เพิ่งผ่านพ้น วันนักข่าว 5 มีนาคม ไปหมาด ๆ สวนดุสิตโพลสำรวจความเห็นประชาชน มีอยู่ข้อหนึ่ง นอกจากสื่อต้องเป็นมืออาชีพแล้ว ประชาชน อยากให้สื่ออย่าสร้างความแตกแยก นี่เป็นภาพสะท้อนความรู้สึกของคนไทยที่อยากเห็นความสามัคคีจริง ๆ
แต่ความแตกแยกของสังคมไทยเที่ยวนี้ บาดลึกมากเกินกว่าจะท่องคาถาพื้น ๆ ขอให้รักกันเถอะ อย่าแตกแยกกันเลย สมานฉันท์กันเถอะ อย่าแบ่งฝ่ายกันเลย ถ้าท่องคาถานี้แล้ว ได้ผล ก็ช่วยกันท่องวันละ 3 เวลาหลังอาหารเถอะ จะได้จบ “วิกฤติชาติ” ที่สุดในโลกเสียที
แต่เป็นไปไม่ได้
ที่ว่าสื่อมีส่วนก็จริง และไม่น้อยด้วย เพราะ ด้านหนึ่งสื่อคือ ผู้กำหนดวาระสังคม สื่อเน้นหนักไปประเด็นไหน เรื่องอะไร องคพายพ ของสังคมก็เคลื่อนไปทางนั้นโดยอัตโนมัติ
การทำหน้าที่ของสื่อ จึงต้องเที่ยงตรง เป็นธรรม รอบด้าน ท่าน ปยุต ปยุตโต ปราชญ์แห่งวงการสงฆ์ เคยบอกว่า สื่อมวลชน ต้องเป็นกระจกเงาที่มีใจ ด้วย ไม่ใช่แค่ กระจกเงาพื้น ๆ สะท้อนสิ่งที่เห็นตรงหน้าเท่านั้น
หัวใจที่เป็นธรรมของสื่อนั้น ย่อมมาจาก ความรู้ ประสบการณ์ เจตน์จำนง (แห่งชีวิต และ วิชาชีพ) และทัศนคติที่ คน ๆ นั้น ยึดถือ ที่ได้สั่งสมไว้ จึงจะเป็นที่มาของกระจกเงาที่มี “ใจ” กำกับได้
เรื่องเป็นกลาง ซึ่งเคยเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวหนึ่ง กูรูยุคใหม่บอกต้องเลือกข้างเลย และ ต้องเลือกข้างความถูกต้องด้วย แต่ปัญหาคือ อะไรคือความถูกต้องล่ะ กำหนดจากไหน โดยใคร เพื่อใคร !!!
เหมือน คนดี นั่นล่ะ ใครกำหนด ว่า นี่ คนดี คนมีคุณธรรม แล้วหากไปพบว่า รุกป่าภายหลังล่ะ ยังจะดี หรือไม่ หรือใครกำหนดว่า นี่คือ ศัตรูชาติ หรือ ผู้ทรยศชาติ เช่น เมื่อไปอยู่อีกพรรคหนึ่งหรือ คนดีอยู่ที่ว่า มองจากมุมไหน ด้วยผลประโยชน์ข้างไหน และผลประโยชน์ของใคร
กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ บทเรียนใหญ่ หลายอย่าง ก็ทำคาบเส้นสีเทาจริง จึงได้รับการลงโทษทั้งทางสังคมและผลแห่งคำตัดสินในคดีมากมาย แต่มีการฉวยโอกาสกระทำซ้ำเติม กำจัด “ศัตรูอำนาจ” ของพวกตัวเอง ด้วยหรือไม่
เหนืออื่นใด มีแต่ทักษิณหรือที่ชั่วช้าสามานย์ นักการเมืองอื่นล่ะ อำมาตย์ล่ะ ขุนศึกล่ะ ตุลาการภิวัตน์ล่ะ ก็มีการเปิดเผยภายหลังมิใช่รึ บางคนไปนั่งประชุมวางแผนปฏิวัติ ฉีก รธน.ทิ้ง แล้วก็ได้ดี เป็น รมต. อย่างนี้ จะเรียกคนเหล่านี้ว่า อะไร เป็นคนดี หรือ ผู้ทำลายประชาธิปไตย หรือ คนฉวยโอกาส กันแน่
ข้อเขียนในคอลัมน์นี้ก็เช่นกัน มีทั้งคนชอบ คนชัง มีทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย อีเมล (ชื่อถูกหมึกขีดทิ้ง) ผ่าน บก. ฉบับหนึ่ง บอกเขียนบทความที่ไม่เคยมีประโยชน์ต่อประชาชน ไม่เคยเสนอสองด้าน เสนอแต่ด้านเดียว สร้างปัญหาให้สังคม ขาดจรรยาบรรณของสื่อสารมวลชน
ขณะที่ไปรษณียบัตรจาก พ.กรุงเก่า บอก ผมเห็นด้วยกับคุณ 100% ในหัวข้อคุณูปการยึดทรัพย์ ไม่รู้ประเทศไทยมีเวรกรรมอะไร ถึงต้องอยู่ในอุ้งมือคนแก่ที่เล่นไม่เลิก มีการปฏิบัติ 2 มาตรฐาน สื่อมวลชน ถูกปิดหูปิดตา.......ลงท้าย ศรัทธา และนับถือ
ยกมาเป็นตัวอย่าง พอให้เห็น ผ่านวันนักข่าวมา ได้มีโอกาสสำรวจตัวเองว่า ทุกวันนี้ ยังสามารถดำรงตนเป็นสื่อมวลชนอย่างที่ท่านปยุต บอกได้หรือไม่ เราก็คิดว่าเราใช่ และอีกคนที่จะบอกได้ ก็คือ...ท่านผู้อ่านนี่ล่ะ
เหนืออื่นใดถ้าสื่อจงใจละเว้นการค้นหาข้อเท็จจริงสังคมก็จะพบแต่ความมืดบอดทางปัญญาเท่านั้น.
ดาวประกายพรึก
แต่ความแตกแยกของสังคมไทยเที่ยวนี้ บาดลึกมากเกินกว่าจะท่องคาถาพื้น ๆ ขอให้รักกันเถอะ อย่าแตกแยกกันเลย สมานฉันท์กันเถอะ อย่าแบ่งฝ่ายกันเลย ถ้าท่องคาถานี้แล้ว ได้ผล ก็ช่วยกันท่องวันละ 3 เวลาหลังอาหารเถอะ จะได้จบ “วิกฤติชาติ” ที่สุดในโลกเสียที
แต่เป็นไปไม่ได้
ที่ว่าสื่อมีส่วนก็จริง และไม่น้อยด้วย เพราะ ด้านหนึ่งสื่อคือ ผู้กำหนดวาระสังคม สื่อเน้นหนักไปประเด็นไหน เรื่องอะไร องคพายพ ของสังคมก็เคลื่อนไปทางนั้นโดยอัตโนมัติ
การทำหน้าที่ของสื่อ จึงต้องเที่ยงตรง เป็นธรรม รอบด้าน ท่าน ปยุต ปยุตโต ปราชญ์แห่งวงการสงฆ์ เคยบอกว่า สื่อมวลชน ต้องเป็นกระจกเงาที่มีใจ ด้วย ไม่ใช่แค่ กระจกเงาพื้น ๆ สะท้อนสิ่งที่เห็นตรงหน้าเท่านั้น
หัวใจที่เป็นธรรมของสื่อนั้น ย่อมมาจาก ความรู้ ประสบการณ์ เจตน์จำนง (แห่งชีวิต และ วิชาชีพ) และทัศนคติที่ คน ๆ นั้น ยึดถือ ที่ได้สั่งสมไว้ จึงจะเป็นที่มาของกระจกเงาที่มี “ใจ” กำกับได้
เรื่องเป็นกลาง ซึ่งเคยเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวหนึ่ง กูรูยุคใหม่บอกต้องเลือกข้างเลย และ ต้องเลือกข้างความถูกต้องด้วย แต่ปัญหาคือ อะไรคือความถูกต้องล่ะ กำหนดจากไหน โดยใคร เพื่อใคร !!!
เหมือน คนดี นั่นล่ะ ใครกำหนด ว่า นี่ คนดี คนมีคุณธรรม แล้วหากไปพบว่า รุกป่าภายหลังล่ะ ยังจะดี หรือไม่ หรือใครกำหนดว่า นี่คือ ศัตรูชาติ หรือ ผู้ทรยศชาติ เช่น เมื่อไปอยู่อีกพรรคหนึ่งหรือ คนดีอยู่ที่ว่า มองจากมุมไหน ด้วยผลประโยชน์ข้างไหน และผลประโยชน์ของใคร
กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ บทเรียนใหญ่ หลายอย่าง ก็ทำคาบเส้นสีเทาจริง จึงได้รับการลงโทษทั้งทางสังคมและผลแห่งคำตัดสินในคดีมากมาย แต่มีการฉวยโอกาสกระทำซ้ำเติม กำจัด “ศัตรูอำนาจ” ของพวกตัวเอง ด้วยหรือไม่
เหนืออื่นใด มีแต่ทักษิณหรือที่ชั่วช้าสามานย์ นักการเมืองอื่นล่ะ อำมาตย์ล่ะ ขุนศึกล่ะ ตุลาการภิวัตน์ล่ะ ก็มีการเปิดเผยภายหลังมิใช่รึ บางคนไปนั่งประชุมวางแผนปฏิวัติ ฉีก รธน.ทิ้ง แล้วก็ได้ดี เป็น รมต. อย่างนี้ จะเรียกคนเหล่านี้ว่า อะไร เป็นคนดี หรือ ผู้ทำลายประชาธิปไตย หรือ คนฉวยโอกาส กันแน่
ข้อเขียนในคอลัมน์นี้ก็เช่นกัน มีทั้งคนชอบ คนชัง มีทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย อีเมล (ชื่อถูกหมึกขีดทิ้ง) ผ่าน บก. ฉบับหนึ่ง บอกเขียนบทความที่ไม่เคยมีประโยชน์ต่อประชาชน ไม่เคยเสนอสองด้าน เสนอแต่ด้านเดียว สร้างปัญหาให้สังคม ขาดจรรยาบรรณของสื่อสารมวลชน
ขณะที่ไปรษณียบัตรจาก พ.กรุงเก่า บอก ผมเห็นด้วยกับคุณ 100% ในหัวข้อคุณูปการยึดทรัพย์ ไม่รู้ประเทศไทยมีเวรกรรมอะไร ถึงต้องอยู่ในอุ้งมือคนแก่ที่เล่นไม่เลิก มีการปฏิบัติ 2 มาตรฐาน สื่อมวลชน ถูกปิดหูปิดตา.......ลงท้าย ศรัทธา และนับถือ
ยกมาเป็นตัวอย่าง พอให้เห็น ผ่านวันนักข่าวมา ได้มีโอกาสสำรวจตัวเองว่า ทุกวันนี้ ยังสามารถดำรงตนเป็นสื่อมวลชนอย่างที่ท่านปยุต บอกได้หรือไม่ เราก็คิดว่าเราใช่ และอีกคนที่จะบอกได้ ก็คือ...ท่านผู้อ่านนี่ล่ะ
เหนืออื่นใดถ้าสื่อจงใจละเว้นการค้นหาข้อเท็จจริงสังคมก็จะพบแต่ความมืดบอดทางปัญญาเท่านั้น.
ดาวประกายพรึก