็อบคนเสื้อแดง ในห้วงวินาทีหน้าสิ่วหน้าขวาน จนได้รับชัยชนะแบบสวยสดงดงาม
สลัดภาพ “ผู้นำฟันน้ำนม”
กระพือเสียงชื่นชม โหมกระแสสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ยกก้น “อภิสิทธิ์” เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวจากสถานการณ์คุมเกมสลายม็อบเสื้อแดง
สังเวย “เทพเทือก” เพิ่มมูลค่าให้ “นายกฯเทพประทาน” ในสถานการณ์น้ำขึ้นรีบตัก
งานนี้คุ้มค่ากับการแลก
แต่จะปั่นกระแสกันได้นานขนาดไหน ในเมื่อทุกอย่างยังเป็นแค่การสร้างภาพ
ของจริงก็อย่างที่บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุ แม้เหตุการณ์ทางการเมืองไทยจะคลี่คลายลงอย่างสงบ โดยนายกฯอภิสิทธิ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนเสื้อเหลืองที่บุกยึดสนามบินเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ยังสามารถครองอำนาจปกครองประเทศต่อไป
แต่น่าจะอยู่ในอำนาจได้อีกระยะหนึ่ง ท่ามกลางสภาพอ่อนเปลี้ย เนื่องจากต้องมุ่งแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่กระทบทั่วโลก นอกเหนือจากยังต้องเผชิญเหตุประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดงต่อไป ซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นยังต้องการโค่นล้มรัฐบาลและต้องการให้มีการเลือกตั้งใหม่
และกับความจริงตรงหน้าที่ค่อยๆปรากฏออกมา
ล่าสุด เครือข่ายสันติประชาธรรมและเครือข่ายนักสิทธิมนุษยชน นำโดยนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการชื่อดัง ร่วมกันออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ยกเลิกประกาศการบังคับใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในทันที
ในขณะที่มติของพรรคประชาธิปัตย์และทหารยังเสียงแข็ง จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกระบอง กดหัวม็อบเสื้อแดงไม่ ให้ตั้งหลักกลับมาสู้ใหม่
และก็เป็นอะไรที่ยากจะกลบให้มิดได้ กับเบาะแสที่มีประชาชนแจ้งความผิดปกติที่วัดสาครสุ่นประชาสรรค์ ย่านเกษตร-นวมินทร์ สงสัยว่าอาจมีการนำศพนิรนามมาเผา
โดยพฤติกรรมลับๆล่อๆ ล้อกับข่าวลือแอบเผาศพคนเสื้อแดง
ที่แน่ๆกับการเริ่มขยับของนักศึกษาในเครือข่าย สนนท. จับมือกับเครือข่ายเดือนตุลา และองค์กรเอ็นจีโอ จัดตั้งศูนย์รับเรื่องราวข้อมูลคนหาย พร้อมกับโชว์ภาพทหารสลายการชุมนุมม็อบเสื้อแดง
นักศึกษากับทหาร ของ “แสลง” กันมาแต่ไหนแต่ไร
และในฐานะของผู้นำหนุ่มรุ่นใหม่ นายกฯอภิสิทธิ์ก็ไม่น่าพลาดที่จะศึกษาจากประวัติศาสตร์ในอดีต ไม่มีสักครั้งเดียวที่ความขัดแย้งทางการเมืองจบลงด้วยวิธีการใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามม็อบ ปืน รถถัง กดหัวฝ่ายตรงข้าม
เหนืออื่นใด ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหน ที่สั่งให้ทหารปราบปรามประชาชนแล้วจะลงจากตำแหน่งได้อย่างสวยสดงดงาม
ด้วยวัยแค่ 44 ปี “อภิสิทธิ์” ถึงจุดพลิกผันเร็วจริงๆ.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน